ประเทศไทย เมืองพุทธ ดีที่สุดในโลก
ไม่เห็นโลงศพมิหลั่งน้ำตา ไม่เจ็บป่วยไม่เห็นคุณหมอ ไม่เห็นโควิดก็ไม่คิดถึงรัฐบาล
นิสัยมนุษย์เราอยู่กับสิ่งไหนนาน ๆ ซ้ำซากก็มักจะเบื่อง่าย ๆ ประเภทใกล้เกลือกินด่าง สุภาษิตเก่าอีสานเขาว่า “เห็นขี้ ดีกว่าไส้” เราจึงได้ยินคนไทยด่าเมืองไทยบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง เหมือนศัพท์สมัยใหม่ที่เขาเรียกว่า “พวกชังชาติ” งมงายไร้เหตุผล เหมือนคนในอยากออกคนนอกอยากเข้า
ไวรัสโควิด-19 คราวนี้มีโอกาสอยู่บ้านเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ อ่านหนังสือ ดูข่าว ติดตามข่าวต่าง ๆ เกี่ยวกับโควิด ทั้งของต่างประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะของไทยเราอย่างพินิจและพิเคราะห์ ได้แง่คิดได้ไอเดีย มีวิสัยทัศน์ขึ้นอีกเยอะ นำมาเขียนเป็นเล่มได้เลย
ครั้งแรก ทั้งรัฐบาล หน่วยงานของรัฐ ข้าราชการ ทำงานแบบจับต้นชนปลายไม่ถูก “งงเป็นไก่ตาแตก” ทำให้เห็นว่าข้าราชการไทยมันเช้าชามเย็นชามจริง ๆ ขาดความกระตือรือร้น ขาดความรู้ความคิดสร้างสรรค์ แต่ก็เห็นใจตรงที่เหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเจอมาก่อน ผู้เขียนจึงเปรียบเปรยว่า “ยุคนี้ข้าราชการไทยใส่เกียร์ว่าง จนเคยตัวทำท่าจะหลับใน พอรถตกหลุมสะดุ้งตื่นแทนที่จะเหยียบเบรกกลับไปเหยียบคันเร่ง เกือบพาประเทศไทยตกคลอง” กรณีรัฐบาลออก พรก.ฉุกเฉิน ข้อห้ามข้อบังคับเพื่อป้องกันการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ข้าราชการบางหน่วย แม้แต่ตำรวจก็ขึงขังเข้มงวดไม่มีวิจารณญาณ ก็ใช้กฎหมายจับลูกเดียว ประชาชนเดือดร้อนก็ด่ารัฐบาล ทั้ง ๆ ที่วิธีการปกครองมันไม่ต้องใช้แต่หนักนิติศาสตร์อย่างเดียว ใช้หลักรัฐศาสตร์บ้างก็ได้ ข้าราชการไทยทำไม่เป็น โควิดคราวนี้ยังมีเรื่องงี่เง่า เซ่อซ่า ไม่เข้าท่าของนักการเมืองไม่รู้กาลเทศะอีกมากมายหลายเรื่อง รวมทั้งการสื่อสารของทางราชการอ่อนด้อยมากด้วย
แต่โชคดีนี่คือเมืองไทยประเทศไทยเมืองพุทธ ยังมีคนเก่ง ๆ ดี ๆ มีคุณธรรม ใจบุญสุนทานอีกมากมาย เห็นใจเอื้ออาทรช่วยเหลือเกื้อกูลกันในยามยากคับขัน อะไรขาดแคลน “หน้ากากขาดแคลน” “ไข่ขาดแคลน” แต่น้ำใจคนไทยส่วนมากไม่ขาดแคลน พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสผ่านพ้นมาได้ เรียกว่าชาวบ้านแก้ปัญหาช่วยกันเองไม่ต้องพึ่งราชการ เขามีคำพูดว่า “คนไทยเวลาอยู่ว่าง ๆ สบาย ๆ ก็หาเรื่องทะเลาะกัน แต่พอเกิดเหตุเภทภัยต่าง ๆ ก็กลับมาร่วมมือช่วยเหลือกันแก้ปัญหา”
“เมืองไทยไม่เหมือนใครในโลก” คำนี้มาพิสูจน์กันในช่วงที่เกิดไวรัสโควิดคราวนี้แหละ
