มหาวิทยาลัยชีวิต สถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน

มหาวิทยาลัยชีวิต สถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน

คอลัมน์ส่องเมือง: Focusing on the City ฉบับที่ ๒ มิถนายน ๒๕๕๕
เสรี พงศ์พิศ


“การศึกษานั้นแพง แต่ความไม่รู้แพงกว่า” เป็นความจริงที่เจ็บปวดของสังคมไทยซึ่งเคยมีความอุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว มีป่าไม้เขียวปกคลุมกว่าร้อยละ ๖๐ ของพื้นที่ วันนี้มีแต่ความทุกข์ทั่วแผ่นดิน เพราะ “ในฟ้าบ่มีน้ำ ในดินซ้ำมีแต่ทราย น้ำตาที่ตกราย ก็รีบซาบบ่รอซึม” ดังที่อัศนี พลจันทร ได้เขียนไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน

อย่างที่พูดกันวันนี้ว่า “คนมีความรู้เปลี่ยนทะเลทรายให้เป็นป่า คนไม่มีความรู้เปลี่ยนป่าให้เป็นทะเลทราย” เพราะสังคมไทยไม่ได้เน้นการพัฒนาการศึกษา เน้นแต่การพัฒนาเศรษฐกิจ ทำให้คนมีเงิน แต่เพราะไม่มีความรู้ ที่สุดก็เหลือแต่หนี้ เพราะใช้เงินไม่เป็น คนมีที่ดินแต่ไม่มีความรู้ วันหนึ่งก็เหลือแต่ตัวเพราะไม่รู้เท่าทันคนอื่น ไม่รู้เท่าทันสังคม วันนี้คนไม่มีความรู้ถูกเขาโกง ถูกเขาหลอก ถูกเขาเอาเปรียบและครอบงำได้ง่าย

“เรียนแล้วช่วยตัวเองได้ ช่วยคนอื่นได้
รู้ว่าจะจัดการชีวิตอย่างไร
จะทำมาหากินอย่างไรจึงจะมีรายได้พอเพียง”

สังคมไทยลงทุนการศึกษาแพงมาก แต่เป็นระบบที่ล้มเหลวมาโดยตลอด เรียนแล้วช่วยตัวเองไม่ได้ ช่วยคนอื่นไม่ได้ ต้องไปรับจ้างเขาอย่างเดียวจึงจะอยู่รอด คิดงานเองไม่ได้ สร้างงานเองไม่เป็นเพราะการศึกษานี้ไม่ได้สอนให้คนคิดเป็น แต่สอนให้ออกไปตอบสนองการพัฒนาอุตสาหกรรม การบริการ การส่งออก การพัฒนายุคใหม่ เขาสั่งให้ทำอะไรก็ทำตามนั้น

มีสถาบันอุดมศึกษามากมายที่ประกาศว่าเป็นการศึกษาเพื่อท้องถิ่น แต่เอาเข้าจริงก็เป็นการศึกษาเพื่อทิ้งถิ่น เพราะเรียนจบมหาวิทยาลัยเหล่านี้แล้ว กลับถิ่นฐานบ้านเกิดไม่ได้ เพราะกลัวอดตาย ไม่มีงานทำ ทั้ง ๆ ที่ดินก็มี น้ำก็มี แดดก็มี แต่ขาดสิ่งสำคัญที่สุดไป คือ ปัญญา ความกล้าหาญและความเพียรทน

ด้วยเหตุนี้ ภาคธุรกิจจึงวิพากษ์วิจารณ์สถาบันอุดมศึกษาไทยว่าผลิตบัณฑิตกันอย่างไร จึงได้คนที่ “ทำงานไม่เป็น ใจไม่สู้ และไม่อดทน”

สาเหตุสำคัญประการหนึ่งคงเป็นเพราะการศึกษาเราสอนคนให้เรียนแต่หนังสือ ท่องจำเพื่อเอาไปสอบให้ได้คะแนนดี เป็นการศึกษาที่แปลกแยกจากชีวิตจริง เอาตำราเป็นตัวตั้ง ไม่ได้เอาชีวิตเป็นตัวตั้ง ไม่ได้เอาชีวิตจริงมาเรียน มาแก้ปัญหามาพัฒนาให้ดีขึ้น

เรียนแบบนี้อาจจะได้ความรู้ที่ไปท่องของคนอื่น แต่ไม่ได้ปัญญา เพราะไม่ได้เกิดจากการสร้างความรู้ใหม่ หรือความรู้มือหนึ่ง ซึ่งเกิดจากการปฏิบัติ การตกผลึกที่ทำให้รู้แจ้งเห็นจริง พลังปัญญาเท่านั้นแก้ปัญหาชีวิต ปัญหาชุมชน ปัญหาสังคมได้

มหาวิทยาลัยชีวิต สถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชนเกิดขึ้นเพื่อเสนอทางเลือกการศึกษาให้ประชาชน การศึกษาที่เรียนแล้วสามารถอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีและมีกินในท้องถิ่นของตนเองได้ ไม่ออกไปไหนก็อยู่ได้ในชุมชนของตนเอง มีความรู้ มีปัญญาพึ่งพาตนเองได้

