ดอกขะเจียวจากโคกขี้แลน ตอนที่ 8

ดอกขะเจียวจากโคกขี้แลน ตอนที่ 8

ห้วงคิดคำนึงของชายชรายังเวิ้งว้างกระจ่างแจ่มในอดีตของบุรพชน…

ค่ำคืนหมองหม่น ดั่งสายหมอกเข้มคละคลุ้ง อณูหนาวเยือกเย็นจนสะท้าน เหน็บนิ่งอยู่ในเนื้อหนัง การต่อสู้ในเชิงดาบดำเนินไประหว่างคนสองคน เหงื่อและเลือดไหลโชกท่วมกาย ภาพการต่อสู้เช่นนี้ก็เป็นดั่งเช่นจินตนาการของชายชราอันเดินย้อนย่ำทางอดีตนั่นเอง พลันแกได้ยินเสียงของจารย์บุญแว่ว ๆ…

“ข้าจะเก็บรักษาดาบนี้ไว้ จนกว่าผู้เป็นเจ้าของจะทวงคืน”

“ถูกต้อง” เพียกมมะแดงย้ำ “ตาวฮางเซ็งเป็นดาบต้นตระกูลเผ่า อายุนับพันปี คนตีเหล็กเป็นช่างเมืองคำทองผู้มีชื่อเสียง เล่ากันว่าเป็นผู้ต้นคิดตีจอบขุดดินให้เจ้าลาวองค์หนึ่ง จนเป็นที่ยอมรับว่าจอบหรือกะจกนั้นคือเครื่องมือทำกสิกรรมชั้นสูง ต่อมาเจ้าลาวองค์นั้นได้ชื่อว่าลาวจก เดชานุภาพขจรขจาย”

จารย์บุญยกตาวฮางเซ็งถอดฝักช้า ๆ เนื้อเหล็กแวววาวท่ามกลางราตรี ส่งประกายวูบวาบสะท้อนแยงตา สังเกตให้ดีเนื้อน้ำเหล็กราวจะไหลไกวแกว่ง น้ำหนักดาบก็เหมาะมั่นมือยิ่งนัก ด้ามดาบนั้นเป็นงาคชสารสีดำ

“หยดเลือดเกาะไม่ติด” เพียกมมะแดงบอก “หยดน้ำไม่จับแจะ ขี้เมี้ยงไม่กัดกร่อน เนื้อในจึงไม่มีวันเป็นสนิม อีกทั้งหมอผีผู้กระทำพิธีได้ร่ายเวทย์ ขอเชิญวิญญาณวีรบุรุษ ผู้สร้างบ้านแปงเมืองเข้ามาสิงในคมดาบ ดาบนี้จึงคู่ควรจำเพาะผู้มีธรรมประจำใจเท่านั้น”

“แล้วฮางเซ็งล่ะแปลว่าอะไรครู?” จารย์แก้วถามขึ้น

แทนคำตอบเพียกมมะแดงได้ร่ายคำโบราณว่า

“เนี่ยนเนี่ยนนิ้ว         ถวายดาบฮางเซ็ง
ปุนเอามา                  เลือกดูคมกล้า
เถือนหนึ่ง                  เฮียกว่าตาวเต็งม้าง
                                  แสนปางลงลุ่ม
เมือพ่อไปผาบฆ่า      พันล้มล่าวสามฯ”

“ไม่เข้าใจ” จารย์แก้วบอก แต่เพียกมมะแดง กล่าวต่อไปเรียบ ๆ ถึงตำนานที่มา

“ท้าวฮุ่งหรือเจือง มีข่าพางดำเป็นนักรบคู่บารมี สร้างบ้านแปงเมืองแผ่อำนาจออกไปกว้างไกลไพศาล จนถึงอาณาจักรของแกวกว่าปะกัน ตาวฮางเซ็งเล่มนี้คือดาบคู่ชีพของท้าวเจือง เมื่อเจืองสิ้นดาบยัง จึงตกทอดมาให้สางได้ก่อฟ้า ให้ข่าได้ก่อเมือง”

“วันนี้ใช้อาวุธปืนล่าเมืองขึ้น ดาบนี้จะสู้ปืนได้หรือครู?” จารย์แก้วถาม

“สมัยปู่สังกะสา ย่าสังกะสี มือกำดาบออกต้านผู้รุกราน สมัยนี้มือถือปืนรุกรานเข้ามา เป็นผีซ้ำด้ำพลอย สุดจะหยั่งความคิดคน เมืองญวน เมืองเขมรมันก็เอาไปแล้ว ดินแดนข่ามันก็รุกเข้ามาทุกวัน แล้วเอ็งยังจะคิดว่าพอจะสู้พวกมันได้มั้ย?”

