ประวัติและที่มา ทำไมพระอาทิตย์และพระจันทร์จึงอยู่บนท้องฟ้า

ประวัติและที่มา ทำไมพระอาทิตย์และพระจันทร์จึงอยู่บนท้องฟ้า

กาลอันล่วงเลยมาจนไม่สามารถกำหนดช่วงเวลา กำหนดวัน กำหนดเดือน กำหนดปีที่เกิดเหตุการณ์ได้ และไม่สามารถที่จะกำหนดเป็นศตวรรษได้ โดยเริ่มต้นจากกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีอยู่สมัยหนึ่งพระอินทร์ (พญาแถน) ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งสิ่งทั้งมวลบนโลกพิภพ อีกทั้งยังเป็นจอมเทพแห่งเทวโลก มนุษย์โลก และสัตว์โลกทั้งหลาย

กาลครั้งนั้นแล เป็นสมัยที่สรรพสิ่งทั้งหลายอาทิเช่นมนุษย์และสัตว์ หินดินน้ำฟ้าอากาศดวงดาวพระจันทร์พระอาทิตย์ ป่าแดดทะเลฝนต่างสื่อสารระหว่างกันด้วยภาษาเดียวกัน ต่างรู้เรื่องเข้าใจไม่มีแบ่งชนชั้นวรรณะแต่ประการใดมีความสุขจากการกิน ความเป็นอยู่อย่างเสมอภาคกัน รอบ ๆ จักรวาลนี้มีโลกเป็นศูนย์กลางแห่งสรรพสิ่งทั้งหลาย มีสัตว์มากมายหลากหลายชนิดที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับมนุษย์ และดวงดาวพระจันทร์พระอาทิตย์ อีกสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาลนี้แล มนุษย์ก็เป็นสัตว์โลกชนิดหนึ่งเหมือน กัน ได้ติดต่อกับดวงดาวพระจันทร์พระอาทิตย์ด้วยกันตลอดมาชั่วกาลนาน

ในยุคนั้นแล มนุษย์และสรรพสิ่งพร้อมทั้งสัตว์ทั้งหลายได้อาศัยอยู่ด้วยกัน ต่างก็เข้าใจกันพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันมาชั่วกาลนาน อยู่ด้วยกันอย่างสันติสุขตามสังคมจักรวาลในยุคต้น ๆ การถือกำเนิดของโลกในครั้งแรกเริ่มนั้น มนุษย์ได้อาศัยสติปัญญาความฉลาด ความสามารถจึงได้อยู่เหนือกว่าสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาลนี้

กาลครั้งหนึ่งนั้นแล พระอาทิตย์และน้ำเป็นเพื่อนรักที่ดีต่อกันมาชั่วกาลนาน ทั้งสองต่างอาศัยอยู่บนโลกเดียวกันมาก่อน พระอาทิตย์มักจะไปเยี่ยมน้ำเพื่อนรักอยู่เป็นประจำไม่ขาดปฏิบัติเช่นนี้เรื่อยมาจนเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย แต่ตรงกันข้ามกับน้ำที่ไม่เคยไปเยี่ยมพระอาทิตย์เลยสักครั้งหนึ่ง เป็นเพราะเหตุผลใดไม่สามารถจะรู้ได้ แต่พระอาทิตย์ก็ไม่ได้ว่ากล่าวแต่อย่างใด ยังรักและห่วงหาอาลัยกับน้ำผู้เป็นเพื่อนด้วยดีเสมอมา

อยู่มาวันหนึ่ง พระอาทิตย์คิดถึงเพื่อนจึงไปเยี่ยมน้ำเพื่อนรัก จึงขอถามน้ำว่า “ตั้งแต่เรารู้จักกันมาก็นานแล้ว เพื่อนไม่เคยออกไปไหนเลยหรือ…? ทำไมเพื่อนไม่เคยมาเยี่ยมข้าบ้างเลยล่ะ ไม่คิดถึงกันบ้างหรือไร…?”

