โลกหลังประชาธิปไตย (6)
โดย… “เสรี พพ”
รัฐชาติโมเดลของยาร์วินและไทยในสายตาของเขา
ตามวิสัยทัศน์ของยาร์วิน มีบางประเทศที่ใกล้เคียงกับโมเดลของเขา
1. สิงคโปร์ มักถูกกล่าวถึงว่าเป็นตัวอย่างที่ใกล้เคียงที่สุดกับ “ราชาธิปไตยเทคโน” ในโลกความเป็นจริง การปกครองรวมศูนย์อยู่ภายใต้พรรคกิจประชาชน (People’s Action Party – PAP) โดยเน้นที่ความเป็น “ราชาธิปไตยเทคโน” และการกำหนดนโยบายอย่างมีเหตุผล รัฐบาลดำเนินการคล้ายกับบริษัท โดยมุ่งเน้นที่ประสิทธิภาพ การวางแผนระยะยาว และความมั่นคง
สิงคโปร์ไม่มีความขัดแย้งทางอุดมการณ์หรือความไม่มีประสิทธิภาพในระบบประชาธิปไตยที่ยาร์วินวิจารณ์ ทำให้เป็นตัวอย่างที่เหมาะสมที่สุด
2. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) การปกครองรวมศูนย์อยู่ภายใต้ระบบกษัตริย์ที่สืบทอดตำแหน่ง โดยผู้นำใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่และแนวทางที่เป็นรูปธรรมในการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม เน้นสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนและนวัตกรรม
3. ซาอุดีอาระเบีย แผน Vision 2030 ของมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน สะท้อนถึงองค์ประกอบของ “ราชาธิปไตยเทคโน” การรวมศูนย์อำนาจเพื่อผลักดันการพัฒนาและการกระจายความหลากหลายทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว การพึ่งพาเทคโนโลยีและข้อมูลอย่างมากในด้านการบริหาร
แม้จะมีลักษณะ “ปฏิบัตินิยม” แนวคิดของยาร์วินยังคงอยู่ในระดับทฤษฎีและอุดมคติ โดยเน้นที่ความมีเหตุผล ประสิทธิภาพ และนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ประเทศส่วนใหญ่ยังไม่สามารถบรรลุอุดมคตินี้เนื่องจากมักให้ความสำคัญกับการรวมอำนาจหรือเป้าหมายทางอุดมการณ์มากกว่าประสิทธิภาพล้วน ๆ
การทุจริตและความไม่มีประสิทธิภาพยังคงอยู่ในหลายระบบ ประเด็นจริยธรรมและสิทธิมนุษยชนที่เกิดจากการรวมศูนย์อำนาจมีความสำคัญอย่างยิ่ง แม้จะดูเป็นความย้อนแย้ง โน้มเอียงเป็น “มักเกียเวลเลียน”
เข้าใจกันดีว่ายาร์วิน พยายามเสนอทางเลือกทางออกให้สังคมโลกวันนี้ แต่ต้องไม่ลืมความหลากหลายในรูปแบบการปกครอง การบริหารบ้านเมือง อย่าง “ประชาธิปไตยสังคม” รัฐสวัสดิการของประเทศสแกนดิเนเวีย “ประชาธิปไตยทางตรง” อย่างสวิตเซอร์แลนด์ รวมทั้งประเทศพัฒนาแล้วที่ใช้ระบบประชาธิปไตย
แต่ก็ควรพิจารณาภาพรวมของสังคมโลก ดูประเทศที่จมปลักอยู่กับ “กำลังพัฒนา-ยากจน” เพราะประเทศรวย “ได้เปรียบและเอาเปรียบ” ครอบงำ ดูดซับทรัพยากรธรรมชาติและคัดเลือกคนเก่งๆ ไปอยู่ในประเทศของตน โอกาสที่ประเทศยากจนและกำลังพัฒนาจะลืมตาอ้าปากคงยาก ด้วยเหตุนี้จึงมีแต่ “เผด็จการ” ที่เป็น “สมุน” รับใช้ประเทศมหาอำนาจจึงอยู่ได้ ผู้นำที่ไม่ยอมสยบก็จะถูกกำจัด ประวัติศาสตร์เอเชีย แอฟริกา ละตินเอมริกาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันบันทึกไว้อย่างล้นเหลือ