“ข้าไม่คาดคิด” จารย์แก้วบอก “ธรรมดาน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ดาบเล่มเดียวย่อมสู้ปืนหมื่นกระบอกไม่ได้ แต่เรื่องสู้อยู่ที่คน”

“การต่อสู้ขึ้นอยู่กับคน เอ็งว่าถูกต้องแล้ว พวกมันรุกรานเข้ามาไม่มีธรรมะ จะต้องพ่ายแพ้สักวัน”
“สงสารก็แต่ผีด้ำสิงในดาบ จากนี้ไปไม่มีโอกาสดื่มเลือดศัตรู”
“ทำไม?”
“จะให้จารย์บุญออกรบกับใคร?”
“ไม่นานต้องได้รบแน่” เพียกมมะแดงยืนยัน “ข้าเชื่อว่าฝรั่งพวกนี้มันต้องรุกรานเข้าไปในทุ่งเพียง ที่พวกเอ็งทั้งหลายกำลังจะลงไปตั้งครอบครัวทำไร่ไถนา วันนั้นตาวฮางเซ็งคงได้เชือดพวกมันบ้างละวะ”

“ถ้ามันรุกข้ามโขงไปฝั่งโน้น” จารย์แก้วว่า “พวกพระยาไทยคงไม่ยอม กองทัพไทยน่ะเข้มแข็งยิ่งใหญ่ ชนะทัพแกว เขมร ลาว พม่าไปหมด พวกฝรั่งไม่กล้าหร้อก?”

“กล้าไม่กล้าเอ็งคอยดูแล้วกัน…เวลานี้ ตลอดริมฝั่งโขงสองฝั่ง มีกองทหารไทยและฝรั่งเศสตั้งประจันหน้ากันอยู่ ต้องได้รบกันขึ้นสักวัน ส่วนฝ่ายราษฎรก็ตื่นกลัวภัยสงคราม ลูกผัวถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารไม่ว่า แต่ภัยแล้งและความอดอยากกลับโหมขึ้น ได้รับความเดือดร้อนทุกครัวเรือน ไหนจะถูกพวกมิจฉาชีพออกปล้น ไหนจะถูกพวกนายขี้ฉ้อออกรีดไถ เสียภาษีแล้วปี้ไม่ให้ วัวควายช้างม้าหายไปพิมพ์ไม่มี จะเอาคืนก็ไม่ได้ ถูกริบเข้าศาลากลาง”

“อยู่บนดอยก็รู้เรื่องบนดิน” จารย์แก้วเปรย ๆ

“ข้ามีหูมีตา” เพียกมมะแดงบอก “เผ่าข่าหลายเผ่ากำลังป่าวเตินรวมตัวกัน คนฝั่งนั้นเดือดร้อนต้อนมารวมฝั่งนี้ พอฝั่งนี้เดือดร้อนก็ต้อนไปรวมฝั่งโน้น คราวนี้ต้องทำเป็นกระบวน เดือดร้อนด้วยกันก็ต้องสู้ด้วยกันมันถึงจะถูก”
“แล้วใครจะนำพา?”
“คนมีบุญ” เพียกมมะแดงเอ่ยเสียงไม่ดังนัก
“ในเวลาปีสองปีมานี้ ข้าก็ได้ยินเขาลือ ๆ กันอยู่ว่า จะมีคนมีบุญลงมาปราบยุคเข็ญ เป็นองค์ธรรมิกราช” อาจารย์บุญซึ่งนั่งฟังพ่อตาลูกเขยคุยกันอยู่นาน พูดขึ้น

