ร่วมรำลึก ๕๓ ปีแห่งการล้มลงของจิตร ภูมิศักดิ์

ร่วมรำลึก ๕๓ ปีแห่งการล้มลงของจิตร ภูมิศักดิ์

(๕ พฤษภา ๒๕๐๙ – ๕ พฤษภา ๒๕๖๒, ปีนี้ไม่มีการจัดงานอย่างเป็นทางการ ผู้ศรัทธาไปรำลึก ผมนำหนังสือไปขาย วง “หมาเก้าหาง” ร่วมสมทบการแสดง)

# จิ ต ร ภู มิ ศั ก ดิ์
ภาพชีวิตช่วงสุดท้ายบนภูพาน

กรองแก้ว เจริญสุข บัณฑิตวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประธานชมรมนักกลอน ๓ สมัย ผู้ร่วมบุกเบิกก่อตั้งสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย และเลขาธิการสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ๒ สมัย ฯลฯ

ช่วงสำเร็จการศึกษาใหม่หมาด กรองแก้วได้เดินทางแบบปิดลับไปศึกษาระยะสั้นบนเทือกเขาภูพาน ระหว่างวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๐๘ ถึงวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๐๙ กรองแก้วเป็นศิษย์ด้านการเขียนของ “นายผี” อัศนี พลจันทร เธอรู้จักสนิทสนมกับจิตร ภูมิศักดิ์ และปัญญาชนที่เข้าป่าขึ้นภูพานสมัยนั้นตั้งแต่อยู่ในเมือง ขณะอยู่ในป่าเวลาเข้าไต้เข้าไฟแทบทุกวัน เธอกดสัมผัสแป้นพิมพ์ดีดบันทึกเรื่องราวที่ประสบไว้ด้วยบทกลอน

สิ่งที่กรองแก้วจดจารจึงมีภาพชีวิตสด ๆ ของจิตร ภูมิศักดิ์ โลดแล่นอยู่กับสหายคนอื่นด้วย ซึ่งเมื่อเธอกลับเข้าเมืองเพียงหนึ่งสัปดาห์จิตรก็ล้มลง 

ข้อเขียนชุดนี้ถูกเก็บรักษาไว้เกือบ ๕๐ ปีจึงรวมพิมพ์เผยแพร่ในชื่อ นิราศภูพาน” (สำนักพิมพ์แม่คำผาง, ๒๕๕๖) 

กรองแก้ว เจริญสุข นั่งเล่นกับน้องนักศึกษาปกหนังสือ “นิราศภูพาน”

จาก “นิราศภูพาน” กรองแก้ว เจริญสุข ให้ภาพสหายที่พบกันในป่า

 …ส.ไม้ตรีเคยร่วมทุกข์สุขสนอง             สหายผองต่างรู้ชูยอดขวัญฐานะภรรยาผู้นำเลิศจำนรรจ์                 ข้าศึกกริ่งเหน็บปืนสั้นที่บั้นเอวส.ปราการ (๑) ทิ้งลาธนาคาร                  เดินทางผ่านป่ากว้างทั้งหุบเหวแยกทางกับ ส.ปรีชา (๒) ฝ่าเหตุเลว       รอศึกเหลวสักหน่อยค่อยพบเนาปรีชา หรือ จิตร อยู่ที่ หนองขี้อ้น (๓)      เป็นทับพลขึ้นตรง ดงพระเจ้าพอชาวบ้านรู้หนอก็ไม่เบา                       ต่างมาเฝ้าขอแรงช่วยแต่งเพลง…
ภาพถ่ายสุดท้าย (ขึ้นศาลและได้รับการปล่อยตัวโดยไม่มีความผิด)เล่นดนตรีกับสหายในคุก

สถานการณ์ขณะนั้น ความขัดแย้ง และการเดินทางสู่แนวหน้าของ ส.ปรีชา

ส.ปราการผู้มั่นสัพพัญญู                                 ส.อรรถ(๔)รู้เต็มอกไม่ยกขาน

