เสี่ยดำ (คนขายเกิบ) จบ

เสี่ยดำ (คนขายเกิบ) จบ
นิตยสาร “ทางอีศาน” ฉบับที่ ๑๔
ปีที่๒ เดือนมิถุนยน ๒๕๕๖
คอลัมน์: เฮาอยู่ยะลา
Column: Esan natives in Yala
สฤษดิ์ ผาอาจ : เรื่องและภาพ

e-shann_14_เฮาอยู่ยะลา

‘เฮาอยู่ยะลา’ ฉบับที่แล้ว ผมพาท่านผู้อ่านไปรู้จักกับ ‘เสี่ยดำ’ อย่างคร่าว ๆ ว่าเป็นใคร มาจากไหน และทิ้งท้ายไว้ว่าจากพ่อค้าขายภาพโปสเตอร์แบกะดินกลายมาเป็นเสี่ยเงินล้านได้อย่างไร ฉบับนี้ผมจะพาไปค้นหาคำตอบครับ

ดำเริ่มตั้งแผงขายสินค้าจำพวกกิ๊ฟช็อปและเสื้อผ้าเด็กเมื่อราวปี พ.ศ. ๒๕๓๖ โดยขอเช่าที่ตั้งแผงจากเถ้าแก่เจ้าของ ‘ยะลาซูเปอร์มาร์เก็ต’

“บริเวณข้างซูเปอร์ฯจะมีที่ว่างอยู่เป็นตรอกเฮาขอเช่าเขาตรงนั้นล่ะ”

ค่าเช่าแผงไม่มากไม่มายอะไรนัก หักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งค่าอยู่ ค่ากิน ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แล้วเขายังมีเงินเก็บ

และในช่วงนี้นี่เองที่ดำเริ่มนำสินค้าจำพวกเครื่องหนังอย่างรองเท้าและเข็มขัดมาวางขายด้วยเป็นงานฝีมือที่ไทยมุสลิมจากอำเภอสายบุรีจังหวัดปัตตานีทำขึ้นเอง แล้วนำมาแนะนำให้ดำวางขาย

ด้วยความขยันขันแข็ง รู้จักเก็บหอมรอมริบช่างสังเกต มีความคิดสร้างสรรค์ จากหนึ่งแผงก็กลายเป็นสองแผง สามแผง สี่แผง จากการขายเองก็เริ่มมีลูกน้องมาช่วยขาย จากรายได้วันละสี่ห้าพันก็กลับกลายเป็นวันละหมื่นสองหมื่น

จากการขึ้น-ลง กรุงเทพฯ-ยะลาด้วยรถไฟเพื่อไปเลือกซื้อเลือกหาสินค้าแถวสำเพ็งครั้งละห้าหกหมื่นก็หันมาติดต่อซื้อขายกันทางโทรศัพท์

โอนเงินให้บริษัทเรียบร้อยแล้ว ไม่กี่วันหลังจากนั้นรถสิบล้อก็จะขนสินค้าจากกรุงเทพฯ มากองให้ถึงยะลา

รองเท้าที่นำมาวางขายมีทุกยี่ห้อให้เลือกสรรยิ่งแผงสินค้าของเขาตั้งอยู่ในย่านการค้ากลางเมืองยะลาด้วยแล้ว ย่อมเป็นทั้งจุดแข็งและโอกาสที่แสนวิเศษ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลวันสำคัญทางศาสนา อย่างวันฮารีรายอของพี่น้องมุสลิม ยิ่งขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

“เฮาขายได้มื้อละห้าหกหมื่นพุ่นล่ะ” ดำว่า

จากการเป็นผู้เช่า เขาเริ่มขยับขยายกลายมาเป็นผู้ให้เช่า…

แผงขายสินค้าจำพวกรองเท้า เสื้อผ้า กิ๊ฟช็อป ในตรอกข้างยะลาซูเปอร์มาร์เก็ตมีอยู่สิบกว่าแผงและเมื่อสัญญาการเช่าสิ้นสุดลงแล้วได้มีการเปิดประมูลใหม่

ดำผู้มองการณ์ไกล เล็งเห็นโอกาส กล้าคิดกล้าตัดสินใจ ได้กลายเป็นผู้ประมูลรายใหญ่ที่กวาดเอาแผงขายสินค้ามาไว้ในมือทั้งหมด

เขากลายเป็นทั้งผู้เช่าและผู้ให้เช่ามาตั้งแต่บัดนั้น

“เฮาเช่าจากซูเปอร์มาล็อคละพันห้าต่อเดือนเฮามาให้เขาเช่าต่อ เฮาได้กำไรจากตรงนี้หลายเติบ”