“นั่นแหละ ๆ…อย่าแพร่งพรายเรื่องราวนี้ไปให้ศัตรูรู้” เพียกมมะแดงปราม “เอ็งรู้ไหมว่า อาณาเขตของผู้มีบุญคือสองฝั่งโขง ไม่ว่าจะเป็นปทาย ขุขันธ์ ยโสธร ดอนมดแดง เสลภูมิ เขมราฐ ขึ้นมาสาละวัน จำปาสัก สหวันเขต คำม่วน เวียงจันทน์ กระทั่งหลวงพระบาง บริเวณดินแดนนี้เคยร่มเย็น บัดนี้ร้อนเหมือนห่าลงกิน ถ้าปล่อยไปไม่ช้าเมืองคงล่ม แผ่นดินจะลุกเป็นไฟ ท่านทำนายไว้ว่า คนมีบุญจะลงมาเกิดเพื่อปราบยุคเข็ญ ให้แผ่นดินร่มเย็นเหมือนดั่งเดิม”

เมื่อสองจารย์หนุ่มนิ่ง เพียกมมะแดงเอ่ยขึ้นว่า “ตาวฮางเซ็งเล่มนี้ จารย์บุญคงได้ถือเข้าร่วมกระบวน เมื่อนั้นก็จะกลับเป็นดาบสร้างบ้านแปงเมืองดั่งก่อน”

เมื่อรำลึกบรรพชนมาถึงตอนนี้ ชายชรารู้สึกหัวใจหวิวหวั่นครั่นคร้ามแล้วไม่อยากจะคิดต่อไป แต่ใบหน้าของคนนั้นและคนนี้ก็ลอยวนเข้ามาในห้วงคำนึงอยู่ตลอดเวลา บ้างแจ่มชัด บ้างพร่าเลือน เลือนลางออกไป ๆ … ราวกับว่าร่างของชายชรายืนเด่นในสายหมอก เปียกน้ำค้างพร่างพรม และภาพที่เห็นกลับปรากฏชัดขึ้น

บริเวณนั้นโล่งแปน ผืนดินคือทรายแล้ง เปลี่ยวเปล่า มีแต่แสงแดดอยู่ชั่วนาตาปี ต้นจิกต้นฮังก็หงิกงอเตี้ยต่ำไม่เติบโตเพราะกันดาร เสียงลมพัดใบตองแห้ง และฝุ่นทรายตลบอบฟุ้งอยู่ทั่วแดน


บุรุษทั้งหกกำลังขี่ม้าแกลบผ่านไป สวนทางกับกลุ่มผู้คนทั้งเฒ่าแก่และหนุ่มสาว ลูกเล็กเด็กแดง กำลังเดินย่ำทรายร้อนฝ่าตีนพองไหม้เจ็บปวด เด็กน้อยอายุเพิ่งสิบเอ็ดขวบ มันและพ่อร่วมเดินเป็นกลุ่มมากับบุรุษนุ่งขาวห่มขาวที่มีนามว่า องค์มั่น เมื่อพ่อเห็นชายผู้หนึ่งบนหลังม้า ก็จำได้ว่าเป็นผู้ที่เคยก่อเรื่องเดือดร้อนแสนสาหัสแก่ครอบครัว จึงตะโกนให้หยุดม้า

“มึงจงลงจากหลังม้า ไอ้คนบาปหยาบช้า ลงมาก้มกราบตีนองค์ธรรมิกราช…”

บุรุษทั้งหกหยุดม้าแทบทันใด แล้วจ้องมาเป็นตาเดียวที่พ่อและคนทั้งหลายก็หยุดเดิน มองเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกลางทุ่งร้าง เสียงพ่อนั้นก้องสะท้านไปตลอดแนวทุ่ง เปลวแดดก็ไหวยิบ ๆ เดือดระอุในลมอ้าวที่พัดพรู ใบหน้าของคนเหล่านั้นอาบด้วยเหงื่อ แม้จะสวมหมวกกะโล่บังแดดก็ตาม

ผู้ชายคนที่พ่อจำหน้าได้ ชักม้าเข้ามาในกลุ่มองค์มั่น พลางร้องถามว่า “มึงยังไม่ตายรึ?”