ถูกโดดเดี่ยวเรื่อยมานานกว่านาน                    กระทั่งกาลผ่านห้าสิบราตรี

ได้แต่เดินลอยชายเหมือนไม้หลัก                     ที่ถูกปักกลางขี้ควายพ่ายราศี

งานมีมากแต่มิแบ่งกลัวแข่งดี                           จึงเริ่มมีปัญหาคากั้นกลาง

เพราะทั้งสามคือปรีชา,ปราการ,อรรถ             ถูกเงื้อมหัตถ์ยุคสฤษดิ์เข้ากีดขวาง

จับเพราะมากทฤษฎีมีแนวทาง                        จึงถูกสร้างข้อหาผ่าหลักการ

ทั้งสามโดนกฎเถื่อนพร้อมเพื่อนพรรค            จับทั้งทั้งไม่ประจักษ์มีหลักฐาน

เข้าคุกแล้วอยู่กันมิทันนาน                               โฉมหน้าผ่านเริ่มเห็นใครเป็นใคร

แบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่าเจ้าความคิด                     แยกฝ่ายถูกฝ่ายผิดปิดมิได้

ที่สุดปรีชา – ปราการมั่นคงใจ                          ยืนอยู่ในข้างเด่นชัดสัจธรรม

เมื่อรัฐขังต่อไม่ได้ไร้เหตุผล                               ต้องจำนนปล่อยหมดกฎเหยียบย่ำ

ต่างจึงเขียนเล่าวากย์ฝากใจจำ                         เป็นเรื่องขำในมาดศาสดา

เพราะอรรถชอบสร้างค่าอาวุโส                        ทำคุยโตย่ำสหายสลายค่า

วงคนใหม่ต่างซึ้งถึงอัตตา                                 เขาคิดอ้าเอื้อมอาจอำนาจนำ

นี่หาก พี่สุรีย์ (๕) คู่ชีวิต                                    ยังอยู่คิดเคียงใจไม่ตกต่ำ

อุบัติเหตุพรากพี่ไปฝากใจจำ                            อรรถพ้นคำครหาขอลาเวียง

พอดีสองหนุ่มโสด(จิตร,สมพงษ์)ข้ามโขดเขิน   เพื่อจะเดินไปร่วมสายกระจายเสียง(๖)

มาพบอรรถยิ้มเขินทำเมินเมียง                         ปรีชาเลี่ยงสู่ หนองขี้อ้น พ้นภาวะ

ต่อมามีศึกคุระอุเดือด                                       และนองเลือดกันบ้างบางจังหวะ

แต่ถ้าไม่จำเป็นเว้นปะทะ                                 รอระยะเด่นชัดค่อยจัดการ

เพราะภูมิประเทศเขตป่าเขา                            ทางฝ่ายเราชำนาญไพรในทุกด้าน

แต่ศัตรูสู่ดงหลงพนานต์                                   ขาดเชี่ยวชาญหมดสิทธิ์ในทิศทาง

ส.ปราการได้จังหวะเสนอว่า                             ขอปรีชามาร่วมด้วยช่วยเสริมสร้าง

ศึกลดแล้วจะได้ไปสู่บาง                                   ตามที่ข้างบนจดกำหนดมา

     อาทิตย์กว่าปรีชามาทับกลาง                      ช่วยเขียน, สร้างนิพนธ์วนศึกษา

แต่ทว่าบรรยากาศขาดมิตรา                            มันไม่น่าอยู่น่าพักสักนิดเดียว

ปรีชาจึงตั้งใจให้บทเรียน                                  แนะแนวเขียนทั้งบรรเลงเพลงเก็บเกี่ยว