ไวรัสโควิด เกิดครั้งแรกที่เมือง “อู่ฮั่น” ประเทศจีน เรียกชื่อแรกว่า “ไวรัสโคโรน่า” (โคโรน่าไม่น่ารักเหมือนโคโยตี้ เด้อ สิบอกไห่) ระบาดมาประเทศไทยเป็นประเทศแรก เพราะคนจีนมาเที่ยวเมืองไทยมาก เป็นข่าวใหญ่ฮือฮาขึ้นมาจากดาราเจ้าของค่ายมวยและเป็นพิธีกรเวทีมวยออกมาเปิดเผยว่าตัวเองติดเชื้อไวรัสโควิด คณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเริ่มตรวจสอบคนในสนามมวยปรากฏว่าทั้งสนามมวยลุมพินี มีเซียนมวยติดเชื้อไวรัสโควิดเป็นจำนวนมาก กระจายไปอย่างรวดเร็ว ประกอบกับอีกกลุ่มหนึ่งติดจากสถานบันเทิง ทำให้ผู้ติดเชื้อในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นร้อยเป็นพันคนและเริ่มมีผู้เสียชีวิต ประกอบกับข่าวหลายประเทศทั่วโลกเริ่มติดเชื้อรุนแรงรวดเร็วเหมือนไฟลาม โดยเฉพาะ ยุโรป ประเทศอิตาลี มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตพุ่งขึ้นเป็นพันเป็นหมื่นสูงเป็นอันดับหนึ่งของโลก อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี รวมทั้งอเมริกา ล้วนแต่ยอดผู้ป่วยสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ
คนไทยรับข่าวสารจากองค์กร บุคลากรทางการแพทย์อย่างละเอียด ทำให้คนไทยตื่นตัวตระหนักแต่ไม่ตระหนก ต้องยอมรับว่านายกรัฐมนตรีไทย เป็นผู้นำที่ฉลาดทันเหตุการณ์ การจัดทัพสู้ศึกไวรัสโควิดที่ตามองไม่เห็นนี้ ไม่ให้นักการเมืองมายุ่งเกี่ยวเลย จัดกองกำลังบุคลากรทางการแพทย์ระดับแนวหน้าของไทย แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข โดยใช้ข้าราชการระดับปลัดกระทรวงแทน ตามมาด้วยการออก พรก.ฉุกเฉิน เพื่อดึงการบ้านออกจากการเมืองในยามนี้ การสกัดไวรัสร้ายจึงเดินถูกทาง การระบาดทำท่าจะรุนแรงแต่แรกก็ซาลง ทั้ง ๆ ที่ประเทศในเอเชียรอบ ๆ บ้านเราหลายประเทศรุนแรงกว่า เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี อินโดนีเซีย สิงคโปร์ แต่ประเทศในแถบยุโรประบาดหนัก มีผู้ติดเชื้อเป็นแสน เสียชีวิตเป็นหมื่น หาที่ฝังศพไม่ได้ ในช่วงแรกประเทศอิตาลีสูงเป็นอันดับหนึ่งของโลก ต่อมาประเทศอเมริกาประเทศมหาอำนาจที่ร่ำรวยที่มีผู้นำที่เห็นแก่ตัวหวังผลทางการเมือง ห่วงสิทธิมากกว่าห่วงชีวิตคน จึงเป็นประเทศที่มีประชากรติดเชื้อล้านกว่าคน และเสียชีวิตหลายแสนศพ แซงเอาชนะ (ที่ไม่ควรจะชนะ) ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของโลกอย่างไม่น่าภาคภูมิใจแทนอิตาลี