แนวคิดของยาร์วินจึงตั้งคำถามว่า ไม่มีอะไรดีกว่า “ประชาธิปไตย” แล้วหรือ ขณะที่เขาเติบโตมาในแวดวงเทคโนโลยีและธุรกิจ เห็น “ประสิทธิภาพ” ของการบริหารจัดการในแวดวงดังกล่าว จึงมองว่า สังคมโลกฝังรากลึกใน “ประชาธิปไตย” จนคิดว่าเป็นวิถีทางเดียว
ขณะที่ประเทศต่างๆ ล้วนมีประวัติศาสตร์ รากเหง้า วัฒนธรรม ประเพณี ที่ดีงามมากมาย เคยพึ่งพาตนเอง เคยปกครองตนเองด้วยรูปแบบที่เหมาะสมที่บรรพบุรุษได้พัฒนาและส่งต่อกันมา แต่ถูกลืมไปหรือถูกมองข้ามในนามของประชาธิปไตยที่ถูก “ฝังหัว” โดยประเทศมหาอำนาจ อ้างว่า “พัฒนาแล้ว” เป็น “ต้นแบบ”
ประเทศไทยในทัศนะของเคอร์ติส ยาร์วิน ที่ควรรับฟังโดยไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
1. อำนาจรวมศูนย์ที่ชัดเจน
ยาร์วินอาจมองว่าการรัฐประหารที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในประเทศไทยสะท้อนถึงความอ่อนแอในโครงสร้างทางการเมือง ซึ่งเกิดจากการมีศูนย์กลางอำนาจที่แข่งขันกันระหว่างทหารและรัฐบาลพลเรือน ถ้าจะให้เป็นไปตาม “โมเดล” ของเขา เขาอาจเสนอว่า
๑. รวมอำนาจทั้งหมดไว้ในตัวบุคคลที่มีอำนาจสูงสุด ซึ่งทำหน้าที่เหมือน CEO ของประเทศ บุคคลนี้จะไม่ได้รับการเลือกตั้งหรือเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง เพื่อลดแรงจูงใจในการก่อรัฐประหาร
๒. ผู้นำควรถูกคัดเลือกโดยพิจารณาจากความสามารถ มากกว่าความนิยม ความเข้มแข็งทางการทหาร หรือการสืบทอดทางสายเลือด สร้างบทบาท “CEO ของประเทศไทย” ที่มีอำนาจบริหารเต็มรูปแบบ
๓. ลดบทบาทของกองทัพในด้านการเมือง โดยให้อยู่ใต้การควบคุมของผู้มีอำนาจสูงสุด
2. การบริหารแบบเทคโนแครต
ยาร์วินเน้นการปกครองโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถสูง แทนที่จะเป็นนักการเมือง สำหรับประเทศไทย สิ่งนี้อาจหมายถึงการแต่งตั้งรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ตามความเชี่ยวชาญในด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และการบริหาร
สร้างระบบราชการที่มีความเป็นมืออาชีพและปราศจากอิทธิพลทางการเมืองหรือการแทรกแซงจากกองทัพ และจัดตั้งสภาที่ปรึกษาซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้คำแนะนำและดำเนินนโยบาย ปฏิรูปบทบาทของกองทัพในรัฐบาลพลเรือน โดยให้เน้นเฉพาะหน้าที่ด้านความมั่นคงของชาติ
3. การปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อความมีเหตุผล
ประเทศไทยมีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง แต่ยังประสบปัญหาความเหลื่อมล้ำ การทุจริต และความไร้ประสิทธิภาพ ยาร์วินอาจเสนอว่า
(๑) โมเดลการบริหารแบบบริษัท จัดการประเทศเหมือนบริษัท โดยผู้นำกำหนดเป้าหมายทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน เช่น การเพิ่ม GDP การลงทุนจากต่างประเทศ และนวัตกรรมทางเทคโนโลยี
(๒) การขจัดการทุจริต ใช้มาตรการเข้มงวดเพื่อลดปัญหาการทุจริต ซึ่งเป็นผลลัพธ์ของการปกครองที่อ่อนแอ
(๓) ใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเพื่อการตัดสินใจ เช่น AI สำหรับการจัดสรรทรัพยากรและนโยบายสาธารณะ ขยายเขตเศรษฐกิจพิเศษและส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ในขณะเดียวกันปกป้องผลประโยชน์ของคนในท้องถิ่น
4. การแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคม
ประวัติศาสตร์ของความไม่มั่นคงทางการเมืองในประเทศไทยส่วนหนึ่งมาจากความขัดแย้งในสังคม เช่น ความแตกต่างระหว่างเขตเมือง-ชนบท และความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยคนจน ยาร์วินอาจเสนอให้
๑. การกระจายทรัพยากรเพื่อความเท่าเทียม ใช้โครงการของรัฐเพื่อพัฒนาพื้นที่ชนบทให้ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของประเทศ
๒. การควบคุมความขัดแย้ง ใช้ระบบเทคโนโลยีในการควบคุมความสงบเรียบร้อย เช่น ระบบเครดิตทางสังคมคล้ายของจีน แม้ว่าอาจจะมีข้อกังวลด้านจริยธรรม
๓. เสริมสร้างเศรษฐกิจในชนบทผ่านโครงการพัฒนาที่นำโดยรัฐ ส่งเสริมความสามัคคีของชาติผ่านโครงการทางวัฒนธรรมและการศึกษา
5. เสถียรภาพคือเป้าหมายสูงสุด ยาร์วินให้ความสำคัญกับเสถียรภาพเหนือสิ่งอื่นใด โดยมองว่าระบอบอำนาจรวมศูนย์ที่มั่นคงดีกว่าประชาธิปไตยที่ไม่แน่นอน สำหรับประเทศไทย สิ่งนี้อาจหมายถึง
(๑) ขจัดแรงจูงใจในการทำรัฐประหาร มอบบทบาทที่ชัดเจนให้กับกองทัพและกลุ่มต่าง ๆ ในรัฐ แต่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของอำนาจรวมศูนย์
(๒) การกำหนดรูปแบบการปกครอง สร้างรัฐธรรมนูญที่ระบุชัดเจนถึงระบบการปกครองแบบรวมศูนย์ พร้อมด้วยกลไกที่ทำให้การเปลี่ยนผ่านอำนาจเป็นไปอย่างราบรื่น
ประเทศไทยที่ควรเป็นตามมุมมองของยาร์วิน
ระบบราชาธิปไตยเทคโนแบบรวมศูนย์ ผู้นำคนเดียวที่มีอำนาจบริหารสูงสุด สถาบันพระมหากษัตริย์ยังคงเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมเพื่อสร้างความเป็นเอกภาพ
ชนชั้นนำแบบเทคโนแครต การปกครองโดยทีมผู้เชี่ยวชาญ แทนที่จะเป็นนักการเมืองหรือผู้นำทางทหาร นโยบายเน้นประสิทธิภาพ การเติบโตทางเศรษฐกิจ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ความสงบเรียบร้อยและเสถียรภาพ ทหารอยู่ภายใต้อำนาจของผู้บริหาร โดยเน้นบทบาทด้านการป้องกันประเทศและการตอบสนองภัยพิบัติ ขจัดกลไกที่ส่งเสริมความผันผวนทางการเมือง เช่น การเลือกตั้งที่บ่อยครั้ง
