บทที่ 5 พบคําตอบ
ฉันออกเดินทางไปกับคุณยายตั้งแต่เช้ากว่าจะถึงวัดก็บ่าย ทันทีที่ถึงวัด ความรู้สึกเมื่อวัยเด็กผุดขึ้นในห้วงความคิด รู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ มองดูบริเวณรอบ ๆ วัด ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น ได้ยินเสียงใบไม้ไหวราวกล่าวคําต้อนรับอาคันตุกะผู้มาเยือน ฉันรับรู้ถึงกระแสแห่งความชุ่มฉ่ำเย็นที่เกิดขึ้นในใจ
ฉันเดินไปที่ศาลาพบเจ้าอาวาสเป็นพระผู้ใหญ่ ใจดี มีรอยยิ้มเย็น ๆ เปี่ยมด้วยเมตตาคล้ายหลวงพ่อชา ท่านถามฉันว่ามาที่วัดทําไม ฉันกราบเรียนว่าขอมาฝึกปฏิบัติปลีกวิเวก เพื่อค้นหาคําตอบบางอย่าง ท่านพยักหน้ารับทราบ อนุญาตให้ทําตามความประสงค์ ท่านบอกว่าหากต้องการความสงบหลีกเร้นผู้คนให้ไปอยู่กุฏิท้ายป่าคนเดียว
ฉันรับคําหลวงพ่อและกราบลาท่านไป เดินลัดเลาะไปตามทางพบต้นไม้น้อยใหญ่เรียงรายเป็นแนวยาว บริเวณวัดสะอาด สะอ้าน ใบไม้ที่ร่วงหล่นตามพื้นได้รับการปัดกวาดอย่างดี ใบไม้แห้งกองรวมกันอย่างมีระเบียบ
ขณะนั้นเป็นเวลาตะวันกําลังจะลับขอบฟ้า ได้ยินเสียงจักจั่นเรไรร้องระงมลั่นป่า ฉันเดินไปตามทางแคบ ๆ ลดเลี้ยวไปจนสุดเขตวัด พบกุฏิ หลังเล็ก ๆ ดูเก่าคร่ำคร่า ชั้นล่างมีแคร่ไม้เอาไว้นั่งพัก ชั้นบนมีเพียงห้องเล็ก ๆ แคบ ๆ นอนได้เพียงคนเดียว ในห้องมีเพียงเสื้อเก่า ๆ ผืน มุ้ง หมอน ผ้าห่ม ไฟฉาย พร้อมเทียนไข 1 เล่มและไม้ขีดเตรียมไว้ให้
ฉันกวาดตามองบริเวณโดยรอบ ความหวั่นวิตกคืบคลานเข้ามาทีละนิด ไม่คุ้นชินกับสภาพเช่นนี้ ที่ผ่านมาฉันเคยนอนแต่ฟูก หนา นุ่ม พร้อมผ้าห่มอุ่นสบาย แต่วันนี้ต้องนอนกับพื้นไม้กระดานแข็ง ๆ รําพึงเบา ๆ จะไหวไหมนี่
ขณะนั้นเป็นเวลาเย็น ก่อนพระอาทิตย์ตกดินฉันต้องรีบไปอาบน้ำก่อนที่จะมองไม่เห็นทาง พอไปถึงที่อาบน้ำต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ บริเวณที่อาบน้ำเป็นเพียงสังกะสีเก่า ๆ มุงเป็นเพิงเอาไว้ มีบ่อน้ำที่ต้องตักขึ้นมาใส่กาละมังใบโตเพื่อรองน้ำไว้อาบ ฉันรีบทําความสะอาดชําระล้างร่างกายให้เร็วที่สุดแล้วกลับที่พักก่อนมืด
เมื่อเดินทางกลับที่พักตั้งใจสวดมนต์ ไหว้พระ คืนนั้นฝนตกหนัก ฟ้าร้องครืน ๆ เสียงใบไม้หวีดหวิวสลับเสียงลมกรรโชกแรงน่าสะพรึงกลัว ขณะกําลังอกสั่นขวัญแขวนกับบรรยากาศรอบตัว จู่ ๆ ต้นไม้ใหญ่หน้ากุฏิหักโค่นล้มกระแทกหลังคาเสียงดังโครม! ฉันสะดุ้งสุดตัว
ในห้องไม่มีไฟฟ้ามีเพียงเทียนไขเล่มเล็ก
ๆ ฉันนั่งนิ่งตัวชา ลมเย็นพัดวูบเข้ามาตามรอยแตกของพื้นห้อง