ประเทศไทยเล็ก ๆ มีผู้นำที่ฉลาดรู้ทัน “ให้บุคลากรทางการแพทย์” เป็นทัพหน้าฝ่าวิกฤติโควิดได้อย่างสวยงาม จนได้รับคำชมจากองค์กรอนามัยโลกว่า “มีผู้นำดี บุคลากรทางการแพทย์ดี โดยเฉพาะ อสม.ที่ลงพื้นที่ทั่วประเทศไทย” ได้รับคำชมยกย่องจากผู้นำหลายประเทศว่า “ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว” ถึงแม้ความจริงจะมีขวากหนาม วัชพืชสิ่งโสมมจากหน่วยงานไทยบางกลุ่มบางพวกไม่รู้สึกรู้สา หาประโยชน์จากความทุกข์เดือดร้อนของประชาชนอยู่บ้าง มีนักการเมืองบางพวกคอยขัดขาให้รัฐบาลล้มคว่ำโดยไม่คิดว่ารัฐบาลคว่ำประชาชนก็คว่ำเหมือนกันหมด ไม่เคยคิดเลยว่า “ภัยร้ายต่าง ๆ ในโลกนี้จะเอาชนะความดีไม่ได้ แน่นอน ความชั่วร้ายใด ๆ ก็ต้องแพ้ความรักความสามัคคีฉันใด โรคร้ายก็ต้องแพ้ความใจบุญเอื้ออารีย์ต่อกันตามทางพระพุทธศาสนา” คนไทยใจบุญช่วยเหลือเจือจุนกันในยามยากทุกภาคส่วน แจกเงินแจกของแจกอาหาร บรรเทาความเดือดร้อน มีที่ไหนในโลก รับแจกจนเหนื่อย แถมมีตู้ปันสุข ตู้แบ่งปันทั่วไปอีก
โควิดระบาดคราวนี้ไม่มีชาติไหนจะได้ชื่อเสียงโด่งดังกว่าประเทศไทย ได้รับการยกย่องว่าดูแลประชาชนคนไทยเป็นอย่างดี รวมถึงคนต่างประเทศที่อยู่ในประเทศไทยเท่าเทียมกันหมด ไม่เหมือนอเมริกาไม่ดูดำดูดีป่วยแทบตายไปหาหมอหน้ากากก็ไม่มี ยาก็ไม่ให้ ไล่ให้กลับไปอมน้ำเกลือรอวันตายที่บ้าน อ้อนวอนหมอว่าอาการหนัก โรงพยาบาลบอกว่าหมอไม่มี แต่ที่เมืองไทยแค่ตัวร้อนหมอรีบเชิญไปตรวจรักษาฟรี คนไทยที่ไปอยู่ต่างประเทศหลายหมื่นคนทั่วโลกดิ้นรนกลับบ้านกลับเมืองไทยได้รับการต้อนรับอย่างดี ลงเครื่องที่สุวรรณภูมิมีเจ้าหน้าที่มาต้อนรับบอกว่า “ถึงสุวรรณภูมิแล้วครับ ขอต้อนรับกลับสู่เมืองไทยอันอบอุ่นและปลอดภัย” ต้อนรับแค่นั้นเดินน้ำตาซึมเลย (อย่าว่าแต่คุณเลยผู้เขียนฟังแค่นั้นก็น้ำตาซึมเหมือนกัน) นี่คือคนไทยถึงจะไม่ใช่ทั้งหมดแต่ก็มีคนไทยแบบนี้อยู่มากกว่า ไม่มีที่ไหนเท่าแผ่นดินไทยอีกแล้ว พอกลับมาถึงเมืองไทยเจ้าหน้าที่พาไปเก็บตัวในโรงแรมอย่างดี มีหมอมาตรวจเชื้อให้ฟรี อาหารอย่างดีให้กิน ๓ มื้อ ๑๔ วัน ถ้าอยู่ต่างประเทศคงเสียค่ารักษาหลายล้านบาท
ฟังจากคนไทยอีกกลุ่มหนึ่งเล่าให้ฟังเชิงขำขัน คนไทยที่จากบ้านเกิดไปทำงานต่างถิ่นต่างจังหวัด เดินทางกลับบ้านจังหวัดของตัวเอง ก้าวลงจากรถเห็นคนมายืนรอรับ มีทั้งผู้ว่า นายอำเภอ นายก อบจ. อบต. คุณหมอ เจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานมายืนเข้าแถวรอ ยังกับเป็นนักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิก หรือนางงามจักรวาล นึกว่าตัวเองเป็นวีรบุรุษไปเลย หาที่ไหนได้แบบนี้มีที่เมืองไทยเท่านั้น (ที่จริงเขามารอตรวจเชื้อจะพาไปเก็บตัว ๑๔ วัน) นี่แหละเมืองไทยเมืองพุทธสุดประเสริฐ
“อย่าฟ้าวติเตียนเว้า ผักกะเดาว่าขมขื่น บาดได้กินลาบก้อย สิหลงย่องว่าดีได๋”
“คั้นว่าควมคนเว้า ขมในอย่าฟ้าวจ่ม ลางเทือขมขี้เพี้ย คราวหน้าสิว่าดีดอกน้า”