“กูรอวันนี้” พ่อวิ่งเข้าไปกระชากบังเหียนม้า จนทำให้ม้าตื่นตกใจ ยกสองขาหน้าขึ้นตะกายอากาศและร้อง แต่พ่อจู่โจมเข้ากระชากร่างบนหลังม้าจนร่วงลงมาคลุกดิน ยังมิทันจะลุกขึ้นดาบคมวาวก็จี้เข้าตรงคอหอยแล้ว แต่ขณะนั้นองค์มั่นได้เดินเข้ามาห้ามพ่อไว้ เสียงพูดเต็มไปด้วยความนุ่มนวล และให้สติ

“เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร”

กำลังจะเสือกดาบแทงคอหอย พ่อก็ชักดาบคืน ยับยั้งอารมณ์เคียดแค้นไว้ แต่ได้ใช้เท้าถีบร่างของชายคนนั้นจนกระเด็นไป ใบหน้าเหยเกด้วยความจุกเจ็บ

“กูขอดาบของกูคืน” พ่อบอกชายผู้นั้นด้วยเสียงอันดัง มองฝักดาบและด้ามงาดำ ที่แขวนห้อยไว้ด้านหลังของชายคนนั้น แต่แทนที่จะได้รับ กลับมีเสียงหัวเราะคุ้มคลั่ง ตามด้วยเสียงตะโกนสั่งบริวารให้ลงจากหลังม้าเข้ามารุมล้อมพ่อไว้

“ฆ่ามันเลย ไม่ต้องปรานี”

สมันหนุ่มทั้งสี่กระโดดลงจากหลังม้า คว้าดาบขึ้นฟาดฟันเข้ามารอบทิศ องค์มั่นยังตะลึง นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์คนสี่คนรุมฆ่าคนคนเดียว เสียงดาบกระทบดาบจึงดังก้องทุ่ง เลือดแดงกระเด็นสาดกระจาย เมื่อคมดาบเฉือนเนื้อ กลิ่นคาวเลือดลอยกระทบลมหายใจ พร้อมกับเสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าของมันซีดเผือด เลือดในกายของเด็กน้อยฉีดแรง ทำให้หัวใจเต้นมิเป็นส่ำ

พ่อของมันพลิกพลิ้วเพลงดาบวาดท่า ตวัดคมฟาดฟัน รุกเข้าไปและถอยออกมาด้วยท่วงท่างดงาม ทั้งรวดเร็วและเร่งกำลังแรง เท้าทั้งสองยกขึ้นถีบและเตะคนรุมเป็นพัลวัน ยกคมดาบขึ้นรับคมเหล็ก เมื่อปะทะอย่างแรงเกิดประกายไฟและเกิดเสียงดังเปรี้ยงปร้าง ดาบในมือของบริวารกระเด็นหลุดการกุมกำ ครั้งนั้นพ่อพลิกตัวเสือกดาบแทงไปตรง ๆ ชายคนนั้นก็เฮือกขึ้น เมื่อพ่อชักดาบคืน เลือดแดงก็พุ่งกระฉูด และร่างของมันก็ล้มลง เลือดเปรอะผืนทรายแดงนอง

เสียงดาบกระทบดาบสนั่นก้องอยู่แทบโสตประสาทของชายชรา เหมือนกับว่ามีเสียงก้องร้องบอกจากพ่อของมัน เฮืองเอ้ย…เฮือง ๆ ๆ ดาบตาวฮางเซ็ง…

ชายชรารู้สึกตัวเมื่อสุนทรหลานสาวเขย่าร่างที่นอนตากแดดบนแคร่ไม้ไผ่ ปลุกให้แกตื่นเพื่อจะได้หลบแดดกล้ายามสายกำลังร้อนขึ้นทุกที แกงัวเงีย ๆ พลางบอกสุนทรมันว่า กำลังฝันสนุกทีเดียว

“ฝันอะไรกันนะปู่ ลุกขึ้นเถิด จะได้หาข้าวหาน้ำให้”

“ได้อะไรกินละเช้านี้?”

“มีแต่ของที่ปู่ชอบทั้งนั้น” สุนทรทำเป็นไล่รายการอาหาร “กุ้งฝอยก้อยมะกอก หมกปลาซิวอ้าว แกงอ่อมหอยขม แจ่วบอง แถมผักเม็กผักกาดฮิ่น ลูกอ่อนมะเขือขื่น…”

“โอ้โห…ของดีทั้งนั้น รีบไปจัดแจงมา ข้าจะขอล้างหน้าล้างตาซะหน่อย”

ชายชราเคลื่อนไหวแขนขาอันเหี่ยวย่น ท่วงท่าดูกะย่องกะแย่ง แต่คนปูนนี้ยังแข็งแรงไม่เจ็บป่วยก็นับว่าบุญโขแล้ว เมื่อสลัดผ้าห่มออกก็จะเห็นแกนุ่งกางเกงครามสั้นแค่เข่า มีรอยสักดำมิด ถ้าไม่ใส่เสื้อปิดส่วนบนไว้รอยสักลงยันต์รูปต่าง ๆ จะพร้อยไปทั้งอกและหลัง เพราะการสักนี้เป็นความนิยมของคนโบราณ

