ดอกขะเจียวจากโคกขี้แลน – บทนำ


ดร.สีโห บุญบา

วันหนึ่งในปีนี้ ขณะที่ผลวิจัยของสถาบันพระปกเกล้าฯ ว่าด้วยความปรองดอง กำลังเป็นประเด็นวิวาทที่พร้อมจะนำไปสู่ความแตกแยก และนำไปสู่การประหัตประหารระหว่างคนในชาติเดียวกัน

สงครามกลางเมือง ราษฎรส่วนใหญ่หวาดวิตก

แต่คนส่วนน้อยว่า ทฤษฎีสีย่อมผสมผสานกันก่อนแล้วจึงกลายเป็นสีใหม่ โดยมีสีเลือดยังเป็นแดงเข้มข้น

ระหว่างวันเวลานี้ เกิดความไหวหวั่นสั่นสะเทือนจากท้องทะเลลึก ระดับความรุนแรงอยู่ที่สิบริกเตอร์

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซกลางมหาสมุทรแปซิฟิค ในระหว่างเส้นทับซ้อนทางอาณาเขต ซึ่งยังคงเป็นปัญหาเรื่อยมา และถกเถียงโต้แย้งกันระหว่างไทยกับกัมพูชา

สึนามิ ได้โหมกระหน่ำแทบว่าแท่นขุดเจาะจะกลายเป็นเศษซาก…

โศกนาฏกรรมได้รุกฆาตชายฝั่งในสามทวีป เอเชีย อเมริกาใต้ และแอฟริกา ชีวิตมนุษย์ล้มหายตายไปกับคลื่นยักษ์มรณะ มีตัวเลขนับแสน ๆ …

แต่แท่นขุดเจาะยังทำการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซจากกลางทะเลลึกได้เหมือนเดิม

เรื่องไม่น่าเชื่อจึงเกิดขึ้น…

 

มีชายชราอายุราว ๆ เจ็ดสิบปี หน้าตายังอิ่มเอิบ ท่าทางใจดี รีบร้อนเข้ามาหาดอกเตอร์สีโห บุญบา ขณะที่เขากำลังเดินออกจากห้องบรรยายวิชาประวัติศาสตร์ ในมหาวิทยาลัย เพื่อกลับไปยังห้องทำงานคณะศิลปศาสตร์

“ขอโทษครับ คุณคืออาจารย์สีโหใช่ไหม?”

ดร.สีโห ผละไปนิดหนึ่งด้วยความตกใจเล็กน้อย แปลกหูที่ได้ยินสำเนียงพูดเหมือนปู่เฮืองของเขา ซึ่งได้เสียชีวิตไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน

“ใช่ครับ คุณตามีธุระกับผมหรือครับ?”

แทนคำตอบชายชราพูดว่า “ขอเวลาให้ผมสักน้อยได้หรือไม่?”

“ได้ครับ” ดร.สีโหบอก “เชิญที่ห้องทำงานผมดีกว่า”

สีโห เป็นชายหนุ่มที่คบง่าย ไม่มีเรื่องต้องระแวงระวังและไม่ชอบพิธีรีตองอะไร ชายหนุ่มเห็นชายชราเป็นคนที่มีบุคลิกดี ท่าทางคบง่าย พอเห็นหน้าก็ทำให้รู้สึกไว้วางใจ จึงเดินนำหน้าชายชราไปที่ห้องทำงานอย่างไม่รีบร้อน พลางหันมาถามชายชราว่า

“ไม่ทราบว่าคุณตามาจากไหน”

“ผมเดินทางมาไกล” ชายชราบอก พลางยิ้มเล็กน้อยเมื่อพูดถึงที่มา “ปักกิ่ง”

ดร. สีโห ชะงัก หันกลับไปมองใบหน้าของชายชราอย่างไม่ตั้งใจ ใบหน้านั้นไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นคนจีน แม้จะร่วงโรยไปตามวัย แต่ยังความเกลี้ยงเกลาและดวงตาก็สดใส พวงแก้มอิ่มเอิบ ท่วงท่าเดินเหิน มีความเข้มแข็ง รูปร่างอย่างชาวบ้านชาวเอเชียทั่ว ๆ ไป ผิวสีดำแดงแต่สะอาดสะอ้าน ทำให้สีโหเชื่อว่าแกมาจากปักกิ่งจริง เพราะผิวไม่กร้านเนื่องจากแดดอย่างชาวบ้านในชนบทเมืองร้อน

เมื่อสีโหเปิดประตูห้องทำงานอาจารย์เข้าไป เขาผายมือเชื้อเชิญอย่างสุภาพ เชิญให้นั่งลงที่เก้าอี้รับแขก ก่อนจะถามว่า

“จะรับกาแฟหรือชาดีครับคุณตา?”

