ดอกขะเจียวจากโคกขี้แลน ตอนที่ 1

    แดดอุ่นอร่ามยามเช้า ลมหนาวพัดใบมะขามปลิวโปรย ใบที่โรยร่วงดินแล้วลมก็พัดตลบฟุ้งไปกับทรายเม็ดเล็ก ๆ สีขาวบนลานกว้าง ควันไฟและเถ้าธุลีกระจายเป็นวงตามกระแสลมที่หวือหวามาเป็นระยะ ๆ

ชายชราตื่นนอนก่อนสว่าง เหมือนทุกวันที่ผ่านมา ไก่ขันยามสามยมสี่แกก็รู้สึกตัว หอบผ้านวมเก่าคร่ำสีครามจนซีดกระย่องกระแย่งลงบันไดมาที่ลาน แล้วก่อไฟผิงใต้ร่มมะขาม แคร่ไม้ไผ่ข้างกองไฟ ปูเสื่อแล้วเป็นเตียงนอนหรือนั่งตามสะดวก ตอนกลางคืนหมาบักแดงยึดไว้เป็นที่นอน ชายชราจิดฝีปากไล่ หมาก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจ หาว สั่นหางแล้วจึงกระโดดลงจากแคร่ ไปยกขาเยี่ยวแล้วก็กลับมาแอ่งแม้งลงข้าง ๆ กองไฟดังเก่า ส่วนชายชราก็ใช้ผ้าห่มนั่นเองปัดกวาดแคร่ไม้ไผ่ ก่อนขึ้นไปนอนแทนหมา

แดดออกแล้ว หมอกสีเทาจางหายไป หยดน้ำค้างเกาะดอกมะม่วงสะท้อนแสงดาวแวววาว เสียงไก่กาหมาหมูและผู้คนฟังอึงอลสนเสไม่เป็นสำเนียง

พวกเด็กผู้ชายตัวมอม ๆ ออกวิ่งเล่น กะโพน แบบลืมหนาว เพราะว่ามันสนุก บั้งกะโพกทำด้วยไม้ไผ่ส้างไพลำเท่าหัวแม่ตีนหรือเท่าแขนของเด็กเล็ก ยาวประมาณสองคืบ นำไม้มาเหลาให้กลม ความยาวเท่ากับบั้งกะโพนเพื่อเป็นลูกสูบ ชักเข้าชักออกเวลายิง โดยบั้งกะโพกบรรจุลูกนุ่นอ่อนที่หล่อนจากต้น อัดให้แน่น เมื่อลูกสูบถูกกระแทกลูกนุ่นที่อัดไว้ก็จะแตกออกทางบั้ง เกิดเสียงดังโป๊ะ พวกเด็ก ๆ ทำเป็นวิ่งหลบเลี้ยวเฟี้ยวฟ้าวไปมา คลุกฝุ่นคลุกดินตามประสา บางคนมัวแต่บรรจุนุ่นลงบั้ง ไม่ทันระวังตัว ก็ถูกคนที่วิ่งเข้ามายิงจากข้างหลัง โดยพยายามยิงให้ใกล้รูหูที่สุด ลูกนุ่นที่เฉี่ยวผิวหนังใบหูแสบร้อนพอควร แต่ความตกใจทำให้ร้องไห้จ้าก็มี บางคนก็เพียงแต่หัวเราะแบบขลาด ๆ

ชายชราคิดว่ามนุษย์ทุกคนกลัวความเจ็บปวด สัญชาตญาณของคนบอกให้หลีกเลี่ยง แต่คนก็ชอบเลี่ยง ชอบค้นหาและทดลอง บ้างก็นำเอาปืนผาหน้าไม้ออกมาประหัตประหาร เพื่อให้คนได้บรรลุความต้องการของตน ขณะที่อีกฝ่ายก็ออกต่อต้าน แม้จะรู้ว่าถึงแก่ชีวิตหรือเต็มไปด้วยความโหดร้ายป่าเถื่อนและเจ็บปวด แต่วิถีของคนบ้างก็สร้างอุดมการณ์ขึ้นมาว่า ถ้าไม่เจ็บปวดเสียบ้าง แล้วจะได้ชีวิตที่ดีกว่าหรือ? บ้างก็ว่า ถ้าผ่านความเจ็บปวดไปได้ก็เหมือนเกิดใหม่อีกชาติหนึ่ง