ช่วงหนึ่งแล้วร่วมปราการผ่านกลมเกลียว        พากันเหลียวคืนทับหนองขี้อ้นไป…

สภาพการกินอยู่ในทับของคนป่า

“…เอ้า…เกือบได้เวลาอาหารเช้า…”                             สหายเขาตะโกนมาเป็นกาหล

เราจึงรีบลุกลามารวมพล                                             ช่วยกันขนของกลับทับภูพาน

ถึงที่พักตะวันโด่งเก้าโมงกว่า                                      ตากเสื้อผ้าเสร็จสรรพรับอาหาร

ถ้วย, กับ, แกง, เรียงระดะงามตระการ                        เป็นผลงานแม่แตงอ่อน(๗)ท่านสอนทำ

ตัดกระบอกไม้ไผ่ลำใหญ่บ้อง                                      รักษาปล้องเอาไว้ใส่จิ้มจ้ำ

ตั้งตรงก็ตัดพลันให้สั้นนำ                                            นอนก็ย้ำผ่าเป็นชามงามละไม

ถัดไปกองบ้องตันวางกำลังเหมาะ                               รอการเจาะร้อยเชือกสายสะพายไหล่

และอีกรูเจาะขวางวางเอาไว้                                        เพื่อได้ใช้ปากสูดดูดดื่มกิน

กลาโหม, ธีระ, ผจญ, กล้า                                           พร้อมปรีชา, ปราการ ชำนาญถิ่น

แยกออกไปตั้งวงตรงเนินดิน                                        สุมหัวนินทาเราพอเข้าใจ…

คำแนะนำ เพลงรัก และการกล่าวลา

…เพราะปรีชาเป็นคนที่มิอยู่เฉย                                   และไม่เผยหน้าที่ทำอีโก้

สร้างบ้านไพรจนเห็นเด่นเดโช                                      กลาโม๋เป็นคู่หูผู้พิทักษ์

ตื่นเช้าก็หายไปไม่เห็นหน้า                                           ค่ำกลับมาประมวลล้วนงานหลัก

ทราบภายหลังเขาออกสู่ภูอนรรฆ                                ได้ประจักษ์ข่าวศัตรูอยู่ตีนดอย

ล้อมหวังให้เราสิ้นใจตายไปเอง                                   ปรีชาเร่งจัดศึกษา สถานการณ์ย่อย

พัฒนารับศึกใหญ่ไว้รอคอย                                         มาจะสอยให้ร่วงอวดปวงชน

เป็นหัวหมู่ฝ่ายการเมืองพบเรื่องมาก                           ชนทุกข์ยากพร้อมร่วมตายไม่เลือกหน

จึงรายงานที่รู้สู่ชั้นบน                                                  รวบรวมผลสร้างเกณฑ์ไม่เว้นวัน

ในที่สุดสรุปตรงส่งเราคืน                                             แม่ไปอื่นต่างแยกย้ายสลายที่มั่น

จะประกาศตั้งกองทัพ โดยฉับพลัน                             ประสานกันเหนือ, ใต้, อีสาน, กลาง

ปราการฝากสารคะนึงถึงมารดา                                  โดยเพียงจ่าชื่อไว้ไร้สกุลอ้าง

ส่วนที่อยู่บอกด้วยโอษฐ์เป็นโจทย์วาง                         เผื่อกลางทางปะทะได้ระวัง

ดูเหตุการณ์ถ้าแพ้ก็แค่รื้อ                                             ฉีกเอาชื่อแม่ใส่ปากเคี้ยวฝากฝัง

เนื้อจดหมายไร้ค่าอย่าอีนัง                                           เป็นโค้ตทั้งแม่ลูกรู้ผูกพัน

คนอื่นอ่านให้ว่าตาถลน                                               ก็สุดค้นเนื้อในจับไม่มั่น

ที่ต้องรีบฝากสู่เพราะรู้วัน                                             ไม่กี่เพ-ลาพลันผันจากไป

     พอดีกลาโม๋(๘)โผล่หน้ามา                                      ร้องเรียกหา…คุณแก้ว(๙)คุณแก้วอยู่ไหน?