“ชาก็ดี… แต่ว่าไม่ต้องเป็นภาระเลย ผมดื่มมาแล้ว” ชายชราบอก พลางหันมองไปรอบ ๆ ห้อง ซึ่งไม่กว้างอะไรนัก แต่ได้ตั้งตู้เย็นขนาดเล็กไว้ที่มุมห้องด้านหนึ่ง มีโต๊ะสำหรับตั้งกระติกต้มน้ำไฟฟ้า ชุดถ้วยกาแฟ แก้วน้ำ ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นชั้นวางหนังสือและมีหนังสือมากมาย รวมทั้งเอกสารการค้นคว้าที่วางซ้อนทับอย่างไม่มีระเบียบมากนัก ข้างโต๊ะทำงานมีคอมพิวเตอร์ มีโทรทัศน์ โทรศัพท์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าจำเป็นอื่น ๆ

สีโหชงชาร้อนและยื่นถ้วยชามาวางไว้ที่โต๊ะทำงาน ต่อหน้าชายชรากล่าวขอบคุณเบา ๆ พลางแนะนำตัวเองอย่างเรียบง่าย

“ผมอยู่เมืองจีนหลายปี” พลางยกถ้วยชาขึ้นจิบ “อยู่หลายเมือง แต่ท้ายสุดก็ปักหลักที่ปักกิ่ง”

“หมายความว่า คุณตา…”

“คือปู่…พ่อของผม ท่านหนีภัยไปหลบที่ลาวกับย่า พอรุ่นพ่อท่านเข้าร่วมรบกับแนวลาวฮักซาด พ่อแต่งงานกับสาวเมืองพวน แม่คลอดผมที่เชียงขวาง เมื่อผมโตขึ้น พ่อส่งผมไปอยู่วัดราชนัดดาราม กรุงเทพฯ เรียนหนังสือจนจบชั้นมัธยม แล้วผมจึงกลับเข้าไปที่ลาวอีก ตามหาพ่อแม่ แต่ไม่พบกัน…”

ชายชรายกถ้วยชาขึ้นจิบช้า ๆ แต่สีโหทนไม่ไหว ความอยากรู้ทำให้ถามขึ้นว่า

“คุณตาจะให้ผมตามหาพ่อแม่ให้อย่างนั้นหรือครับ?”

“โอ้ย… ขอบใจ” แกว่า “ที่ผมเล่าเรื่องให้ฟัง ก็เพื่อจะบอกว่า ผมกับอาจารย์กำเนิดมาจากปู่ย่าตาทวดที่เป็นญาติกัน ไม่ใช่จะให้ตามหาพ่อแม่ให้ แต่ผมคงจะเล่าย้อนยาวไปหน่อย”

“ไม่เป็นไรครับ ผมฟังอยู่”

“หลังสงครามในลาว ผมกลับไปสอบหาญาติพี่น้อง ได้เรื่องปะติดปะต่อ แต่ตอนนั้นมีเหตุต้องให้รีบกลับปักกิ่ง ภรรยาผมเป็นชาวจีนจะคลอดลูกคนแรก ก็ต้องรีบกลับไปดูแลกัน ไปหาหลายปี จนมีลูกสามคน คนโตเป็นผู้ชาย ทำงานอยู่แผนกวรรณคดี มหาวิทยาลัยปักกิ่ง คนที่สองเป็นหญิง ทำงานเลขานุการสถานทูตญี่ปุ่น คนที่สามเป็นชาย กำลังทำปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยลอนดอน…”

“เก่งทุกคนเลยนะครับ”

“ลูกชายคนโต ฝากจดหมายมาให้อาจารย์สีโหด้วย” พลางยื่นซองจดหมายมาต่อหน้า สีโหรับไว้ด้วยความงุนงงสงสัยเป็นทวีคูณ ได้ยินเสียงชายชราพูดว่า “ผมขอถามให้หายข้องใจก่อน…”

“ผมไม่มีอะไรต้องปิดบังอาจารย์ ถามได้”

“คุณตาเป็นใคร?”

“ผมชื่อบุญเกิด” สีโห นิ่งไปชั่วครู่ ไม่เคยรู้จักชายคนนี้มาก่อนแต่อย่างใด แม้ว่าชื่อนี้จะมีอยู่ทั่วไป แต่คน…สีโหก็ไม่รู้จักอยู่ดี แกพูดต่อไปว่า “เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ไม่เคยได้พบกัน แต่ผมสืบค้นจากญาติ จึงรู้ว่าอาจารย์สีโห เป็นใคร อยู่ที่ไหน ทำอะไรและจึงมาหา…”

“ผมมีความสำคัญอะไร…”

“สำคัญที่ว่า ปู่ของผมกับทวดของอาจารย์ เป็นเสี่ยวฮัก”