เปลวเทียนเกือบดับมีเพียงแสงริบหรี่ ฉันตัวสั่นสะท้าน
หัวใจเต้นตึกตักความกลัวแล่นจับขั้วหัวใจ กลัวที่สุดในชีวิต
ขณะนั้นได้ยินเสียงดังขึ้นในใจ “มาที่วัดทําไม” “ใครบังคับให้มา” เสียงนั้นบอกว่า เธออยากมาหาคําตอบมิใช่หรือ อีกเสียงตอบว่าใช่ แต่ตอนนี้กลัว เป็นสองเสียงทะเลาะกันในหัว คงเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ที่มีทั้งความกลัวและความกล้าอยู่ในตัว
ในที่สุดเสียงหนึ่งดังขึ้นบอกว่า ไหน ๆ ก็มาอยู่วัดแล้ว ทําไมไม่ลองนั่งหลับตาภาวนาค้นหาคําตอบที่อยากรู้ เสียงนั้นบอกอีกว่าให้สู้กับความกลัว ได้ยินเสียงเล็ก ๆ ดังแทรกถามขึ้นว่า กลัวอะไร เสียงตอบเบา ๆ ว่า กลัวผี เสียงเดิมถามต่อ ผีเป็นอย่างไร ได้ยินอีกเสียงตอบว่า ผีคือคนที่ตายแล้ว เสียงดังขึ้นอีกครั้ง ตายแล้วเป็นอย่างไร เงียบ ไม่มีเสียงตอบใด ๆ
ขณะนั้นไม่รู้จะทําอย่างไร ฉันจึงลองนั่งหลับตาท่ามกลางความมืด ค่อย ๆ ตามดูลมหายใจเข้า ออก สักพักเริ่มเข้าสู่ความสงบ ลมหายใจเริ่มละเอียด เบา สบาย จิตค่อย ๆ คลายจากความกลัว เข้าสู่สภาวะที่ยากจะอธิบาย เหมือนอยู่ในถ้ำมืด เงียบ สงัด ไร้สรรพเสียงรอบข้าง ไม่รู้สึกอะไร ไม่รู้แม้กระทั่งว่า หายใจอยู่หรือไม่ เกิดความรู้สึกว่าร่างกายเบาสบายคล้ายปุยนุ่น
ขณะกําลังเคลิบเคลิ้มกับความรู้สึกแปลก ๆ จู่ ๆ รู้สึกว่า ร่างกายที่นั่งอยู่ค่อย ๆ หายไปทีละส่วน เริ่มจากหน้าตายุบหายไป แขน ขา ลําตัว อวัยวะทุกส่วนของร่างกายหายไปอย่างช้า ๆ ไม่มีแม้กระทั่งลมหายใจ ในที่สุดไม่เหลืออะไร มีเพียงเถ้ากระดูกกองอยู่กับพื้น
ขณะนั้นตกใจสุดขีดเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ลืมตาโพลงในความมืด รีบเอามือลูบหน้าตา หู ปาก จมูก จับแขน ขา ลําตัว อวัยวะทุกส่วนยังอยู่ครบ ค่อย ๆ ทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ภาพนั้นแจ่มชัดในมโนภาพ เกิดอะไรกับร่างกายเมื่อครู่
ทําไมจู่ ๆ จึงหายไป เหลือเพียงเถ้ากระดูกกองเดียว ค่อย ๆ นั่งทบทวน พบว่า มนุษย์เกิดมามีเพียงแค่นี้หรือ เมื่อวาระสุดท้ายมาเยือนไม่เหลืออะไรนอกจากร่างกายที่ผุพัง ขณะนั้นฉันเกิดความรู้สึกเศร้า สะเทือนใจ สลด หดหู่ นั่งน้ำตาไหลพรากท่ามกลางความมืดมิดคนเดียว
การที่ฉันได้ฝึกภาวนาท่ามกลางความเงียบ สงัด มีโอกาสฝึกจิต ฝึกใจ จดจ่อกับลมหายใจ อยู่ในอารมณ์เดียว ได้ค้นพบสภาวะบางอย่างและได้พบความจริงของชีวิต
เมื่ออยู่วัดครบกําหนดแม่มาตามกลับบ้าน วันนั้นฉันบอกแม่ว่าฉันได้พบคําตอบที่แสวงหามานาน ฉันจะขอบวชที่วัดเพื่อศึกษาให้เกิดความรู้อย่างถ่องแท้ให้มากกว่านี้ไม่ขอกลับไปทางโลก