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม การลงทุนในพื้นที่ชนบทเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ การใช้เทคโนโลยีและการวางแผนที่มีเหตุผลสำหรับการบริหารและการจัดการเศรษฐกิจ
ความท้าทายในการนำไปใช้ การต่อต้านทางวัฒนธรรม ความผูกพันของสังคมไทยต่ออุดมคติประชาธิปไตยและสถาบันพระมหากษัตริย์อาจทำให้ยากต่อการนำระบบของยาร์วินมาใช้
ข้อกังวลด้านจริยธรรม นักวิจารณ์แนวคิดของยาร์วินมักมองว่าระบบรวมศูนย์อำนาจอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมทั้งภาพลักษณ์ในระดับสากล การเปลี่ยนไปใช้ “ราชาธิปไตยเทคโน” อาจทำให้ประเทศไทยถูกมองว่าเป็นเผด็จการในสายตาพันธมิตรประชาธิปไตยและคู่ค้าระหว่างประเทศ
แม้แนวคิดของยาร์วินอาจช่วยแก้ไขปัญหาความไม่มั่นคงในประเทศไทยได้ในทางทฤษฎี แต่การนำไปใช้จริงต้องเผชิญกับความท้าทายทางวัฒนธรรม จริยธรรม และภูมิรัฐศาสตร์อย่างแน่นอน
ข้อคิดส่งท้าย ที่ได้นำเสอนแนวคิดของเคอร์ติส ยาร์วิน ซึ่งเป็นหนึ่งใน “ทฤษฎี” การเมืองที่แปลกแตกต่างจากคนอื่น เขาเป็นเหมือนตัวแทนของคนยุคใหม่ที่เติบโตมากับ “เทคโนโลยี” และเบื่อหน่ายกับความวุ่นวายทางการเมืองแบบ “ประชาธิปไตย” จนถึงกับปฏิเสธและต่อต้าน เพราะ “สิ้นหวัง” กับสังคมที่ดูเหมือนไม่ไปไหน
ถึงได้นำเขาไปเปรียบกับเพลโต กับมักเกียเวลลี เพื่อให้เข้าใจแนวคิดของเขาและเห็นภาพชัดเจนมากขึ้น
แต่ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับเขาทั้งหมด เพียงบางประเด็น บางส่วน ที่นำเสนอเพราะเห็นว่า อาจเป็นการกระตุ้นให้เกิดการวิพากษ์ การเสวนาเพื่อหาทางออกทางเลือกที่ถ้า “ไม่ดีที่สุด” อย่างน้อยก็ให้ “เลวน้อยที่สุด” เพื่อตั้งต้นเป็นฐานการพัฒนาให้ดีขึ้นไป ไม่วนเวียนอยู่ใน “วงจรอุบาทว์” ของการเมืองอย่างที่เป็นอยู่
สังคมไทยในเกือบร้อยปีที่ผ่านมา ที่ถือว่าได้เข้าสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ดูจะมีเกือบทุกลักษณะ ทั้งจุดเด่นและจุดด้อย เข้มแข็งและอ่อนแอ แต่ก็ยังหา “จุดลงตัว” ไม่ได้
หวังว่า ข้อเขียนนี้จะช่วยจุดประเด็นอย่างน้อยให้ภาคประชาสังคมได้มีบทบาทมากขึ้นในการมีส่วนร่วมพัฒนาสังคม ถึง “ไม่อุดมคติ” แต่ก็อยู่บนเส้นทาง “ที่ใช่” ที่มั่นใจได้ว่าไม่หลงทาง
เพราะ “ขอบฟ้ามิได้อยู่ที่สุดสายตา แต่อยู่ทุกย่างก้าวที่เราเดิน” (ปัสกาล)
และเดินหน้าอย่างเป็นตัวของตัวเองเพราะ “คนไม่มีรากเหง้าจะถูกเขาครอบงำและกำหนดอนาคตให้หมดเลย” (ฟรานซ์ โบอาส)
28 มกราคม 2025