ยามสายที่หมู่บ้านนี้ ผู้คนที่พากันลุกจากเรือนแต่เช้าเพื่อไปรดผัก ยามไซ ยามมองที่ลำชี ก็กลับมาที่เรือน เอากุ้งฝอย เอาปลาและผักที่เก็บจากสวนริมแม่น้ำขึ้นมาทำอาหารเช้า ครั้นแล้วก็ปล่อยฝูงวัวควายออกจากคอกไล่ลงทุ่ง ที่เลี้ยงหมูเลี้ยงเป็ดก็ให้รำให้ปลายข้าว บ้างต้มผักโขมปนลงไปเร่งให้โตไว ๆ จะได้นำไปขาย

เดือนนี้เป็นปลายเดือนสาม ลมหนาวก็หนาวพอเย็น ๆ เสร็จนาเกี่ยวข้าวขึ้นเล้า บ้างก็ปลูกแตงร้าน แตงกวา บ้างปลูกยาเวอร์ บ้างก็ออกไปทุ่งไปสวน บ้างก็ฟันเสาเลื่อยไม้ ที่หาอาหารก็ออกไปหนอง ไปกุด ไปห้วยหรือลงแม่น้ำ หนุ่มฉกรรจ์ก็เข้าเมืองหารับจ้าง บ้างก็ออกไปต่างประเทศเป็นคนงาน พอสงกรานต์ก็กลับบ้านมารดน้ำเล่นสนุก มีกฐินผ้าป่าก็เหมารถขึ้นมาทอดที่วัดของหมู่บ้าน


เรือนของชายชราปลูกไว้ที่ท้ายบ้าน ทางที่จะออกไปกุดไปหนอง เมื่ออพยพมาตั้งบ้านเรือนตรงเนินนี้ ภูมิประเทศอยู่ใกล้น้ำมีบุ่งมีทามและมีโคกมีดอน ใช่ว่าจะต้องมีแต่ทุ่งนาอย่างเดียว ทุ่งนากว่าจะมาเป็นทุ่งอย่างที่เห็นก็ต้องมีการล่าวลงให้แปนโล่ง แล้วยกคูคันดินขึ้นเพื่อกักเก็บน้ำ แต่ก่อนใช้แรงคนและแรงควาย ถึงปีนี้บางครอบครัวใช้ไถจักรเดินตาม ไถแล้วนำมาลากล้อเลื่อนเป็นรถบรรทุกก็ได้ โลกภายนอกเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็ว แต่โลกของชายชรายังผูกพันอยู่กับวันคืนเก่า ๆ ลูกหลานเติบโตและออกเรือนไปสร้างครอบครัวใหม่ มีลูกมีหลานเต็มบ้าน หลายคนได้ทำหน้าที่การงานอยู่ในเมือง คนที่อยากจะทำนามีน้อยลงไปทุกที แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะว่าที่ดินจะแบ่งปันให้กันเล็กลงไปเรื่อย ๆ จะอพยพไปส่าวนาเอาอย่างโบราณนั้นไม่ได้อีกแล้ว เว้นแต่จะมาทำนาทุ่งเดียวกัน แต่มันจะไม่พอกิน ทุกคนก็ต้องขวนขวายหาอาชีพที่จะมีอยู่มีกิน เมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯจึงเต็มไปด้วยเผ่าพันธุ์ของชายชราที่ดิ้นรนแสวงหาใส่ปากใส่ท้อง ก็ไม่สบายกว่าเมื่อก่อนนัก