แดดสายขึ้น เด็ก ๆ เลิกเล่นกะโพนขึ้นเรือนของตนไปปั้นเอาก้อนข้าวโรยเกลือ นวดให้เมล็ดข้าวแตกเหนียวติดเป็นก้อน ใช้ไม้ยาวเสียบและนำไปย่างไฟให้สุกเหลือง พวกมันเรียกว่าข้าวจี่ เอามากินใส่ท้องแทนอาหารมื้อเช้า เท่านี้พวกมันก็อิ่มและวิ่งเล่นกันต่อ แต่ชายชราปล่อยอารมณ์ให้หวนคิดถึงวัยเด็กของแก ที่พ่อแม่เคยเล่าให้ฟัง

สามปีที่ความแห้งแล้งลามไหม้ ฝนฟ้าไม่ตก นกบินฝ่าแดดตกลงกลางทุ่งกลางทราย น้ำในลำห้วยที่เคยมีวังเดือนห้าเหือดแห้งสนิท ชาวบ้านต้องพากันขุดบ่อขุดส้างให้ลึกลงไปถึงชั้นหิน จึงได้น้ำมาดื่มกินพอประทัง แต่บรรดาไร่นานั้น เห็นแต่ลมหัวกุดพัดซังแห้งปลิวลอย พวกเขาก็พากันเข้าป่าดง ถือเสียมถือพร้า หิ้วตะกร้า กะต่า กระบุง หาขุดก่นหัวมันหัวกลอย หาบคอนเพื่อสะสมไว้ยามไม่มีข้าวจะกิน

ฝนไม่ตกหลายปีเข้าก็ไปเต้านางแมวมาแห่แหน จับแมวลายของอีสี มันกะหนีขึ้นต้นเฟือง จับแมวเหลืองของบักเนามันกะแล่นเข้าดง จับแมวโพงทันกะแล่นเข้าถ้ำ จับได้แมวสีดำโตเมียเพิ่นให้เสียคายเหล้า เอามันเข้าขังในกะทอ แห่ไปขอฝนอยู่รอบบ้าน ฝนตกแฮง ๆ ให้บักแตงเป็นหน่วย เทลงมาฝนเทลงมา ๆ ถึงเรือนหลังใดเขาก็สาดน้ำใส่แม่นางแมว แม่นางแมวเปียกปอนสั่นอยู่งั่ก ๆ ในกะทอที่เขาสอดไม้หามไปรอบ ๆ หมู่บ้าน คนนำขบวนบ้างก็ว่าเซิ้งนางแมว ขบวนบ่าวสาวที่ติดตามไปก็ร้องเซิ้งตาม

“เต้าอีแม่นางแมวมาขอปลาขอไข่

ขอบ่ได้ ขอฟ้าขอฝน

ขอน้ำมนต์ฮดแมวข้อยแน่

นาหินแห่ปลูกข้าวตายปะๆ

นาอยู่บะ ปลูกข้าวตายแล้ง

หับเหี่ยวแห้งใบเกิดเป็นฝอย

ขุดมันกลอยหมดดงหมดป่า

ฝูงหมู่ข้าฯ ขอน้ำ ขอฝน

ให้ซู่คน ซู่นา ซู่ไฮ่

เทลงมาฝนเทลงมา เทลงมาฝนเทลงมา

เทลงมาให้นากูโห่ง เทลงมาให้โซ่งกูเปียก

ให้โคยกูเสียก หัวแดงแจ่แหว่…”

ชายชราคิดย้อนกลับไป แม้จะไม่ทันเกิด แต่นึกเอาว่าชีวิตหนึ่งได้กำเนิดขึ้น ที่เขตแขวงแหล่งตำบลที่รางเลือนเปลี่ยนแปลงไปดั่งตำนานแล้ว ยามนี้เสียงแห่แหนนางแมวขอฝนกำลังครื้นเครงด้วยสรรพเสียงผู้คน ฆ้อง กลอง และแคน เป็นต้น  ท้องฟ้าที่จ้าแจ่มด้วยแดดระอุ คราวนั้นก็แปรเปลี่ยนบังเกิดเมฆทะมึนดำ กระแสพัดผวนป่วนปั่นดังผีทำมืดมิดไปบัดดล ผู้คนก็แตกตื่นโกลาหลเซ็งแซ่อัศจรรย์ใจ ฟ้าก็ร้องอยู่เปรี้ยงปร้าง ฝนก็เทลงมา