เพื่อน, มิตร, สหาย และคำอื่น ๆ ที่แสดงถึงความเป็นเพื่อน ก็ยังไม่ลึกซึ้งเท่ากับคำว่าเสี่ยว และยิ่งว่า เสี่ยวฮัก อีกด้วยความลึกซึ้งย่อมมิใช่ธรรมดา เสมอว่าเพื่อนเป็นเพื่อนตาย

“ทวดคือพ่อของปู่” สีโหเอ่ยชื่อบรรพบุรุษ “จารย์บุญคือ ทวดของปู่เฮือง…”

“ถูกต้องแล้ว” แกบอกสีโห “ผมคือหลานแท้ ๆ ของจารย์แก้วกับย่าแพง”

ได้ฟังคำแนะนำตนของชายชรา สีโหรู้สึกยะเยือกลงไปในหัวใจ ตื้นตันและหวั่นไหวในเวลาเดียวกัน แต่ก็ยกมือขึ้นประนมก้มไหว้ ขออภัยอย่างนอบน้อม สีโหแสดงความเคารพในบรรพชนอย่างไม่ต้องสงสัยใด  ๆ ไม่ใช่เพราะความเป็นผู้ให้กำเนิดเท่านั้น แต่หมายถึงวิถีชีวิตที่ยืนหยัดขัดเกลา กลั่นกรองเป็นเลือดเนื้อในท่ามกลางความดิ้นรน การต่อสู้ การรักษาฮีตคอง แล้วกลายมาเป็นการสืบสาย การปลูกฝังสั่งสม อย่างโบราณท่านว่า สืบสายแฮ่ แผ่สายบือ…

ได้ยินเสียงชายชรากล่าวขึ้นช้า ๆ ว่า “ที่ผมมาวันนี้ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กับอาจารย์เกี่ยวกับอดีตของทวดปู่ย่า ผมรู้สึกดีใจที่อาจารย์จดจำท่านเหล่านั้นได้” แกหยุดพูด แล้วยกถ้วยชาขึ้นจิบ มองลึกเข้าไปที่ดวงตาของสีโห คาดความรู้สึกของชายหนุ่มว่า คงกำลังเรียบเรียงความเป็นมาในมุมมองของตน และคงจะยังสับสน จึงกล่าวต่อไปว่า “อดีตเป็นบทเรียนปัจจุบัน โคตรเหง้าเหล่ากอพวกเรา เคยต่อสู้เพื่อความถูกต้องชอบธรรม บทเรียนนี้ ย่อมคือแนวทางและความภาคภูมิใจ มันจะมีความหมายก็เพราะเรารักษาแนวทางอันถูกต้องชอบธรรม แม้การต่อสู้ในเวลานี้จะไม่ใช่สงคราม แต่ก็เป็นภารกิจประวัติศาสตร์ ย่อมแต่งแต้มสีสันวันเวลาให้น่าดูน่าชม ไม่ใช่เกิดมาแล้วอยู่ไปอย่างจืดชืดมืดมน ไม่รู้จักคนและไม่รู้จักค่า จึงไร้ค่า”

เงียบกันไปชั่วครู่ สีโหจึงกล่าวขึ้นว่า “ผมดีใจที่มีวันนี้ ได้พบและรู้จักคุณตา แต่…”

“มีอะไรหรืออาจารย์?”

“ของล้ำค่านั้น… ผมทำหายเสียแล้ว…”

“ผมเชื้อสายข่าเรอแดว ลาวเทิงก็จริง” ชายชราเห็นสีโหบ่งแวววิตกกังวลจึงพูดว่า “ผมไม่ได้มาตามหา ตาวฮางเซ็ง”

“ตาวฮางเซ็ง…” สีโหพึมพำออกชื่อ “คุณตาไม่ได้มาตามเอาคืนหรือครับ?”

“ผมไม่ได้มาเพราะของสิ่งนั้น” ชายชราพูด “ผมรู้เรื่องดี ตระกูลผมไม่ได้ถูกฆ่าอาจารย์ก็รู้ ตอนนี้ บ้านเมืองปลดปล่อยเปลี่ยนแปลงไป พวกที่อยู่ในลาวก็สบายดี พวกลูกหลานที่อยู่อังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย แอฟริกา บราซิล รัสเซียและจีน หรือที่ไหน ๆ ในโลกก็จะแผ่ผายกระจายไป สืบชาติสืบเชื้อไม่มีวันหมด”

ชายชราพูดแล้วก็หัวเราะขึ้นเบา ๆ ทำให้บรรยากาศตึง ๆ และเครียดของสีโหผ่อนคลาย จึงเล่าเรื่อง ต่างรำลึกทบทวนเหตุการณ์ที่ตนรู้ จากเสียงหัวเราะเบา ๆ กลับดังขึ้น ๆ