แหม, นี่ก็ตาจ้องมองแต่ไกล                                         เราอยู่ในกองเลี้ยงทำเสียงดัง

พอพบหน้าก็หาร่ำทำเพลงไม่                                       พาเราผันจากไปไม่เหลียวหลัง

ใต้ชะง่อนผานั่นแหละ แหม…น่าจัง                              ปรีชานั่งคลอเคียงเสียงดนตรี

ขยับกายให้เรานั่งพลางบอกกล่าว                                ถึงเรื่องราวเวลาคลาที่นี่

ออกไปทำงานมวลชนจนไม่มี-                                      โอกาสที่จะทายทักสักเวลา

     “…คุณรู้แล้วใช่ไหมในกำหนด                                 จะต้องพรากชนบทงดอยู่ป่า

เพราะตอนนี้สถานการณ์นั้นเร็วท้า                               มันคิดแยกน้ำจากปลาหมดหากิน

พวกเราไปแผ้วถางเปิดทางใหม่                                    ลงสู่ในแนวป่ากาฬสินธุ์

โอกาสนี้เชิญนั่งฟังเพลงจินต์                                         ผมจะดีดแมนโดลินด้วยยินดี

กลาโหมจะร้องคลอเสียงพอไหว                                   ใส่เนื้อในทำนองของเก่ากี้

คือเพลง “จอมใจดวงแก้ว” ตามแนวชี้                          ซึ่งเป็นที่กลาโหมขอ มอบต่อคุณ

ดูเนื้อร้องเหมือนบรรเลงเพลงเหลวไหล                       แต่ภายในเนื้อหาปฏิวัติหนุน

ยังมิได้แจ้งฝ่ายนำขอค้ำจุน                                         ว่าอบอุ่น “รัก – ปฏิวัติ” จัดแนวคิด…”

     เรานึกแค่นปรีชา – กลาโม๋                                      อพิโธ่เสสรวลชวนหงุดหงิด

จึงยั่วยิ้มเป็นนัยใจน้ำมิตร                                            เขาสะกิดเครื่องสายร่ายเพลงพลัน

     “…ดวงเอย เจ้าเอ๋ย จอมใจดวงแก้ว                        จะจากกันแล้ว น้องแก้วจงห่วงทุกวัน

พี่แนบดวงจิตไว้กับมิ่งมิตรเป็นดวงเดียวกัน                ทุกคืนเจ้าหลับจงฝันจากไกลกันกับน้องเพียงกาย

นางเอย ชาตินี้เราแสนหมองหม่น                                ต่อสู้ความจน ที่คุกคามอยู่มิคลาย

ถึงเราจะอยู่ชิดคู่เชยขวัญกันจนวันตาย                       รักคงมิชื่นดังหมายไม่วายเว้นปัญหาหัวใจ

พี่จากไกลใช่ไร้ดวงใจอาวรณ์                                       หากจากจรหวังเพื่อบั่นรอนทุกข์ภัย

พลิกผืนดินสร้างสรรค์ชีวิตใหม่                                    เพื่อผืนดินที่ชื่อไทยเป็นไทสุขสันติ์งดงาม

ดวงเอย เจ้าเอ๋ย ดวงใจของพี่                                      ตราบเมื่อชีวี ไร้ความยากจนคุกคาม

รักเราคงชื่น สมดังความหวังประกายวาววาม             ไร้การเย้ยหมิ่นเหยียดหยาม ได้พบความครองรักนิรันดร์…”

     เราตะลึงในเนื้อหาสารภาพ                                    ทั้งเอิบอาบซึ้งจิตเกินคิดฝัน

ทั้งขัดเขินตาจ้องสองคู่นั้น.                                           กลาโหมพลัน ยื่นเนื้อเพลงเปล่งชื่นชม