อีคำนางเมียจารย์บัว ได้คลอดทารกเพศชาย ฟ้าก็โปรยปรายสายวสันต์ไหลหลั่งถั่งเทลงดินปานฟ้ารั่ว เป็นที่ชุ่มชื่นรื่นรมย์ทั่วไปทั้งหมู่บ้าน จารย์บัวผู้เป็นพ่อนั้นแสนดี คิดไปทางเข้าข้างตนว่า บุญวาสนาของลูกน้อยคงจะเป็นเทวดาส่งลงมาเกิด ชาวบ้านที่ทราบข่าวก็มาแห่ห้อม พร้อมกับแสดงความปีติกับจารย์บัวและอีคำนาง พวกมันก็ได้ให้ชื่อทารกน้อยว่า บุญ แปลว่า ความดี ความสุข เป็นกุศล บุญญาภิสังขารของทารกน้อย แม้นจะเกิดในแดนกันดารก็จะทนทานฝ่าฟันนำชีวิตไปถึงความสุข ความเจริญได้

บุญเติบโตขึ้นเป็นเด็กน้อย ด้วยกบเขียด, แมงต่าง ๆ และหัวมันหัวกลอย ยามใดที่ได้ข้าวนึ่งข้าวเหนียว ก็จะลงหาปู ปลา กบ เขียด กุดจี่ แมงจินูนไปตามสภาพ ฤดูเดือนเคลื่อนคลายไป บุญก็เติบโตเป็นหลักของครอบครัว เฮ็ดไฮ่เฮ็ดนาตามประสาชีวิตทุ่งชีวิตดอน ในช่วงปีเหล่านี้ ก็ได้มีครอบครัวชาวป่าชาวดงอพยพข้ามฝั่งโขง เข้ามาจับจองที่ดินส่าวไฮ่ส่าวนา บ้างว่าไม่ใช่การอพยพธรรมดา แต่เป็นการหนีพญาทองอินเมืองโคราช ที่เที่ยวไปไล่จับไล่ต้อนชาวป่าชาวดอนจับลงไปเป็นทาส บุญเองไม่อยู่ในวิสัยจะเข้าใจเหตุนั้น เพียงได้ฟังหนุ่มแก้วรุ่นส่ำน้อยเล่าให้ฟัง

ทั้งฝ่ายพ่อของบุญ และฝ่ายพ่อของหนุ่มแก้ว เห็นพร้อมกันกับคนเฒ่าคนแก่ของหมู่บ้านให้จัดพิธี แฮกเสี่ยว ระหว่างบุญกับแก้ว พวกเขาบอกว่า ผมบ่หลายให้ติ่มซ้อง พี่น้องบ่หลายให้ติ่มเสี่ยว แล้วเชิญพ่อแม่พี่น้องทั้งสองฝ่ายมาบายศรีสู่ขวัญ เอาด้ายขาวมาผูกข้อต่อแขนให้บุญให้แก้ว ปากก็ว่า…