มหาวิทยาลัยชีวิตสอนคนให้รู้จักคิด รู้จักตัดสินใจ รู้จักเลือก มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่วิ่งไปตามกระแสสังคมที่ครอบงำด้วยค่านิยมการบริโภคที่สุดขั้ว เพียงเพราะต้องการการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยไม่คำนึงถึงปัญหาสังคมอีกร้อยแปดที่ตามมา

มหาวิทยาลัยชีวิตสอนคนให้เรียนแล้วช่วยตัวเองได้ ช่วยคนอื่นได้ รู้ว่าจะจัดการชีวิตอย่างไร จะทำมาหากินอย่างไรจึงจะมีรายได้พอเพียง มีสวัสดิการวันนี้และวันหน้า มีหนี้สินก็จัดการได้ จะจัดการชีวิตความเป็นอยู่อย่างไรจึงจะสุขภาพดีดูแลสุขภาพตนเองได้

มหาวิทยาลัยชีวิตสอนคนไม่ให้อยู่ตามบุญตามกรรม แต่อยู่อย่างมีเป้าหมาย มีแบบมีแผนอย่างน้อย ๔ แผน คือ แผนชีวิต แผนอาชีพแผนการเงิน แผนสุขภาพ เพื่อจะได้จัดการชีวิตตนเองให้เกิดความสมดุล มีภูมิคุ้มกันที่ต้านภัยอันตรายรอบด้านของสังคมยุคใหม่ และอยู่ได้อย่างพอเพียง มั่นคงและมีความสุข

สังคมไทยเป็นสังคมอุปถัมภ์ คนมีอำนาจทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง อุปถัมภ์คนส่วนใหญ่ที่ไม่มีอำนาจต่อรอง ชักนำ ครอบงำ ใช้ประโยชน์ ใช้ผู้คนที่ไม่รู้เท่าทันเป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ส่วนตน ส่วนพวกพ้อง ไม่ใช่เพื่อส่วนรวม

มหาวิทยาลัยชีวิตต้องการสร้างผู้นำทางปัญญาให้ชุมชน ให้ท้องถิ่น เพื่อเป็นผู้นำที่ปลด
ปล่อยผู้คนจากระบบอุปถัมภ์ จากการถูกครอบงำจากความไม่เท่าเทียมกัน เป็นการศึกษาเพื่อให้เกิดความยุติธรรมทางสังคม สร้างโอกาสให้คนได้เรียนรู้ ได้พัฒนาตนเองพัฒนาทรัพยากร พัฒนาชุมชนไปพร้อมกัน

มหาวิทยาลัยชีวิตเป็นสถาบันอุดมศึกษาเพื่อชุมชน เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นให้เข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้ จึงร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ ในท้องถิ่น ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน จัดการศึกษาให้สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการของแต่ละแห่ง แลเรียนรู้จากผู้รู้ ปราชญ์ท้องถิ่น และองค์กรชุมชนที่เข้มแข็งต่าง ๆ

โดยเชื่อว่าถ้าหากผู้คนในท้องถิ่นได้เรียนรู้ มีการศึกษาที่ดี ก็จะมีพลังปัญญาเพื่อพัฒนาตนเองพัฒนาทรัพยากร พัฒนาทุนท้องถิ่นต่าง ๆ ซึ่งยังมีอยู่ไม่น้อย เพื่อให้ท้องถิ่นสามารถอยู่รอดได้อย่างมั่นคง ในยุคที่กระแสการพัฒนายุคใหม่กำลังทำลายทรัพยากรและทุนท้องถิ่นไปจนเกือบหมดมหาวิทยาลัยชีวิตพัฒนาการศึกษาที่ทำให้คนเป็นอิสระ อย่างที่ปราชญ์บอกไว้ว่า “คนมีความรู้ปกครองง่าย แต่ครอบงำยาก และกดขี่ข่มเหงไม่ได้เลย” (วิลเลียม เบลค)

มหาวิทยาลัยชีวิตต้องการ “คืนการศึกษาให้ประชาชน” ให้ผู้คนในแต่ละท้องถิ่นลุกขึ้นมาจัดการศึกษาเองในทุกระดับ ไม่ใช่ปล่อยให้คนอื่นจัดการให้หมดอย่างวันนี้ ถูกเขาหลอก ถูกเขาใช้เป็นเครื่องมือทำธุรกิจการศึกษา ซื้อขายใบปริญญา ทำให้หมดคุณค่าทั้งคนและระบบการศึกษาไทย

มหาวิทยาลัยชีวิตจัดการศึกษาเพื่อชีวิตไม่ใช่ให้รู้เพื่อรู้ แต่รู้เพื่อมีชีวิต เรียนแล้วได้อะไรมากกว่ากระดาษแผ่นหนึ่ง ได้ความเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ เพราะได้ปริญญาชีวิต.

Leave a Reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

WP2Social Auto Publish Powered By : XYZScripts.com