     “เพลงนี้ส.ปรีชาเอื้อ แต่งเนื้อร้อง                             โดยสอดคล้องความในใจของผม

กลับไปแล้วอย่าคร้านมานภิรมย์                                 คิดถึงผู้ระทมทั่วถิ่นไทย

กลับไปแล้วกินผัก พืชหลากหลาย                              และออกกำลังกายสลายไข้

กินฝรั่งมากมากมีกากใย                                             เป็นผลไม้เปี่ยมวิตามินซี

ปลุกเพื่อนมิตรช่วยกันกินให้สิ้นซาก                            ฝรั่งสร้างความลำบากหลากทุกที่

ทั้งสมุนของมันบรรดานี้                                               ล้วนไม่มีเลือดไทยในวิญญาณ์

หากฝรั่งหมดซากจากแผ่นดิน                                      ผมจะบินเหมือนนกผกไปหา

กราบเท้าคุณแม่พ่อก่อชีวา                                          และอาสาท่านอยู่ดูแลคุณ…”

            พูดเหมือนจริงหรือเล่น ทะเล้นประจำ              สีหน้าย้ำซึมซับสนับสนุน

สายตาก็ทอดไกลใสละมุน                                          มิได้หมุนหน้ามองเราสองมิตร

     ปรีชาจึงเสริมเล่าพาเข้าเรื่อง                                   “…ศึกจะเขื่องไล่ล่ามาติดติด

ในแล้งนี้เอาแน่มันแผ่พิษ                                             เราไม่คิดถอยแพ้แม้ก้าวเดียว !

‘กองทัพ ปลดแอก ประชาชนไทย’                               จะเกรียงไกรเขี้ยวเล็บคอยเก็บเกี่ยว

เขามีอาวุธติดกายมากมายเจียว                                  จะเด็ดเดี่ยวแค่ไหนดูให้ดี

ส่วนของเรามีอาวุธ ผุดจากสมอง                                 ไม่เรียกร้องสะดวกสบายให้จู้จี้

ยึดมั่นในยุทธศาสตร์, ยุทธวิธี                                      คือต้องตีเร็วถอยเร็วอย่าเชื่องช้า

คุณอยู่กรุงทำงานยากลำบากยิ่ง                                 ไม่เหมือนวิ่งเล่นไล่อยู่ในป่า

ระวังมิคสัญญีจะมีมา                                                  เสร็จกิจจาค่อยพบพ้องฉลองกัน…”.

(๑) สมพงษ์ อยู่ณรงค์ เสียชีวิตที่ประเทศจีน
(๒) จิตร ภูมิศักดิ์
(๓) สมัยนั้นเขตปกครอง ต.วัฒนา กิ่ง อ.ส่องดาว จ.สกลนคร ต่อมาคือ เขต ๒๒๒ 
(๔) อุดม สีสุวรรณ
(๕) ภรรยาคนแรกของ ส.อรรถ ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต
(๖) สถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย
(๗) ภรรยาครูครอง จันดาวงศ์
(๘) ส.กลาโหม ผู้มีจิตปฏิพัทธ์ ส.แก้ว เสียสละหลังจากจิตร ภูมิศักดิ์ ประมาณสามเดือน
(๙) กรองแก้ว เจริญสุข, เธอจบ “นิราศภูพาน” ของเธอว่า…

…ยี่สิบแปดเมษาต่างคลาไกล                      กลาโหมข่มใจอาลัยลา
เราจึงล้อเขาว่า “…อย่าวิตก                        พอถึงศกสองห้าสองศูนย์จรูญหล้า
จะกลับคืนร่วมด้วยช่วยทำนา                     และตีตราเป็นลูกหลานบ้านเปือย*เอย…”
(*ด่านหน้าดงพระเจ้า บ้านเกิด ส.กลาโหม).

ประติมากรรม ณ จุดที่ล้มลง

WP2Social Auto Publish Powered By : XYZScripts.com