ขวัญมาแล้วให้เป็นเสี่ยวฮักแพง ศรี ๆ สิทธิพระพรบวรวิเศษ บุญแก้วเกตุมงคล ปุนลงมาตกแต่ง แยงลงมาฮักษา ขวัญสองเสี่ยวอย่าไปเที่ยวไกลบ้าน เก็บดอกว่านให้เจ้าเก็บแคมสวน ดอกลำดวนให้เจ้าเก็บแคมฮั้ว เที่ยวไปทั่วขวัญเจ้าเทียวนำกัน เที่ยวทางขันขวัญเจ้าดึงกันขึ้น ให้เจ้ากินปลาฮ่วมห้วย ให้เจ้ากินกล้วยฮ่วมหวี ให้กินปลีฮ่วมกาบ ให้อาบน้ำฮ่วมวัง อย่าได้มียามซังเสี่ยวเจ้าสักเทื่อ อย่าได้มียามเบื่อเสี่ยวเจ้าสักยาม อย่าได้เหยียดหยามเสี่ยวเจ้าสักบาท ยามทุกข์ให้เจ้าซ่อยแบ่งปัน ยามสุขให้เจ้าได้แบ่งให้ คดใส้แต่บ่คดคำจา ให้เจ้าอายุมั่นพันปีเป็นเขต สองเกล้าเกศให้เจ้าฮั่งเจ้ามี มื้อนี้มื้อสันวันดี ยามนี้เป็นยามศรีศุภฤกษ์ เบิกดิถีอมตะโชค โตกอันนี้แม่นโตกไม้จันทน์ ขันอันนี้แม่นขันไม้แก้ว เข่าแก่ปูนแล้วจึงได้แต่งพาขวัญ ตกเต้ากัณฑ์พ่ำพร้อม ห้อมแฮกเสี่ยวบาคาน ให้อยู่อยู่ดีสำราญทั้งสองบ่าวเย้อ…

ยามว่างเว้นงานในนาไร่ สองหนุ่มไม่ได้ปล่อยเวลาให้เสียไปกับการเที่ยวเล่นสำราญ หาประโยชน์ไม่ได้ แต่ได้ไปหัดเขียนหัดอ่านหนังสือไทน้อย อาจารย์ของพวกมันในเวลานั้นคือ จารย์ผองขี้โคก ซึ่งได้บอกถึงเรื่องฮีต เรื่องคอง ที่จารย์ผองได้เรียนรู้จากใบลานจารไว้ เรื่องฮีตมี 12 เรื่องคองมี 14 นอกนั้นเป็นประเพณีและศิลปะวิทยาการต่าง ๆ เช่น ตำรายาเบื้องต้น มนต์ต่าง ๆ ตลอดจนผะหยาพาสิด ปริศนาคำทวย คำสอน และเสียวสวาด

จารย์ผองขี้โคกบอกว่า ก่อนเจ้าทั้งสองจะไปบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เป็นชาวบ้านก็พึ่งรู้ ฮีต และ คอง ฮีตหนึ่งนั้นเดือนอ้ายเฮ็ดบุญเข้ากรรม พระท่านต้องสังฆาทิเสสจึงขอมานัตและขออัพภานจากคณะสงฆ์ เดือนยี่เฮ็ดบุญคูณลาน เดือนสามบุญข้าวจี่ เดือนสี่บุญพระเหวด เดือนห้าบุญสรงน้ำ เดือนหกบุญวิสาขากับบุญบั้งไฟ เดือนเจ็ดบุญบูชาเทวดาซำฮะบะบิก เดือนแปดบุญเข้าพรรษา เดือนเก้าบุญข้าวประดับดิน เดือนสิบบุญข้าวสาก เดือนสิบเอ็ดบุญออกพรรษา เดือนสิบสองบุญกฐิน ส่วนคองนั้น เป็นแนวทางที่ควบคุมความประพฤติของคน เป็นหลักปฏิบัติเมื่ออยู่รวมกันในบ้านในเมือง จารย์ผองขี้โคกว่า เจ้าเมืองดีบ่เห็นแก่เงินแสนไถ้ เจ้าเมืองดีเห็นแก่ไพร่แสนเมือง จึงมีสมบัติอันประเสริฐคือ มีหูเมือง ตาเมือง แก่นเมือง ประตูเมือง ฮากเมือง เหง้าเมือง ขื่อเมือง ฝาเมือง แปเมือง เขตเมือง สติเมือง ใจเมือง ค่าเมือง และเมฆเมือง…

บัดนี้เจ้าทั้งสองอายุครบบวช ต้องออกไปนอนวัดหัดอ่านหัดเขียนตัวธรรม เพราะว่าใบลานจารหลักธรรมทั้งหลาย จารเป็นตัวอักษรธรรมนั้น จารย์ผองขี้โคกบอกว่า สังกะสี สีกา อุบาสก ต้องรู้จักธรรมเนียมเสี้ยมสอนมาแต่ปูดปู้ ต้องเคร่งครัดดัดนิสัยมิให้ทำเล่นเป็นวอก ต้องขูดเกลาสันดานพอกออกให้บาง ยามนั้นนาคทั้งสองก็ได้ท่องบทสวดมนต์ทำวัตรเช้าวัตรเย็นจนช่ำชอง และสามารถพิจารณาอักษรธรรมได้บ้าง แม้มิคล่องแคล่ว ก็สามารถจับหนังสือผูกใบลานขึ้นมาอ่านมาศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนได้