นอกจากเป็นผู้ให้เช่าแล้ว เขายังขยับขยายแผงสินค้าของเขาเพิ่มขึ้น เหนือสิ่งอื่นใดเขาไม่เคยผิดนัดการชำระค่าเช่า และคอยช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำไม่ไหลไฟฟ้าดับ หรือแม้แต่ปัญหาจุกจิกอย่างการกระทบกระทั่งกันระหว่างพ่อค้าแม่ขาย

ดำบริหารจัดการได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

ความโดดเด่นของเขาอยู่ในสายตาของเจ้าของและผู้จัดการยะลาซูเปอร์มาร์เก็ต และเมื่ออาคารพาณิชย์สองคูหาที่อยู่ติดกันกับแผงขายสินค้าว่างลงเพราะผู้เช่ารายเดิมหมดสัญญาเช่า เขาจึงได้รับการทาบทามให้เข้าไปบริหารจัดการ โดยเจ้าของคิดค่าเช่าเดือนละสามหมื่นห้าพันบาท

“ช่วงนั้นเฮาบูมคัก” ดำว่า “ช่วงรายอเฮาขายของได้มื้อละแสนก็มี”

นอกจากค้าขายรองเท้าและเก็บค่าเช่าแผงแล้ว หนุ่มเมืองลำดวน อำเภอสิลาลาด ผู้เรียนจบแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่หก ยังมีรายได้เสริมจากการซื้อและขายที่ดิน และค้าขายสินค้าอีกประเภทหนึ่ง…

นั่นคือทองคำแท่ง

“แต่ก่อนซื้อทองคำแท่ง วันต่อวัน วันต่อสองวัน ซื้อเป็นกิโล เวลาแลง ๆ ราคาทองมันลง เฮาก็ซื้อเก็บไว้ พรุ่งนี้ราคาขึ้นเฮาก็ขาย บางทีสองสามวันหรือเป็นอาทิตย์จึงขายก็มี” เขาเล่า “อาศัยเครดิต บ่ต้องวางเงิน บ่ต้องเห็นทอง แต่ซื้อขายกระดาษกัน”

“ตอนนี้ยังค้าทองคำบ่” ผมถาม

“บ่ได้เฮ็ดคือเก่าดอกเพื่อน มันผันผวนโพด

แต่ก็ซื้อเก็บไว้บ้างแหละ แม่บ้านเป็นคนซื้อ” ภรรยาของเขาเป็นสาวใต้ เมืองพัทลุง อยู่กินกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๔ มีลูกสาวด้วยกัน

หนึ่งคน กำลังศึกษาในระดับปริญญาตรีสาขาธุรกิจการบิน มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ขณะนี้เรียนอยู่ที่เมืองกุ้ยหลิน สาธารณรัฐประชาชนจีน “ลูกสาวเฮางามแท้เด้อ จักมันได้แนวไผ มักกินที่สุดคือแจ่วบอง” เขากล่าวถึงลูกสาวแล้วอมยิ้ม “มหาลัยเขาส่งไปเรียนอยู่จีนหนึ่งปี วันก่อนโทรมาหาพ่อ บอกว่าจบแล้วสิเรียนต่อโทเลย”

๘ – ๙ ปีที่แล้วเจ้าของอาคารพาณิชย์ที่ดำเช่าอยู่ได้ขายอาคารในราคาสิบห้าล้านบาท ดำรู้สึกเสียดายที่ตอนนั้นมีเงินไม่พอซื้อ

“ตอนเขาขายใหม่ ๆ เขาก็บอกว่าให้เฮาอยู่ไปพลาง ๆ ก่อนสักปี ให้เฮาหาที่อยู่ใหม่ได้ก่อนจึงย้าย”

แต่วาสนาของคนมันจะร่ำรวยต่อให้เอาช้างมาฉุดก็หยุดไม่อยู่ ในปีเดียวกันนั้นมีเจ้าของอาคารพาณิชย์ห้าชั้นที่อยู่ใกล้ ๆ กันจำเป็นต้องวางมือจากกิจการร้านขายเสื้อผ้าเพราะไม่มีผู้สืบทอดและต้องการย้ายไปอยู่กับลูกที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

ดำถูกทาบทามอีกครั้งให้ไปเช่าอาคารหลังดังกล่าวซึ่งมีอยู่สี่ห้อง อาคารพาณิชย์หลังนี้ด้านหน้าติดกับถนนสายกลาง ด้านหลังติดกับตรอกทางเข้ายะลาซุปเปอร์มาเก็ต

เจ้าของคิดค่าเช่าเดือนละหนึ่งแสนสี่หมื่นบาทดำเก็บไว้ขายรองเท้าสองห้องอีกสองห้องและด้านหลังอาคารเขาแบ่งให้คนอื่นเช่าต่อ