เมื่อปู่เฮืองกินข้าวเช้าแล้วก็เข้านั่ง หรือบางครั้งก็นอนสมาธิในห้องพระบนเรือนนั้น แกได้ปฏิบัติเป็นประจำมานับสิบปี เพราะไม่ต้องออกไปดิ้นรนหาอยากหากินอย่างเฒ่าแก่อื่น ๆ ที่ลูกหลานทอดทิ้ง ไม่เอาใจใส่ แต่สำหรับแกไม่เป็นอย่างนั้น ลูกชายคนโตก็เป็นพ่อบ้านพ่อเรือนที่มีราษฎรนับหน้าถือตาจนได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้าน ลูกสาวคนที่สองก็ได้แต่งงานอยู่กินกับสามีที่ขยันขันแข็ง จนมีเงินทองส่งลูก ๆ เรียนจบสูง ๆ ส่วนใหญ่หลาน ๆ อยู่กรุงเทพฯจนแกจำไม่ได้ว่าพวกมันมีตำแหน่งหน้าที่การงานอะไรบ้าง ลูกสาวคนที่สามได้แต่งงานกับครูประชาบาล ออกลูกหลานหลายคนก็ส่งเรียนจนจบครู จบพยาบาล จบโรงเรียนพลตำรวจ จบโรงเรียนนายสิบทหารบก ลูกชายคนสุดท้องเติบโตขึ้นมาจนได้แต่งงานกับคำนาง แม่ของ ดร.สีโหและสุนทร แต่ชะตามันจะถึงฆาต จึงต้องตายแต่สุนทรยังไม่หย่านมแม่ คำนางก็หม้ายแต่อายุยังน้อย

ด้วยความสงสารหลานที่ยังเล็ก แกจึงทำหน้าที่เลี้ยงดูเสมือนเป็นพ่อของมันทั้งสอง ข้างฝ่ายตายายพ่อแม่ของคำนางก็มีกรรมอันเป็นไป ทั้งสองเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตเมื่อคราวขึ้นไปงานฉลองพระธาตุพนมปีนั้น จึงจำเป็นอยู่เองที่พ่อผัวจะต้องอุปการะเลี้ยงดูลูกสะใภ้ เวรกรรมแท้ ๆ

แต่ตอนที่ชายชรายังแข็งแรง เขาก็สามารถแบกไถไล่ควาย ทำนาเลี้ยงดูบรรดาลูกหลานเหล่านั้นโดยไม่ได้ลำบากอะไรเลย จนกระทั่งแม่ของลูก ๆ หรือเมียของแกสิ้นชีวิตไป คราวนั้นก็มีเสียงครหาจากชาวบ้านว่า เฮืองเอาลูกสะใภ้ไปทำเมีย ปากหนอปากคน

ด้วยร่างกายที่ใหญ่โตอย่างโครงร่างของคนโบราณ ปากคอคิ้วคางของเฮืองคมเข้ม จมูกโด่งเป็นสันไม่เป็นอย่างลาวไม่มีดั้งจมูก อายุหกสิบเศษยังดำน้ำงมตีนแหในลำชีได้สบาย เรื่องหาอาหารการกินจึงไม่ด้อยกว่าชายหนุ่มหรือชายวัยกลางคน โดยเฉพาะมุดลงไปในน้ำลึก ๆ จับเอาปลาเค้า ปลาโจกตัวใหญ่ ๆ เต็มเรือ ให้คำนางหาบเข้าไปขายในตลาดสด ได้เงินก็มาส่งเป็นค่าเทอม ค่าหนังสือเด็กชายสีโห จนมันไปคว้าเอาดอกเตอร์ทางประวัติศาสตร์จากต่างประเทศมาได้ แกสุดแสนจะดีใจนัก

คนมีธรรมะ อยู่ไม่เสียศีล กินไม่เสียสัตย์ ปฏิบัติตนสม่ำเสมอ จนคนทั่วไปเห็นว่า แกไม่ได้เป็นอย่างที่คิด และไม่ได้คิดที่จะเป็นผัวลูกสะใภ้ ก็ปากคนอีกนั่นแหละที่ช่วยยกย่อง เชิดชูปู่เฮืองขึ้นมาให้เป็นเสมือนร่มโพธิ์ร่มไทรของพวกมัน ถ้าจะว่าไปแกก็ไม่ได้ทำอะไรเกินไปกว่า คนถือฮีตถือคอง อันโบราณท่านสอนสั่งไว้ให้เดินตาม

โปรดติดตามตอนต่อไป…

Related Posts

ต้องการรู้เรื่องอีสาน พิมพ์คำว่าทางอีศาน
นวนิยายเรื่อง “ดอกขะเจียวจากโคกขี้แลน” กำลังเข้มข้นในนิตยสาร “ทางอีศาน”
ดอกขะเจียวจากโคกขี้แลน ตอนที่ 11
WP2Social Auto Publish Powered By : XYZScripts.com