เมื่อทั้งบุญและแก้วเข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัตร ก็เป็นอันหมดภาระของจารย์ผองขี้โคก ตกเป็นภาระแก่พระอุปัชฌาย์ที่จะให้การอบรมสั่งสอนต่อไป หัวครูอินจึงได้รับหน้าที่นี้ต่อมา ยามนั้นหัวครูอินผู้เจนจบมูลจายนะอรรถโยชนา ว่าด้วยหลักอธิบายบาลีไวยกรณ์ ได้สั่งสอนพระพุทธศาสนาแก่เจ้าหัวทั้งสอง จนพอจะย่องจะยกแถมสมภารให้ เมื่อพรรษาแรกผ่านไปสู่พรรษาที่สอง ญาติโยมก็ได้มาฮดสรง เจ้าหัวทั้งสองจึงได้สมเด็จ พอพรรษาที่สองผ่านไป พรรษาที่สามฮดครั้งที่สองของญาติโยมจะแถมสมภารให้เป็นหัวซา และครั้งที่สามถ้าฮดจะเป็นหัวครู เจ้าหัวกูก็อยากสิกขา นามต่อมาจึงได้เพียงจารย์บุญและจารย์แก้ว เมื่อสึกออกจากเพศบรรพชิตแล้ว

ด้วยวัยคะนองสองจารย์หนุ่มได้รับรู้เรื่องราวชาวบ้านข่าเรอแดว โดยเฉพาะจารย์แก้วมีเลือดเนื้อเชื้อสันดานเล่าขานตำนานนักรบภูสูง โน้มน้อมจิตใจจารย์บุญให้มุ่งมั่น จินตนาการนั้นคือการได้ออกแสวงหาของดีวิชาขลัง แม้หัวครูอินจะห้ามว่าอย่าไปมัวเมาอวิชชา พระพุทธศาสนามิได้สอนสั่งไว้ สังขารไม่เที่ยงแท้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรียนมนต์มาหรือจะพ้นจากสงสาร สู้ตามรอยบาทพุทธเจ้าไม่ได้ แต่สองจารย์ก็กราบลาครูอาจารย์ พ่อแม่ญาติพี่น้องเที่ยวท่องไป

ช่วงเวลาที่บรรพชนของชายชราออกมุ่งมั่นแสวงหาฝ่ายวิชาอย่างเกจิ ยามนั้น ช่างดูลิ่วลิบ เวิ้งว้างดังหนึ่งแสงอาทิตย์ยามเย็น โรยละมุนโปรยปรายอณูรังสีทาบทาหลั่นไหล่หลุบลี้ภูผาป่าสูง เกิดทอดเงาลดหลั่นครามเข้มเต็มพื้นลงหลุบลี้สีทันดร ณ แดนโพ้น…

ตามตำนานอย่างมุขปาฐและจารไว้ใบลาน เมืองเรอแดว ได้เจริญสีวิไลก่อนพวกเขมรเจิ้นลานับร้อยกว่าปี เขมรได้ตั้งนครอีศานปุระขึ้นแล้วรวบรวมรี้พล ช้างม้าได้มากมาย พอเข้มแข็งก็ยกเข้าปราบปรามไล่ล่าข่าเรอแดวจนสิ้นเมือง ต้องแตกพ่ายหายสาบสูญเข้าป่าดง ที่ถูกจับได้บรรดาข่าเรอแดวถูกนำมาเป็นข้าทาสสร้างอาณาจักรศรียโสธรปุระ แต่พวกเรอแดวที่อยู่ตามป่าดง ก็พยายามรวบรวมเผ่าพันธุ์ หันไปนับถือผีปีศาจร่ายวาดมนต์วิชาอาคมเหล่านี้ได้ตกทอดถึงลูกหลานเหลน ด้วยการกอบกู้บ้านเมืองไม่อาจสำเร็จได้ แม้ในเวลานับครึ่งพันปี ช่วงเวลานี้เขมรได้สร้างเมืองพระนคร อังกอร์วัดและอังกอร์ธมอันยิ่งใหญ่อลังการ แล้วแผ่อาณาเขตคลุมสี่มุมแผ่นดิน