ย่านการค้ากลางเมืองยะลาเคยถูกผู้ก่อความไม่สงบวางระเบิดอยู่บ่อยครั้ง แต่ละครั้งมีทั้งคนเจ็บและคนตาย ไม่นับรวมทรัพย์สินที่ถูกแรงระเบิดและเปลวไฟเผาผลาญ

เมื่อระเบิดกัมปนาทขึ้น ผู้คนจะเงียบหายเหมือนเมืองร้าง เจ้าของร้านขายอาหารนั่งหน้าหมองบ่นงึมงัมพลางโบกมือไล่แมลงวันพลาง ร้านขายเสื้อผ้าอาภรณ์นั่งตบยุงหาวเรอ ไม่เว้นแม้แต่ร้าน ‘เวิร์ค ชอปปิ้ง เซ็นเตอร์’ ของ ‘เสี่ยดำ’

“มันสิเงียบอยู่วันสองวัน หลังจากนั้นก็เหมือนเดิม คนยะลาลืมง่าย มันชินแล้ว” เขาบอก “บ่คิดสิย้ายไปไสดอกเพื่อน ย้ายแล้วสิไปเฮ็ดหยังกิน”

ดำพูดเหมือนคนอีสานบ้านเฮาในยะลาที่ผมเคยไปพูดคุยแล้วนำมาเล่าต่อให้ท่านผู้อ่าน ‘ทางอีศาน’ ได้ทราบอยู่เนือง ๆ

เมื่อสี่ปีที่แล้วดำได้ซื้ออาคารพาณิชย์ข้างยะลาซุปเปอร์มาเก็ตราคาหกล้านจากเจ้าของที่เป็นนายแพทย์เกษียณท่านหนึ่ง ปีนั้นมีเหตุระเบิดรุนแรงอยู่หน้าอาคารพาณิชย์หลังนั้น และมีผู้หญิงคนหนึ่งถูกแรงระเบิดจนเสียชีวิต

นักธุรกิจและเพื่อนหลายคนที่ดำรู้จักไม่อยากจะเชื่อว่าทำไมเขากล้าซื้อแพงขนาดนั้น แต่ดำคิดไม่ผิด เพราะปัจจุบันนี้ราคาของอาคารพาณิชย์ในบริเวณนั้นซื้อขายกันห้องละแปดถึงเก้าล้านบาท

แต่เขายังไม่ขาย ดำให้คนอื่นเช่าเดือนละสองหมื่นห้าพันบาท คนเช่าเปิดร้านขายแว่นตา

ยิ่งมีเหตุระเบิด ที่ดินและอาคารพาณิชย์กลับยิ่งแพงขึ้นอย่างน่าสงสัย และน่าทำวิจัยว่ามีเรื่องลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนอยู่เบื้องหลังอย่างไรและมีความสัมพันธ์กับปัจจัยใดบ้าง

หากผมจะศึกษาอย่างจริงจัง ผมจะค้นคว้าดูว่าใครเป็นผู้ซื้อบ้าง …สมมุติฐานของผมมีอยู่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวันนี้เป็นยุทธวิธี ‘แย่งดินแดน’ ด้วยยุทธศาสตร์ “การไล่คนไทยพุทธ’ โดยอำนาจเถื่อน (ปืนและระเบิด) และอำนาจเงิน โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือ ‘การปกครองตนเอง’

ท่านผู้ใดสนใจจะ ‘แกว่งเท้าหาระเบิด’ กับผมบ้างครับ (ฮา)

เมื่อหกเดือนที่แล้วดำขยายกิจการโดยการเช่าอาคารพาณิชย์ห้าชั้นเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งห้องเพื่อขายรองเท้าเหมือนเดิม ร้านใหม่นี้อยู่ติดกับร้านเวิร์คชอปปิ้ง เซ็นเตอร์ ของเขา

‘เวิร์ค ชอปปิ้ง เซ็นเตอร์’ มีลูกน้องของดำช่วยขายรองเท้าอยู่แปดคนเป็นสาวไทยมุสลิมล้วนส่วนร้านใหม่ยังไม่มีชื่อร้านมีลูกน้องอยู่สามคนเป็นสาวไทยมุสลิมหนึ่งคน สาวไทยพุทธสองคนหนึ่งในสองเป็นสาวอีสานบ้านเฮา อำเภอภูเวียงจังหวัดขอนแก่น ชื่อ ‘ดอกรัก จิตราช’ หรือ ‘ปุ้ย’

“เถ้าแก่เพิ่นก็ให้เงินเดือนหลายอยู่ค่ะพี่ และเพิ่นให้ค่าค่าคอมฯ ด้วย เฮาขายได้หลาย เฮาก็ได้เปอร์เซ็นหลาย” ปุ้ยเล่าให้ฟังในวันที่ผมไปนั่งพูดคุยกับพวกเธอ