แม่ได้ยินเช่นนั้นตกใจบอกว่าจะทิ้งแม่ได้อย่างไร แม่พูดไปน้ำตาไหลไปบอกว่าเลี้ยงฉันมาจนเติบใหญ่ หวังจะฝากผีฝากไข้ เหตุใดจึงมาตัดช่องน้อยแต่พอตัว ฉันยังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณ พ่อ แม่ และยังไม่ได้ทําอะไรให้ภาคภูมิใจ จู่ ๆ จะเลือกเส้นทางนี้ได้อย่างไร
วินาทีนั้นยากแก่การตัดสินใจ ฉันจะทําอย่างไรระหว่างความกตัญญูกับความรู้สึกภายในที่ต่อสู้กันอย่างหนัก ฉันค้นพบคําตอบที่เฝ้าเพียรถามมานาน อยากเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเองตัดสินใจเองเหมือนเมื่อครั้งวัยเยาว์ แต่ ณ เวลานี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะเลือกเส้นทางตามใจปรารถนา เพราะยังมีหน้าที่ที่ต้องทําอีกมากมาย
ในที่สุดฉันตัดสินใจกลับบ้านกับแม่ เพื่อตอบแทนผู้มีพระคุณ จริงดั่งแม่ว่าฉันยังไม่ได้ทําหน้าที่ลูกอย่างสมบูรณ์ ก่อนออกจากวัดฉันคลานไปกราบเท้าหลวงพ่อ สะอื้นในอก สะท้านในใจ น้ำตาไหลพราก หลวงพ่อพูดด้วยเสียงเมตตาว่า “หน้าที่ทางโลกรออยู่ ให้กลับไปทำหน้าที่ให้ดีทีสุด แต่อย่าละเลยทางธรรม ให้ทำหน้าที่ควบคู่กันไป”
หลังจากนั้น ฉันได้น้อมนําสิ่งที่ได้รู้ได้เห็นจากการปฏิบัติมาใช้ควบคู่กับการดําเนินชีวิตทางโลก ล้มลุกคลุกคลานบ้างบางครา เสียน้ำตาบ้างบางหน ทั้งระลึกได้ได้บ้าง ไม่ได้บ้างสุขทุกข์ปะปนพยายามให้อยู่บนเส้นทางสายนี้ให้เป็นไปตามวิถีที่ควรมีควรเป็น
การไปอยู่วัดครั้งนั้น ได้พบคําตอบบางอย่าง เกิดมุมองใหม่ เกิดจิตสํานึกใหม่ นําสู่การเปลี่ยนแปลงภายใน ทั้งความคิด ความรู้สึกและพฤติกรรม
“การพบแก่นสารสาระสำคัญในชีวิตเป็นจุดเปลี่ยนทำให้รู้ว่า เกิดมาทำไม มีชีวิตเพื่อสิ่งใด”
บทที่ 6 สังคมใหม่
หลังจากค้นพบคําตอบบางอย่าง ต่อมาไม่นานฉันได้ทํางานเป็นนักการทูตตามที่ฝันชีวิตการทํางานเริ่มต้น ณ เวลานั้น
เมื่อทํางานระยะหนึ่งได้พบรักกับหนุ่มนักการทูตด้วยกัน ตกลงปลงใจแต่งงานใช้ชีวิตร่วมกัน หลังจากนั้นฉันได้ย้ายติดตามคู่สมรสเดินทางไปทํางานต่างประเทศ เริ่มต้นชีวิตใหม่สังคมใหม่ที่ประเทศอินโดนีเซีย เป็นการเริ่มต้นที่ตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นชิน
เราสองคนเช่าบ้านหลังเล็ก ๆ อยู่ชานเมืองจาการ์ตาเมืองหลวงของอินโดนีเซีย เป็นบ้านเช่าครึ่งตึกครึ่งไม้ 2 ชั้น พร้อมเฟอร์นิเจอร์ครบครัน สะดวกสบายไม่ต้องวุ่นวายกับการซื้อข้าวของเครื่องใช้เข้าบ้านเพียงหิ้วกระเป๋าก็เข้าอยู่ได้ทันที