ในเวลานั้นขุนเจืองหรือท้าวฮุ่ง มีกำลังเข้มแข็งเติบใหญ่เป็นอันมาก เพราะได้ข่าพางดำเป็นพวกยกกองทัพช้างม้านับหมื่นออกจากอาณาจักรเงินยางไปตีกองทัพแกวปะกันจนได้ชัยชนะ แผ่อาณาจักรออกไปกว้างใหญ่ไพศาล ทางเหนือถึงหัวแดง ใต้ถึงเชียงเทศจีนจาม กลางถึงฝูงแง้ว นามกรก้ำเขมขอม เมืองน่านก็ถึงอาณาจักรจรดถึง เมือง ผาทาย หอแต เชียงใหม่ ผมเผือ บาเจืองหรือท้าวฮุ่งให้ความเป็นธรรมต่อข่าเผ่าต่าง ๆ รวมถึงเรอแดวด้วย กดพวกแกวลงเป็นม้อยเป็นกองกอยผีป่า ด้วยเหตุนี้ท้าวเจืองจึงเปรียบว่าเป็น ธรรมิกราชา เมื่อสิ้นพระชนม์ก็ยังได้รับการสถาปนาเป็นผีเจ้าธรรมิกราชาจากเผ่าข่าภูสูงทั้งหลาย

ต่อมาเจ้าเขมรได้สมรสกับนางพญาข่า แล้วพากันไปตั้งเมืองใหม่ตรงบริเวณเมืองเก่า นครจำบากแล้วให้ชื่อว่า นครกาลจำบากนาคบุรีศรี แปดสิบกว่าปีที่อาณาจักรรุ่งเรือง บรรดาบ่าวไพร่ในป่าดงได้ออกมาอยู่เมือง แล้วเป็นขณะเดียวกันกับอาณาจักรล้านช้างเกิดชิงบัลลังก์ พระยาจันเสนาบดีปราบดาเป็นกษัตริย์ หมายจะเอาราชธิดาสูมังคลาเป็นมเหสี แต่เพราะนางมีสวามีที่ (ถูกประหาร) มีเจ้าหน่อกษัตริย์เป็นราชนัดา จึงพาไพร่พลจำนวนสามพันหนีไปพึ่งพระครูยอดแก้ว วัดโพนสะเม็ก ท่านพระครูจึงอพยพครัวล้านช้างลงไปตามลำโขง จนถึงเมืองนครจำบากนาคบุรีศรี อาศัยบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นำองค์หน่อกษัตริย์มารวบรวมไพร่พลเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน สร้างราชวงศ์ลาวใหม่ ราชาภิเษกให้เจ้าหน่อกษัตริย์ขึ้น เป็น  พระเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร แล้วเปลี่ยนชื่อเมืองเสียใหม่ว่า นครจำปาศักดิ์นัคบุรี

ในเวลานี้บรรดาข่าเรอแดว นักรบจากภูสูงที่ไม่เคยค้อมหัวให้กับเจ้าเขมรและเจ้าลาว ก็ได้พากันยกกองออกไปตั้งไพร่พลบนภูสูงอย่างแต่ก่อนมา เสรีชนย่อมไม่อยู่ใต้แอกของผู้ใด  ครั้งนั้น หลุบเลาเตาปูน จึงเป็นถิ่นกองกำลังของเผ่าข่าเรอแดว ภูมิประเทศหลุบเลาเป็นที่ราบล้อมไปด้วยภูผาป่าไม้หนาทึบ ซับซ้อนไปด้วยทางหนีทีไล่ ทุ่งราบก็เพียงพอที่จะทำไร่ทำนา สะสมเสบียงกรัง