บรรยายกาศจึงเต็มไปด้วยความหลังและมิตรภาพผูกพัน จนกระทั่ง…

“ผมคงพักอยู่กรุงเทพฯ อีกสองสามวัน” ชายชราบอก “จากนั้นจะบินต่อไปอังกฤษ”

“เดินทางตลอดเลยนะครับ”

“ใช่แล้ว” ชายชราบอก “เมื่อก่อนตอนแต่งงานใหม่ ๆ นโยบายค้าขายจีนไม่เปิดกว้างอะไร พอท่านเติ้งเสี่ยวผิงปรับนโยบายใหม่ พรรคคอมมิวนิสต์ฯ เปิดกว้าง พ่อตาผมซึ่งเป็นมหาเศรษฐี มีโรงงานถลุงเหล็กขนาดใหญ่ที่ชานตง ได้กลับเข้าบริหาร จึงรุ่งเรืองก้าวหน้าและทำกำไร ขยายตลาดไปทั่วโลก กลุ่มสหภาพยุโรป กลุ่มประเทศในแอฟริกา นิยมเหล็กจีนมากกว่าเหล็กรัสเซียหรือเหล็กเยอรมัน ผมในฐานะกรรมการผู้จัดการ จึงต้องเดินทางไปรอบโลก ปีละหลายครั้ง”

“อ๋อ – ผมนึกออกแล้ว คุณตามากับคณะสมาคมเหล็กฯ นั้นเอง หน้าสังคมธุรกิจหนังสือพิมพ์ฉบับวานนี้เพิ่งลงเป็นข่าว”

“อาจารย์เข้าใจไม่ผิด” ชายชราบอก “ผมเป็นนายกสมาคมนี้”

ชายชราลุกขึ้น ขอตัวกลับไปยังโรงแรมที่พัก สีโหเดินตามออกไปส่งจนถึงรถยนต์ที่จอดรอบริเวณที่จอดรถ ซึ่งมีพนักงานขับรถมายืนรอเปิดประตูให้อย่างสุภาพ สีโหเข้าใจว่า รถยนต์นั้นน่าจะเป็นรถยนต์ประจำสถานทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนในกรุงเทพฯ เพราะเครื่องหมายแผ่นป้ายบ่งบอก

เมื่อสีโหเดินกลับมายังห้องทำงาน เขาจึงหยิบจดหมายขึ้นมาเปิดออกอ่าน ข้อความที่เขียนแต่งเป็นคำกลอนสุภาพ ลายมือไม่สวย แต่อ่านง่าย เป็นระเบียบ เขียนว่า

 

 

“อย่าสงสัยไกลกันแต่ตัวดอก

เชื้อชั้นอยู่บ้านนอกเป็นไพร่ข้า

โคตรเหง้าเหล่ากอตามกันมา

สีสันวรรณนาอาจเปลี่ยนแปลง

เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพโลก

มีทุกข์มีโศกมืดแล้วแจ้ง

เลือดไหลในกายเป็นสีแดง

เลือดแห่งบรรพชนคนลาวเทิง

แต่ใดมาทุกข์จนทนลำบาก

หากินไม่พอปากเป็นสางเสิง

ผู้เป็นไทไล่จับแตกกระเจิง

หนีเปิดเปิงเป็นกองกอยเป็นม้อยแกว

หนีไม่ทันถูกจับไปเป็นไพร่ข้า

ถูกสักเลขส่วยทำนาหากินแห้ว

เคยลุกขึ้นต้านต่อก่อเป็นแนว

จึงผ่องแผ้วเผ่าพิมลคนเหมือนกัน

      โลกนี้คนเท่าเทียมมีเสรีภาพ

ขอให้ทราบแท้อยู่ไกลก็ใฝ่ฝัน

จะต่อสายไมตรีมีสัมพันธ์

เฉกเช่นบรรพชนสร้างแนวทางไว้”

จบกลอน บรรทัดท้ายเป็นลายมือเขียนภาษาจีนกลาง สีโหอ่านไม่ได้ เข้าใจว่าเป็นลายมือชื่อของเจ้าของกลอน สีโหวางกระดาษไว้ที่โต๊ะทำงานช้า ๆ พลางหวนรำลึกไปถึงบรรพบุรุษซึ่งเปรียบว่าอยู่ในตำนานนิรนาม เคลื่อนไหวโลดแล่นในมโนภาพแห่งจินตนาการสุดโคนรุ้ง…


Related Posts

นวนิยายเรื่อง “ดอกขะเจียวจากโคกขี้แลน” กำลังเข้มข้นในนิตยสาร “ทางอีศาน”
เยาวภาพแห่งเดือนตุลา
ดอกขะเจียวจากโคกขี้แลน ตอนที่ 11
WP2Social Auto Publish Powered By : XYZScripts.com