บ้านใหม่ของเรามี 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นห้องรับแขกใหญ่ ประกอบด้วยโต๊ะ เก้าอี้ไม้เข้าชุดตั้งอยู่กลางห้อง ริมผนังมีตู้โชว์ไม้แกะสลักฝีมือละเอียด พร้อมฉากไม้เนื้อแข็งบานใหญ่ปักฉลุด้วยหนังวัวเป็นรูปผู้ชายแต่งกายด้วยชุดพื้นเมือง ยืนยิ้มยิงฟันต้อนรับแขกผู้มาเยือน ชั้นบนแบ่งเป็นห้องนอนใหญ่ 1 ห้องและห้องนอนเล็กอีก 2 ห้อง
บริเวณด้านหน้ามีสนามหญ้าเล็ก ๆ ปลูกดอกไม้สวยงาม ด้านหลัง มีต้นไม้น้อยใหญ่ใบดกหนา รกครึ้มปกคลุมบริเวณโดยรอบ ให้ความรู้สึกเหมือนมีป่าขนาดย่อมอยู่ในบ้าน มีต้นดอกพุดออกดอกชูช่อบานไสวส่งกลิ่นหอมทั้งกลางวันกลางคืน
บ้านหลังเล็ก ๆ ของเรามีเจ้านาย 2 คน คือ สามีและฉัน สมาชิกในบ้านเริ่มแรกมีกิลัน เป็นชายร่างสูงใหญ่ ค่อนข้างท้วม ผิวสีเข้ม ผมหยิกหยักโศก อารมณ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส มีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของบ้าน ดูแลสวน ต้นไม้ ดอกไม้ และตารียาตี้ภริยากิลันทําหน้าทีแม่บ้าน เธอมีรูปร่างสมส่วน เอวบาง ร่างน้อย ผมยาวดําขลับประบ่า ขมวดมวยเรียบตึง หน้าตาคมเข้มยิ้มแย้ม แจ่มใส สุภาพเรียบร้อย พูดเสียงเบา ๆ
ต่อมา เมื่อตารียาตี้ตั้งท้องและคลอดลูกออกมา เธอขออนุญาตให้แม่และน้องสาวย้ายมาอยู่ด้วยเพื่อช่วยเลี้ยงหลาน บ้านเราเลยกลายเป็นครอบครัวใหญ่ไปโดยปริยาย จะว่าไปแล้วก็ดีเหมือนกันบ้านไม่เงียบเหงา วัน ๆ ได้ยินเสียงพูดคุยภาษาท้องถิ่นกันเจี๊ยวจ๊าว สลับเสียงเด็กร้องบางโอกาส
บางครั้งได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นขึ้นไปถึงบนบ้าน บรรยากาศสนุกสนานครื้นเครง ฉันถือโอกาสฝึกภาษาอินโดนีเซียและเรียนรู้ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมจากสมาชิกในบ้านไปด้วย
เรามาทําความรู้จักประเทศอินโดนีเซียกันสักนิด อินโดนีเซียเป็นประเทศหมู่เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลกประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่กว่า 17,508 เกาะ ตั้งอยู่ระหว่างมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิค เป็นประเทศหมู่เกาะที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาช้านาน ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม เป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ
ลักษณะภูมิอากาศที่จาการ์ตาร้อนชื้นแบบศูนย์สูตร มีเพียง 2 ฤดู คือ ฤดูแล้ง (พฤษภาคม-ตุลาคม ) และฤดูฝน (พฤศจิกายน-เมษายน) ภาษาที่ใช้ คือ ภาษาอินโดนีเซีย หรือ บาฮาซ่า อินโดนีเซีย (Bahasa Indonesia) ผู้คนส่วนมากนับถือศาสนาอิสลาม
อาหารประจําชาติที่นิยม คือ กาโด กาโด (Gado Gado) ประกอบด้วยผักและธัญพืชหลากชนิด ทั้งแครอท มันฝรั่ง กะหล่ำปลี ถั่วงอก ถั่วเขียว เต้าหู้ และไข่ต้มสุก พร้อมอะโวคาโด จริง ๆ อาหารอินโดนีเซียมีความหลากหลาย เพราะเป็นประเทศหมู่เกาะจํานวนมาก อาหารจึงมีให้เลือกตามท้องถิ่นนั้น ๆ
อาหารที่ฉันคุ้นเคย คือ นาซีโกเร็ง เป็นข้าวผัดที่มีรสชาดเป็นเอกลักษณ์ประกอบด้วยเครื่องเทศ สมุนไพรนานาชนิด ผัดใส่เนื้อสัตว์เช่น ไก่ แกะ หรืออาหารทะเล อีกอย่างที่ฉันชอบกิน คือ สะเต๊ะ รสชาติจะเข้มข้นกว่าสะเต๊ะบ้านเรา ที่นิยม คือสะเต๊ะไก่ เนื้อ แพะ แกะ หรือกระต่าย
ชีวิตฉันดําเนินไปอย่างมีความสุขท่ามกลางสภาพแวดล้อมใหม่ พบปะผู้คน เรียนรู้ประเพณี วัฒนธรรมใหม่ ทั้งกิลันและตารียาตี้ดูแลฉันเป็นอย่างดี ตารียาตี้จะดูแลเรื่องอาหาร ทําความสะอาด ปัดกวาด เช็ด ถู ส่วนกิลันจะดูแลสวน ต้นไม้ ดอกไม้ให้สวยงาม และคอยตรวจตรา ดูแลความเรียบร้อยในบ้านทุกวัน
หากวันใดมีงานเลี้ยง ฉันต้องกลับบ้านดึก กิลันจะมานั่งหน้าบ้านพร้อมเพื่อนชาวอินโดนีเซียเป็นชายหนุ่มร่างกํายํา สูงใหญ่ กว่า 10 คน เรียงรายกันหน้าสะลอน
คืนไหนหากใครผ่านบ้านฉัน เห็นชายฉกรรจ์นั่งกันเป็นทิวแถว เป็นการส่งสัญญาณว่าเจ้านายไม่อยู่บ้าน ห้ามใครมาแหยมแถวนี้ หากคนแปลกหน้าผลัดถิ่นเข้ามาหรือใครคิดจะมาขโมยหรือทําอะไรไม่ดี คงต้องคิดหลายตลบ ว่าจะฝ่าดงชายฉกรรจ์นับสิบไปได้อย่างไร
สภาพทางเศรษฐกิจ อินโดนีเซียมีความเหลื่อมล้ำทางด้านฐานะความเป็นอยู่ คนรวยก็รวยจริง บ้านช่องใหญ่โต ขับรถคันโก้ ส่วนคนทีมีรายได้น้อยจะมีความเป็นอยู่ค่อนข้างขัดสน
บ้านฉันอยู่ชานเมืองใกล้ริมคลอง ภาพที่เห็นชินตา คือ ยามเย็นก่อนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า ผู้คนที่อาศัยอยู่ตามแม่น้ำ ลําคลอง จะมาอาบน้ำชําระร่างกายกันตรงนั้น ชายหนุ่มที่มานั่งหน้าบ้านฉันก็มาจากบริเวณนั้น
พออยู่ไปสักพัก ฉันเริ่มคุ้นชินกับคนท้องถิ่น หากวันใดทําอาหารที่มีเนื้อสัตว์ เช่น ข้าวมันไก่ ฉันจะบอกตารียาตี้ให้ทําเผื่อคนแถวนั้นและให้นําไปแบ่งปันกัน คนที่ได้รับอาหารอันโอชะต่างดีใจและกินกันอย่างเอร็ดอร่อย นาน ๆ จะได้กินเนื้อสัตว์ นี่คงเป็นสาเหตุจูงใจที่ทําให้ชาวบ้านแถวนั้นอาสามาดูแลบ้านฉันยามวิกาล