ฝ่ายกรุงธนบุรี พระเจ้าตากสิน ให้พระยามหากษัตริย์ศึกขึ้นไปตีนครจำปาศักดิ์และได้ไว้เป็นเมืองประเทศราช โปรดให้เจ้าไชยกุมารขึ้นครองเมือง ในคราวนั้นบรรดาลูกศิษย์ของพระครูยอดแก้วซึ่งได้ส่งมาปกครองหัวเมืองปทายสมันและเมืองศรีนครเขต พร้อมไพร่พลชาวข่าที่ยอมเป็นข้ารับใช้ ได้เป็นกองกำลังสนับสนุนยกขึ้นไปตีเอานครจำปาศักดิ์ด้วย ภายหลังสงครามสงบ เจ้าผู้ครองเมืองก็ออกเก็บส่วยสาอากร เป็นเหตุให้ไพร่พลได้รับความเดือดร้อนสาหัส เนื่องจากกรุงธนบุรีกำหนดส่งส่วยเป็นทองคำปีละ 3 ชั่ง ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์เพิ่มเป็น 5 ชั่ง แล้วให้เจ้าเมืองต่าง ๆ ในพระราชอาณาเขตตั้งกองเกลี้ยมกล่อมให้บรรดาข่าทั้งหลายออกมาขึ้นบัญชีเขมรป่าดง

ผู้นำข่าบางคนอย่างเชียงแก้ว ตำบลเขาโอง ได้นำกำลังไพร่พลเข้ายึดนครจำปาศักดิ์คืน ตอนนั้นเจ้าไชยกุมารอายุ 81 พรรษาหนีไปได้ แต่ก็สิ้นพระชนม์กลางทาง แม้เชียงแก้วจะยึดเมืองได้ แต่ยึดไว้ไม่นานถูกกองกำลังจากโคราชเข้าบดขยี้ภายในปีเดียวโดยราบคาบ ในเวลานี้ชื่อเสียงทางร้ายของยกบัตรเมืองโคราชที่ชื่อทองอินในหมู่ชาวข่าก็เล่าลือไป และเป็นที่หวาดหวั่นพรั่นพรึง บ้างจึงอพยพหนีภัยข้ามโขงหาที่ซุกซ่อนตามป่าดงในแดนฝั่งขวา ดังครอบครัวของจารย์แก้วนั้น แต่ส่วนใหญ่แล้วถูกไล่ล่าฆ่าตีและถูกกวาดต้อนเอามาเป็นไพร่ข้ามากมาย และในเวลานั้นพระเจ้าพิมพิสาร แห่งล้านช้างเวียงจันทร์พ่ายแพ้ต่อกองทัพไทย เสียเมืองกลายเป็นประเทศราชแล้ว อุปราช ราชวงศ์ เจ้าอนุวงศ์ นางแก้วยอดฟ้าถูกกวาดต้อนลงไปกรุงเทพฯ พร้อมบรรดาครัวลาวที่ให้นำไปไว้เมืองสระบุรี ฝ่ายพระยาเมืองโคราชก็ตั้งกองสักเลก กวาดต้อนและไล่ล่าบรรดาเขมรป่าดงอย่างเหี้ยมโหดต่อไป คราวนั้นไม่เฉพาะข่าระแด ที่ถูกไล่ล่าฆ่าตีและกวาดต้อน ข่าหมุ ข่าฮอก ข่าขัด ข่าแม่ด ข่าแจะ ก็ได้รับชะตากรรมนี้เช่นกัน

วันหนึ่งภิกษุสาแห่งภูเก็ดโง้ง บารมีพอประมาณเป็นที่เคารพของไพร่พลข่าอยู่บ้าง ได้วางแผนกับพระยาเมืองโคราช ทำทีว่าไปรวบรวมไพร่พลข่าได้จำนวนหนึ่ง แล้วยกพวกเข้าตีหมายยึดเมืองนครจำปาศักดิ์ เป็นเหตุให้เจ้าหมาน้อย ผู้ครองเมืองไม่กล้ารับมือ พระยาเมืองโคราชซึ่งรู้เรื่องดี เป็นผู้มีความทะเยอทะยาน มีนิสัยฉลาดแกมโกง ยกพวกไปกวาดต้อนและเที่ยวตีพวกข่าในที่ต่าง ๆ ทางลาวใต้เขตเมืองสีพันดร รีบให้คนส่งข่าวลงกรุงเทพฯ อาสาปราบ แต่จะเป็นด้วยแผนการนี้รู้เข้าถึงหูผู้นำข่าก็ได้ จึงรวบรวมไพร่พลต่อต้าน แล้วนำเจ้าหัวสาเก็ดโง้งไปซ่อนไว้ ณ ที่แห่งหนึ่ง

