โลกหลังประชาธิปไตย (2)
โดย… “เสรี พพ”
ราชาปราชญ์กับราชาธิปไตยเทคโน
“ราชาปราชญ์” ของเพลโต กับ “ราชาธิปไตยเทคโน” ของยาร์วิน มีความเกี่ยวข้องกัน แต่ก็มีความแตกต่างในพื้นฐานปรัชญา วิธีการ และเป้าหมาย ที่อาจอธิบายได้ดังนี้
ความเหมือนประการแรก การปกครองโดยผู้มีความสามารถสูงสุด
“ราชาปราชญ์” ในหนังสืออุตมรัฐ (The Republic) เพลโตกล่าวว่าผู้ปกครองที่เหมาะสมที่สุดควรเป็นนักปรัชญา ผู้ที่รักในปัญญาและมีความเข้าใจลึกซึ้งในความยุติธรรม สัจธรรม และประโยชน์ส่วนรวม เนื่องจากมีคุณสมบัติที่เหมาะสมสำหรับการปกครอง
“ราชาธิปไตยเทคโน” ยาร์วินเสนอว่าการปกครองควรอยู่ในมือของบุคคลที่มีความสามารถที่สุด เปรียบเสมือนซีอีโอของบริษัทที่สามารถบริหารรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าความยึดติดในอุดมการณ์
ความเหมือนประการที่ 2 การวิพากษ์ประชาธิปไตย
ทั้งเพลโตและยาร์วินมีมุมมองเชิงวิพากษ์ต่อประชาธิปไตย เพลโตวิจารณ์ว่าประชาธิปไตยมีแนวโน้มจะนำไปสู่การปกครองโดย “ฝูงชน” ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์และความไม่รู้ (อันเป็นเหตุให้โสคราติสอาจารย์ของเขาถูกตัดสินประหารชีวิต) ยาร์วินก็สะท้อนมุมมองนี้ โดยมองว่าประชาธิปไตยในปัจจุบันไม่มีประสิทธิภาพ เต็มไปด้วยการคอร์รัปชัน และถูกควบคุมโดยชนชั้นนำ (ที่เขาเรียกว่า “The Cathedral”)
ความเหมือนประการที่ 3 อำนาจรวมศูนย์
ทั้งสองระบบเสนอการปกครองที่มีอำนาจรวมศูนย์ในมือของผู้นำที่มีความสามารถสูงสุด เพื่อป้องกันผลกระทบจากแรงกดดันของความเห็นประชาชนหรือการเมืองแบบพรรคพวก
อย่างไรก็ดี มีความแตกต่างระหว่างเพลโตกับยาร์วิน
ความต่างข้อที่ 1 พื้นฐานทางปรัชญา
ราชาปราชญ์ของเพลโตตั้งอยู่บนฐานของอภิปรัชญาและจริยศาสตร์ ผู้ปกครองต้องเข้าใจ “รูปแบบแห่งความดี” (Form of the Good) และปกครองตามความจริงสูงสุด
ส่วน “ราชาธิไตยเทคโน” ของยาร์วินเป็นแนวคิดเชิงปฏิบัตินิยมและทันสมัย โดยเน้นความมีประสิทธิภาพ ความสามารถ และการใช้เทคโนโลยี ไม่ได้ยึดโยงกับคุณธรรมทางจริยศาสตร์หรือความจริงในเชิงอภิปรัชญา (คล้ายกับมักเกียเวลลีที่จะพูดถึงตอนต่อไป)
ความต่างข้อที่ 2 การเน้นเทคโนโลยีระบบของเพลโตพึ่งพาการฝึกฝนทางปรัชญาและปัญญาโดยไม่มีเรื่องเทคโนโลยี ขณะที่แนวคิดของยาร์วินเน้นการใช้เทคโนโลยีและข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารรัฐ
ความต่างข้อที่ 3 มุมมองต่อประชาชน
เพลโตวิจารณ์มวลชนแต่ยังเห็นว่าราชาปราชญ์มีหน้าที่เหมือน “ชุมพาบาล” (คนเลี้ยงแกะ) ที่ต้องนำพาและดูแลประชาชน แม้ว่าพวกเขาอาจไม่เข้าใจสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตน ขณะที่ยาร์วินไม่ให้ความสำคัญกับมวลชนมากนัก เน้นประโยชน์เชิงปฏิบัติมากกว่า โดยระบบเน้นประสิทธิภาพและการจัดการปัญหา มากกว่าการตอบสนองความต้องการของมวลชน
ความต่างข้อที่ 4 ความชอบธรรมและการคัดเลือก
ราชาปราชญ์เกิดจากการศึกษาที่ถูกออกแบบมาเพื่อปลูกฝังปัญญาและคุณธรรมให้กับคนบางกลุ่ม ขณะที่ราชาธิไตยเทคโนอาจเกิดจากกระบวนการที่คล้ายกับการเลือกซีอีโอ โดยวัดจากความสามารถและผลงาน แทนที่จะเป็นความเข้าใจในเชิงปรัชญา
มีคำถามมากมายว่า ระบอบแบบที่ยาร์วินเสนอจะแก้ไขปัญหาของประชาธิปไตย เช่น การคอร์รัปชันหรือเผด็จการรัฐสภา โดยไม่กลายเป็นเผด็จการหรือระบบที่คอร์รัปชันอีกแบบหนึ่งหรือ เขามีคำตอบว่า
1. ต้องสร้างระบบตรวจสอบและสมดุล ควรมีองค์กรอิสระที่ตรวจสอบการทำงานของผู้นำ เช่น คณะกรรมการจริยธรรม หรือศาลรัฐธรรมนูญที่มีอิสระ
2. จัดการศึกษาเพื่อคุณธรรม เพื่อสร้างผู้นำที่ควรได้รับการฝึกฝนทางจริยศาสตร์และปรัชญา เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาปกครองเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและความยุติธรรม มากกว่าเพียงความมีประสิทธิภาพ (ดูย้อนแย้งกับตนเอง) และกลายเป็นการหาประโยช์ส่วนตนและพวกพ้อง
3. ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในบางส่วนแม้ว่าจะเป็นระบบรวมศูนย์ เช่น การลงประชามติในเรื่องสำคัญ หรือการสร้างสภาประชาชนเพื่อให้คำแนะนำ
4. ประเมินผู้นำอย่างสม่ำเสมอ โดยองค์กรอิสระหรือผ่านตัวชี้วัดที่โปร่งใส และต้องมีบทลงโทษหากพบว่าผู้นำทำผิดพลาดหรือคอร์รัปชัน
5. บูรณาการเทคโนโลยีอย่างมีมนุษยธรรม ใช้เทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างความมีประสิทธิภาพในการบริหาร แต่ต้องมีหลักจริยธรรมกำกับ เพื่อให้มั่นใจว่าการตัดสินใจตอบสนองความต้องการของประชาชน
6. การผสานความฉลาดและความยุติธรรม ยาร์วินไม่ได้ปฏิเสธแนวคิดของเพลโตเสียทีเดียว เขาอยากให้ผสมผสานหลักการของการคัดเลือกตามคุณธรรม การฝึกฝนจริยธรรม และ ระบบตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ โดยให้ความสำคัญกับความดีส่วนรวม การปกครองที่ยุติธรรม และการใช้เทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรม
24 มกราคม 2024