บางวัน เสาร์ อาทิตย์ หากฉันอยู่บ้านจะบอกกิลันให้ชวนชาวบ้านเอาแกลลอนหรือภาชนะมารองน้ำที่บ้านเพื่อเอาไปไว้ดื่มกิน ทําให้คนท้องถิ่นแถวนั้นรู้จักน้ำใจคนไทยที่ไปที่ไหนมักจะแบ่งปันเสมอ การทําเช่นนี้เป็นการผูกมิตรไมตรีสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างกันให้ยั่งยืนนาน
เมื่อฉันเริ่มคุ้นชินกับชาวบ้านและพูดภาษาท้องถิ่นได้บ้าง บางวันนึกสนุกหิ้วตระกร้าไปจ่ายตลาด ฉันชอบนุ่งผ้าถุงใส่เสื้อแขนกระบอกทําตัวเนียนกลืนไปกับชาวบ้าน ฉันพูดจาภาษาถิ่นพอซื้อกับข้าวได้ รู้ว่า พืช ผักแต่ละอย่างเรียกว่าอย่างไร สนทนาพื้น ๆ ต่อรองราคาได้หากคําไหนไม่รู้ก็ส่งภาษามือกันจนเมื่อย หัวเราะกันท้องคัดท้องแข็งเป็นที่สนุกสนาน
ฉันมีความสุขท่ามกลางผู้คนที่เป็นมิตร วันหนึ่ง ฉันมีอาการแปลก ๆ ใจสั่นหวิว ๆ คล้ายจะเป็นลม หน้ามืด เรียกหายาดมยาหม่องลั่นบ้าน ตารียาตี้วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาถามว่ายอนญ่า (คุณผู้หญิง) เป็นอะไร ฉันบอกไม่รู้เป็นอะไร เวียนหัว คลื่นไส้ อยากอาเจียน ตารียาตี้มองหน้าฉันแล้วหัวเราะลั่นเพราะมีประสบการณ์เช่นนี้ ร้องบอกกิลันว่า ยอนญ่าท้อง ยอนญ่าท้อง
ฉันสงสัย ท้องจริงหรือ? เพื่อความแน่ใจจึงให้สามีพาไปพบหมอทําการตรวจให้รู้ว่าท้องจริงหรือไม่ หมอยืนยันว่าท้องจริง ฉันดีใจสุดชีวิตรอต้อนรับชีวิตน้อย ๆ ที่กําลังอุบัติขึ้นในครรภ์ ใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง งดกิจกรรมทั้งหมด ที่เคยไปจ่ายตลาดก็ไม่ไป ให้ตารียาตี้ทําหน้าที่แทน
ฉันรับประทานอาหารดี มีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง บริวารแวดล้อมต่างช่วยกันดูแลดูแลฉันไม่ยอมห่าง ปรนนิบัติพัดวียอนญ่าอย่างดี บางวันนึกอยากทานผลไม้รสเปรี้ยวกิลันจะกุลีกุจอคอยไปสรรหามาให้ ฉันโชคดีที่มีกิลันและตารียาตี้คอยอยู่เคียงข้าง
การอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ดี ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากคนรอบข้าง แม้ต่างชาติ ภาษา วัฒนธรรมแต่ความเอื้ออาทรทีมีต่อกันสามารถสื่อถึงกันได้
แม้ฐานะของกิลัน ตารียาตี้และฉันจะแตกต่างกัน เป็นเจ้านายกับลูกน้อง มิใช่ปัญหาอุปสรรคแต่อย่างใด ฉันได้รับการดูแล เอาใจใส่อย่างดีเยี่ยมสัมผัสได้ถึงความรัก ความจริงใจและความห่วงใยที่ทั้งสองมอบให้ ไม่ว่าฉันจะทําอะไร ย่างกรายไปที่ใดตารียาตี้จะเฝ้ามองฉันไม่ให้คลาดสายตา ดูแลเสมือนหนึ่งเราเป็นครอบครัวเดียวกัน นี่คือสิ่งสําคัญที่ฉันได้เรียนรู้ว่า
“มนุษย์เราผูกพันกันด้วยหัวใจดวงเดียวกัน”