เจ้าอนุวงศ์ซึ่งเป็นนักรบมีความสามารถ พิจารณาเหตุการณ์นี้แล้ว ขออาสาปราบกบฏสาเก็ดโง้ง ทางกรุงรัตนโกสินทร์ก็อนุญาต เจ้าอนุวงศ์จึงให้เจ้าราชบุตรนำทัพออกไป ด้วยความร่วมมือของผู้นำข่า ด้วยสัญญาของเจ้าอนุว่า เมื่อปราบปรามสาเก็ดโง้งได้แล้ว จะขอพระราชทานให้เจ้าราชบุตรเป็นเจ้าครองนครจำปาศักดิ์ แล้วเจ้านครซึ่งเป็นราชโอรสของเจ้าอนุวงศ์เองก็จะเป็นกำแพงป้องกันมิให้พระยาเมืองโคราชถืออำนาจเที่ยวไล่ล่าฆ่าตีกวาดต้อนข่าในขอบเขตนครนั้นอีกต่อไป

เมื่อได้รับความร่วมมือเช่นนี้ สาเก็ดโง้งก็ถูกจับตัวได้โดยง่ายและถูกส่งตัวเข้ากรุงเทพฯ แม้นว่าสาเก็ดโง้งจะเป็นกบฏและให้การปรักปรำพระยาโคราชว่าเป็นผู้วางแผนก็ตาม แต่หาถูกพิพากษาประหารไม่ ทั้งพระยาโคราชก็ไม่ยอมรับคำให้การปรักปรำของกบฏด้วยกล่าวหาเจ้าอนุในทางลับกับเจ้านายในราชสำนักว่า ส้องสุมกำลังไพร่พล หวังนำคนและครัวลาวกลับเวียงจันทน์ เจ้าอนุก็ได้รับความระแวงไปสิ้นว่าจะเตรียมการก่อกบฏ ปรากฏแล้วในอีกสิบปีต่อมา แต่ว่าเวลานั้นระหว่างเจ้าอนุกับพระยาโคราชก็หมางใจต่อกัน พร้อมจะฟาดฟันเข่นฆ่าเพราะแค้นแน่นคั่งอั่งใจ

จากหลุบเลาเตาปูน พื้นภูมิประเทศเป็นที่รู้จักกันทั่วในสมัยปราบกบฏสาเก็ดโง้ง พวกผู้นำข่าระแดวจึงออกไปตั้งฐานที่มั่นเพื่อกอบกู้บ้านเมืองขึ้นใหม่ ณ ยอดภูปู ณ ทุ่งโบโลเวน เป็นที่รู้ในหมู่พวกมันว่า อันวิชาอาคมตลอดจนวิชาตาว หลาว แหลน หอก ดาบเพื่อต่อสู้นั้น ฝึกฝนกันที่นี่เป็นหลัก จารย์บุญ และจารย์แก้วจึงเดินทางสู่โบโลเวนด้วยเหตุนี้ หวังจะมีวิชาติดตัวอย่างชายชาตรี

แล้วห้วงคำนึงของชายชราก็หวลไปหาจารย์บุญจารย์แก้วด้วยความนับถือที่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว สุดที่ใครจะห้ามได้…จากปลายเวิ้งสุดขอบทุ่งจรดปลายฟ้า เปลวแดดระอุระยิบ จุดดำสองจุดกลางแดดเปรี้ยงเป็นจุดเล็ก ๆ ก็ใหญ่ขึ้น ๆ จนมองเห็นเป็นรูปร่าง เห็นใบหน้า เห็นดวงตาของชายทั้งสอง เวลานั้นน้ำตาของชายชราก็ซึมไหลรดแก้มตอบ หัวใจสะอื้นร้าวระบม


Related Posts

เฮ็ดกิ๋นแซบ
การเมืองเรื่องส่วยในภาคอีสาน
ตระกูลภาษา “ไท-กะได” กับ ไป่เยวี่ย (๒)
WP2Social Auto Publish Powered By : XYZScripts.com