วันนั้นลูกค้าค่อนข้างหนาตา เดินเข้าออกไม่ขาดสาย โดยเฉพาะพ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนทั้งพุทธและมุสลิม ต่างมาเลือกซื้อรองเท้านักเรียนให้ลูกในช่วงเปิดเทอม

“เถ้าแก่ก็ใจดีอยู่ดอกอ้าย แต่ว่าบางทีเพิ่นก็ฮ่าย (ต่อว่า) อยู่คือกัน” สาวภูเวียงเล่าแล้วยิ้ม “เป็นเรื่องธรรมดานั่นแหละพี่ บ่มีหยังดอก เพิ่นอยากให้เฮาเอาใจใส่ลูกค้า”

วันที่ผมไปนั่งพูดคุยกับปุ้ย ดำกำลังเดินทางกลับจากศรีสะเกษ เขากลับไปทอดผ้าป่าที่บ้านทุกปี กลับทุกทีได้ทำ ‘บุญใหญ่’ ทุกครั้ง ปีก่อนโน้นซื้อระฆังราคาห้าหมื่นบาทถวายวัดที่บ้าน กลับไปปีนี้ผมไม่ได้ถามว่าเขามีอะไรไปถวายวัดบ้าง

และเมื่อผมโทรฯหา เขาบอกว่ากำลังออกจากโคราช และจะแวะหาดูหินอ่อนแถวสระบุรีและแถวบางบัวทอง นนทบุรี เพื่อนำมาตกแต่งบ้านใหม่ที่ยะลา บ้านหลังงามแถบชานเมืองของเขาก่อสร้างใกล้เสร็จแล้ว

เขาบอกว่าลงไปยะลาคราวนี้จะไปบอกขายอาคารพาณิชย์ที่ตลาดใหม่ ยะลา จำนวน ๓ ห้องที่ก่อสร้างเสร็จพอดี อาคารพาณิชย์ดังกล่าวนี้เขาทำสัญญาซื้อขายไว้ตั้งแต่เริ่มก่อสร้างเมื่อสองปีที่แล้วในราคาห้องละหนึ่งล้านแปดแสนบาท ปีนี้เขาจะขายห้องละสองล้านห้าแสนบาท

“เฮาขอกำไรห้องละเจ็ดแสนก็พอดอกเพื่อน” เสียงของเสี่ยดำดังมาตามสาย และเมื่อผมบอกเขาว่ากำลังนั่งคุยกับลูกน้องเขาที่ร้าน เขาบอกผมว่า “เฮาบ่ทันได้เปิดเบิ่งเด้อ”

ดำติดกล้องวงจรปิดไว้ในร้านของเขาและเชื่อมสัญญาณเข้าสู่ไอโฟนและไอแพดในมือ ไอโฟนจอเล็กมองเห็นภาพได้ไม่เต็มตาจึงเชื่อมสัญญาณไวล์เลสจากไอโฟนเข้าสู่ไอแพดอีกที

กำลังนั่งกินปลาเผาแกล้มเหล้าขาวอยู่เถียงนาน้อยกับเสี่ยวอยู่บ้านแถวอำเภอสิลาลาด เมืองศรีสะเกษ และอยากจะรู้ว่าลูกน้องที่ ‘เวิร์ค ชอปปิ้งเซ็นเตอร์’ ที่ยะลากำลังนั่งกินส้มตำปูซี้ดซ้าดกันอยู่หรือเปล่า

เพียงเสี่ยดำลากนิ้วสัมผัสกับเครื่องมือไฮเทคที่พ่อมด ‘สตีฟ จอบส์’ คิดค้น เขาก็กลายเป็นคน ‘ตาทิพย์’ ไปในบัดดล

“ยามเฮาเปิดเบิ่งเห็นลูกน้องบ่สนใจลูกค้าเฮาสิโทรหาเลยว่าเป็นหยังคือบ่ช่วยกันดูแล… ลูกน้องเฮามันย่านอยู่ตั่วล่ะ” เขาว่า

หนุ่มอีสานบ้านนอกจบการศึกษาแค่ ป.หก เคยเป็นกรรมกรเหยียบอ้อยทำน้ำตาลทรายแดงอยู่ชลบุรี ขายภาพโปสเตอร์แบกะดิน จนพลิกผันกลายเป็นเศรษฐีอย่างทุกวันนี้ได้ ทุกวันนี้เขาคิดอย่างไร

“มีเมียหนึ่ง ลูกหนึ่ง คือกำไรแล้ว อยู่ยะลามันอุดมสมบูรณ์ เฮาบ่ได้ขายสมบัติมา เฮามาค้ากำปั้นบุกหน้าอย่างเดียว บ่ห่วงหยังแล้ว”

Leave a Reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

WP2Social Auto Publish Powered By : XYZScripts.com