เมื่อเจ้าน้ำได้ยินพระอาทิตย์ถามมาเช่นนั้นจึงตอบว่า “เรามีความเห็นว่า ก็บ้านของเพื่อนหลังเล็กและคับแคบไป ข้ากับเพื่อน ๆ จะเข้าไปก็ยากมาก เรามีเพื่อนเยอะมากถ้าหากไปก็ไปกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน เราจึงไม่สะดวกที่จะไปขอให้เพื่อนมาหาก็แล้วกันน่ะ สะดวกดีออกเพื่อน…!”

พระอาทิตย์ได้ฟังเพื่อนบอกดังนั้นแล้วจึงชวนน้ำว่า “ถ้าหากว่าข้าสร้างบ้านใหม่ หลังใหญ่กว่าเดิมล่ะ…! เจ้าจะมาเยี่ยมข้าที่บ้านไหมล่ะเพื่อนรัก ข้าจะกลับไปทำบ้านอย่างที่เพื่อนแนะนำเลยนะ…?”

เมื่อเพื่อนชักชวนเช่นนี้ เจ้าน้ำก็ตกปากรับคำจะไปบ้านเพื่อนได้ แต่ว่าขอให้พระอาทิตย์ต้องสร้างบ้านให้หลังใหญ่ ๆ และมีห้องเยอะ ๆ ด้วย เพราะเพื่อนของน้ำมีมากและเขาเหล่านั้นจะติดตามไปด้วย

เมื่อทั้งสองได้สนทนากันพอหายคิดถึงอยู่พักหลับนอนกันพอสมควร หลังจากนั้นพระอาทิตย์ก็ลากลับบ้าน ในระหว่างทางก็ได้พบกับพระจันทร์ผู้เป็นภรรยา ที่กำลังเดินทางไปหาเพื่อนเช่นกัน พระอาทิตย์จึงเล่าเรื่องราวที่ตนได้สัญญากับน้ำให้ฟัง พอรุ่งเช้าวันต่อมาพระอาทิตย์ก็ลงมือสร้างบ้านใหม่ทันที ให้ใหญ่ตามขนาดที่ต้องการ หลายวันผ่านไปพระอาทิตย์ก็สร้างบ้านเสร็จเป็นที่เรียบร้อย จึงได้ชักชวนเจ้าน้ำเพื่อนรักให้มาเที่ยวบ้านใหม่ของตนตามที่เคยให้สัญญาไว้

เมื่อเจ้าน้ำเดินทางมาถึงบ้านแล้วจึงได้ตะโกนเรียกพระอาทิตย์ ให้ออกมาต้อนรับที่หน้าบ้านแล้วถามขึ้นว่า “เพื่อนรักบ้านใหม่ของท่านพอให้พวกข้าเข้าไปได้หรือไม่…?” ว่าแล้วก็เดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับเพื่อน ๆ

พระอาทิตย์จึงตอบเพื่อนว่า “ได้ไม่มีปัญหา เราได้สร้างบ้านขนาดใหญ่ ตามที่เพื่อนแนะนำเรามาแล้วนั้นแหละ เชิญน้ำกับเพื่อน ๆ เข้าไปข้างในได้เลย มีความสะดวกสบายดีมากมีพร้อมทุกอย่าง”

น้ำจึงได้ไหลเข้าไปในบ้านพร้อมกับฝูงปลาและสัตว์น้ำต่าง ๆ พอน้ำไหลเข้าไปลึกถึงระดับหัวเข่าแล้ว จึงถามพระอาทิตย์เป็นครั้งที่สองว่า“บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ พอให้เรากับเพื่อน ๆ เข้าไปได้หรือไม่หนอ…?”

