บทนำ ฉบับ “ฟ้าใหม่”
นักคิดนักเขียนที่มีความคิดก้าวหน้าคนหนึ่ง ให้ความหมายของศิลปไว้ว่า ศิลป คือผลิตกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อสะท้อนถ่ายความจัดเจนในทางสร้างสรรค์ที่ได้รับจากการต่อสู้ของชีวิต ทั้งในทางธรรมชาติและทางสังคม ทั้งนี้โดยสะท้อนถ่ายออกมาในแง่ความงาม แนบแน่นกับความเป็นจริง มีความตรึงตราและง่ายในระดับที่ประชาชนส่วนข้างมากสามารถชื่นชม และเข้าใจได้ อย่างน้อยก็ในช่วงระยะเวลาที่มันถือกำเนิดขึ้นมา
กวี
สมัยโบราณ
คนชอบร้องเพลงเกี่ยวกับธรรมชาติ
หิมะและดอกไม้
ดวงจันทร์และสายลม
กลุ่มหมอก
ภูเขาและลำน้ำ
# ส ร ร พ สิ่ ง
ดาวโลกเมื่อเริ่มวิวัฒน์จนเกิดวัฏจักรขึ้นเป็นธรรมดาธรรมชาตินั้น จะงดงาม สุกสกาว สว่างไสวในเวิ้งจักรวาลปานใด
ว่าด้วยเงือก (๔) ขวัญไทดํา จากองค์ความรู้ของ ดร.คําจอง
ต้นเค้ากำเนิดบทความเรื่อง “เงือก” ของข้าพเจ้า เริ่มจากวันไปร่วมงานของ “มูลนิธิโกมล คีมทอง” แล้วแวะเข้าศูนย์หนังสือธรรมศาสตร์เห็นหนังสือชุด “ด้วยรัก” รวมบทความในโอกาสศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ฉัตรทิพย์ นาถสุภา อายุ ๗๒ ปีเรื่อง “ชนชาติไท” ราคาห้าร้อยบาทรีบซื้อทันทีเมื่อพลิกดูพบภาพ “เงือก” เป็นครั้งแรกที่ได้เห็น (เคยตีพิมพ์มาแล้วในหนังสือ TAI CULTURE iii - 2 , December 1998 แต่ข้าพเจ้าไม่มีหนังสือเล่มนั้น) ตื่นเต้นมาก
ฟันดาบไทย-ลาว การละเล่นใน “สมุทรโฆษคําฉันท์”
มหรสพ (entertainment) หรือการละเล่น (amusement) ของสยามในอดีตส่วนใหญ่สูญหายไม่มีแสดงกันแล้วในสังคมทั่ว ๆ ไป หลักฐานที่จะสืบค้นหาได้คือ พวกเอกสารประวัติศาสตร์, วรรณคดีและภาพจิตรกรรมฝาผนัง เป็นต้น
เบอร์เดียวกัน
พ่อเฒ่ามินกับลูกเขยชื่อบักวินับว่าเป็นพ่อเฒ่ากับลูกเขยที่สวรรค์จัดมาให้ ถูกคู่กันจริง ๆ มีหลายเรื่องที่พ่อเฒ่ากับลูกเขยคู่นี้ ได้สร้างวีรกรรม หรือใช้วาทกรรมต่อกันให้ชาวบ้านได้ฟัง และครึกครื้นกันมาอยู่บ่อยครั้ง พ่อเฒ่ามินเป็นทนายความ วาทะหรือคารมคมคายก็ไม่ใช่ธรรมดา ปั้นนํ้าให้เป็นตัวก็ยังได้ส่วนบักวิผู้ลูกเขยมันเคยเป็นครูมาก่อน คารมครูวิก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน ครูสาวหลงคารมมันมานักต่อนักแล้ว