จากแนวคิดวัฒนธรรมชุมชน สู่สังคมการปกครองตนเอง
ขณะที่ในกระแสการพัฒนาทั่วโลกที่ชี้นำด้วยอุดมการณ์ทุนนิยมเสรีนั้น สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือการล่มสลายของชุมชนเกษตรกรรม สังคมชุมชนถูกแยกสลายไปเป็นสังคมใหม่ที่นับถือคุณค่าปัจเจกนิยม การจัดตั้งทางสังคมก็เป็นการจัดตั้งกลุ่มองค์กรและเครือข่ายรายรอบโรงงานอุตสาหกรรมและย่านพาณิชยกรรม และเกิดสิ่งที่ ?โชติช่วง นาดอน? เรียกว่า กลุ่มผลประโยชน์ย่อยใหม่ ๆ ขึ้นมาอย่างหลากหลาย
สัญชาติลาวกลายเป็นไทยในบังคับสยาม
เรื่องนี้ผมจะยังไม่ปักใจเชื่ออย่างหนึ่งอย่างใดลงไป เพียงแต่รับฟังไว้เป็นข้อมูล จากมุมมองของคนต่างประเทศ ยังต้องนำมาใคร่ครวญให้สมเหตุสมผลต่อไปอีก เพราะผมคิดว่าการสืบค้นประวัติศาสตร์จะต้องกระทำด้วยท่าทีของผู้ซึ่งบรรลุวุฒิภาวะ โดยเฉพาะในคนรุ่นใหม่ ไม่บังควรทำให้การศึกษาประวัติศาสตร์เป็นการสร้างความขัดแย้งใหม่ ๆ จากความขัดแย้งเก่าในประวัติศาสตร์ แต่ควรศึกษาประวัติศาสตร์ความขัดแย้งในอดีตเพื่อเก็บรับเป็นบทเรียน เพื่อจะได้กำหนดท่าทีต่ออนาคตได้อย่างเหมาะสม
บทร้อยกรองของพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ๑๑-๑๓
๑๑. เป็นศิษย์หาให้ครูเห็นชอบ
ให้ประกอบคุณไว้ห้าอัน
อย่าดื้อดันนอนหลังตื่นก่อน
อุปฐากอย่าผ่อนเพียรทำ
อย่าเถียงคำครูบาสอนง่าย
อย่าเบี่ยงบ่ายหลบหลีกการงาน
พระอาจารย์สอนธรรมให้ฮู่
อดสาสู้ใจน้อมหมั่นเพียร
ผีบุญ ศึกษาอดีตเพื่อเข้าใจปัจจุบัน
ผู้นำผีบุญส่วนใหญ่สร้างความเชื่อถือในหมู่ชาวบ้านด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับความสามารถพิเศษต่าง ๆ อันเป็นคุณสมบัติของผู้วิเศษที่มากอบกู้ผู้คนให้พ้นทุกข์ ตั้งแต่การรักษาโรคด้วยเวทย์มนต์คาถายาวิเศษ รวมถึงการแก้ปัญหาทางสังคมอื่น ๆ ในหมู่ชาวบ้าน กลายเป็นข่าวเล่าขานต่อ ๆ กันไป
พ่อเฒ่าสีกับบักสอย
พ่อเฒ่าสีเป็นคนใจกว้าง แกมีที่ดินอยู่แปลงหนึ่ง ครึ่งหนึ่งแกแบ่งให้ลูกเขย อีกครึ่งหนึ่งแกขุดสระเลี้ยงหอยแบบธรรมชาติ ด้วยการไปเก็บหอยโข่งหอยขม ที่มีอยู่ตามธรรมชาติมาปล่อยลงในสระแล้วให้อาหาร หอยก็ขยายพันธุ์ไปเรื่อย ๆ เก็บกินได้ เก็บขายก็ดี ส่วนบักสอยที่ได้ที่ดินติดกับพ่อเฒ่าสี มันคิดจะเลี้ยงหมี
ตระกูลภาษา “ไท-กะได” กับ ไป่เยวี่ย
ปัจจุบันนี้ วงวิชาการยอมรับกันแล้วว่าชน “ไป่เยวี่ย” สายหนึ่งเป็นบรรพชนของชนชาติในตระกูลภาษา ไท-กะได ก็เลยเกิดปรากฏการณ์ มีการไปเรียกพวกไป่เยวี่ย สาขาที่อยู่ตอนเหนือ คือ แถบเจ้อเจียง-เซี่ยงไฮ้ (เรื่องราวของ โกวเจี้ยน ฟูไช นางไซซี) ว่าเป็นคนไท/ไต