พระอาทิตย์เมื่อได้ยินเพื่อนกล่าวเช่นนั้นจึงตอบว่า “ได้เลยเพื่อน เราสร้างบ้านเพื่อเพื่อนอยู่แล้วไม่มีปัญหา เชิญให้น้ำเพื่อนรักไหลเข้ามาอีกได้เลย”

พอเจ้าน้ำได้ไหลเข้าไปข้างในบ้านจนสูงขึ้นได้ระดับศีรษะแล้ว เจ้าน้ำก็ได้ถามพระอาทิตย์อีกครั้งว่า “เรามีเพื่อนเยอะมาก เพื่อนเห็นว่าจะให้เข้ามาได้อีกหรือไม่…?”

หลังจากที่น้ำพูดเช่นนั้นแล้ว ทั้งพระอาทิตย์และพระจันทร์ผู้เป็นภรรยา พร้อมกับเพื่อนเกิดความสบายใจแล้วตอบว่า “ได้สิท่าน…! ไม่ปัญหาอะไรหรอก เชิญตามสบายเลยบ้านเราก็เหมือนบ้านเพื่อนนั่นแหละ”

แล้วเจ้าน้ำก็ไหลต่อไปอีกจนพระอาทิตย์และพระจันทร์ ต้องหนีขึ้นไปเกาะอยู่บนหลังคาบ้านของตน เมื่อเจ้าน้ำเห็นเพื่อนพระอาทิตย์ลำบากเช่นนั้น จึงได้ถามย้ำพระอาทิตย์อีกครั้งและก็ได้รับคำตอบเหมือนเดิม ทั้งน้ำและหมู่เพื่อน ๆ จึงได้ไหลเข้าไปในบ้านอีกตามลำดับ

เมื่อน้ำมีจำนวนมากขึ้นจนกระทั่งเอ่อท่วมจนถึงหลังคาบ้าน พระอาทิตย์และพระจันทร์จึงถูกน้ำดันออกไปนอกบ้านของตนเอง จนต้องหลบน้ำขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้า และแล้วก็ได้อยู่บนท้องฟ้าจนถึงกาลปัจจุบันนี้แล (จึงมีคำสำนวนที่ว่า “น้ำท่วมดวงดาว”) นับแต่นั้นมาพระอาทิตย์ก็ไม่มีโอกาสได้กลับมายังโลกมนุษย์ได้อีกเลยปล่อยให้น้ำได้เข้ามาอาศัยบนโลกนี้แทน ตนเองก็ได้แต่ลอยอยู่บนท้องฟ้า ได้แต่ส่งแสงลงมาทักทายเพื่อนที่เป็นน้ำ จนออกแสงระยิบระยับเมื่อแสงกระทบผิวน้ำ เหมือนประหนึ่งว่าทักทายพูดคุยหยอกล้อเล่นกันตามประสาเพื่อน

ปรัชญาจากตำนานชาวอุษาคเนย์ปรัมปรา

นิทานปรัชญาชาวบ้านปรัมปราเรื่องนี้ ได้เสนอแนวคิดเรื่องน้ำท่วมปาก คำว่าน้ำท่วมปากเป็นปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในสังคมบ้านเราเพราะต่างคนก็มีอะไร ๆ ที่ไม่แตกต่างกัน จึงพูดอะไรต่อกันไม่ได้เลย จึงให้เกิดการไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะมันจะไปกระทบอีกฝ่ายหนึ่งแล้วเขาจะเอาคืน หากจะไม่ให้ลักษณะดังกล่าวนี้เกิดขึ้นได้ ก็ควรทำตัวให้ดีกว่าประเสริฐกว่า การจะพูดอะไรนั้นก็จะทำได้อย่างสบายตัว เพราะไม่กลัวจะย้อนกลับมาหาตนเองได้ หรือเข้าทำนองสำนวนที่ว่า “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่”.

 

 

Related Posts

ปราสาทพนมรุ้ง เทพสถานอีสานใต้
ปิดเล่ม ทางอีศาน 97
แกงส้มปลาเหนียว
WP2Social Auto Publish Powered By : XYZScripts.com