ดอกขะเจียวจากโคกขี้แลน ตอนที่ 11
ดอกเตอร์สีโห บุญบา ออกจากห้องบรรยาย กลับเข้ามานั่งในห้องอาจารย์แล้วงีบหลับไปชั่ว ขณะ พอดีมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น จึงรู้สึกตัวใช้มือ นวดคลึงท้ายทอยตนเองและหาวด้วยการอ้าปาก กว้าง ๆ ก่อนจะยกมือไปยกโทรศัพท์มาแนบหู
“หัลโหล…สีโหพูดครับ”
“พี่สีโห? พี่สีโห…อาจารย์สีโหใช่มั้ย ?” เสียงด้านโน้นเป็นเสียงผู้หญิง แต่สีโหยังจำไม่ได้
“คราบ มีอะไรให้รับใช้ ?”
“พี่สีโห ปู่เฮืองตายแล้ว ตายเมื่อบ่ายวันนี้”
“หา ว่าไงนะ ปู่เฮือง ? ” เหมือนฟ้าแลบสายฟ้าฟาด หัวใจสีโหแปลบปวด เสียงพูดจากสายด้านโน้นย้ำมาอีกหนว่าปู่เฮืองของเขานั้นตายแล้วแม่บอกให้กลับบ้านด่วน และสุนทรน้องสาวจะพูดอะไรอีกบ้าง เขาเองหูอื้อจนฟังไม่ได้ศัพท์ และฝ่ายสุนทรก็วางหูโทรศัพท์แล้ว เหลือบดูนาฬิกาที่ข้อมือ เวลานั้นบ่ายสามโมงเศษ สีโหตั้งสติได้หารอช้าไม่ เขารีบไปแจ้งให้หัวหน้าภาควิชาทราบ และขอลาหยุดเพื่อขึ้นไปงานศพปู่เฮืองทันที
ใบหน้าของชายชราชื่อปู่เฮืองปรากฏขึ้นลาง ๆ ในห้วงคำนึงของสีโห เป็นใบหน้าที่บ่งความเข้มแข็งฉายแววตาที่รักผูกพัน มองทะลุเห็นหัวใจที่เบิกบานแจ่มใส คราวนั้นเมื่อเขายังอายุสิบขวบพ่อก็เสียชีวิตไป ทิ้งแม่คำนางเลี้ยงดูเขาและสุนทรขณะยังเป็นทารกแบเบาะ ปู่เฮืองอายุใกล้หกสิบแต่บึกบึนแข็งแรง ร่างใหญ่กำยำแบกคันไถไล่ควายทำนาเลี้ยงหลานทั้งสองอย่างมิย่อท้อ ฝ่ายย่าก็ตายไปเสียแต่เขายังเล็กมาก เขาจำเสียงนินทาปากปลาร้าของชาวบ้านได้จนโตพอรู้ความ คนเราก็ยังนินทาได้นินทาดี จำได้ว่าปู่ถูกกล่าวหาว่าเอาลูกใภ้ไปเป็นเมียแทนย่า
มันเป็นความเจ็บปวดลึก ๆ ของเด็กน้อยหากว่าเรื่องเป็นจริงดังกล่าวหาก็น่าระอาอยู่ไม่ใช่น้อย แต่ปู่ก็ได้พิสูจน์ว่าไม่จริง ด้วยการเอาชีวิตที่ยืนยาวกว่าคนที่กล่าวหาเข้าประกัน โดยไม่สะทกสะท้าน จนพวกมันตายกันไปและปู่ยังอยู่ และไม่มีความจริงแม้แต่น้อย ปู่คือผู้ทรงคุณธรรมอันสูงส่งดั่งเดียวกับรุ่นทวดและคนรุ่นโบราณทั้งหลาย
สีโหกลับไปยังที่พักซึ่งเป็นคอนโดฯราคาไม่แพงนัก อยู่ย่านชานเมือง รถยนต์จะขับก็ไม่มีอาศัยแท็กซี่หรือรถเมล์ จัดกระเป๋าเสื้อผ้าเตรียมการเดินทางขึ้นไปบ้านเกิดเมืองนอน รู้สึกวังเวงหวิว ๆ และเศร้า
เมื่อสองสามเดือนก่อนเขาเพิ่งขึ้นไปเยี่ยมปู่เมื่อเวลาคุยกันออกรสออกชาติทุกครั้ง เพราะปู่จะเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้เขาฟัง น่าฟังไม่น่าเบื่อ เพราะไม่ใช่คนแก่หลงลืมอะไร ปู่เฮืองไม่เพ้อไม่พร่ำความเก่า ถึงจะเล่าความหลังและคล้ายดั่งกับว่าคือนิทานชีวิตของปู่เองก็ตาม
คราวนี้ปู่พูดกับเขาว่า “ว่าจะเล่าเรื่องความหลังให้แกฟัง แต่ยังไม่ถึงเวลา”
“จะเล่าอะไรก็เล่านะปู่” เขาทีเล่นทีจริง “ที่ฟัง ๆ ปู่มา ทุกเรื่องก็ไม่พ้น…”
“เออน่า, เป็นเรื่องอย่างใหม่ แต่ไม่ถึงเวลาที่จะเล่า”
“ทำไมล่ะ ?”
“ถึงเวลาจะเล่าก็รู้เอง”
“อายุปู่ปูนนี้แล้ว ผมว่าจะหลง ๆ ลืม ๆ นา”
“เอ็งแช่งรึ ? ” ปู่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ข้าเพิ่ง
อายุแปดสิบห้าหยก ๆ อยู่ไปอีกสักสิบปีก็ยังไหว”
“ปู่ก็ต้องอยู่ถึง แต่ผมอยากรู้เรื่องตอนนี้”
“ยังไม่ได้”
“โบราณว่า สิบปีอาบน้ำบ่หนาว ซาวปีเล่นสาวบ่เปิด สามสิบปีตื่นก่อนไก่ สี่สิบปีไปไฮ่มาทอดขา ห้าสิบปีไปนามาทอดหุ่ย หกสิบปีเป่าขลุ่ยบ่ดัง เจ็ดสิบปีตีระฆังบ่ม่วน แปดสิบปีหนักหนวกด่วนมาหู เก้าสิบปีพี่น้องมาดูฮ้องไห้ ร้อยปีบ่ไข้บ่ตาย ร้อยสิบปีเห็นแดดหงายว่าแม่นไฟไหม้ ร้อยยี่สิบปีไข้บ่ไข้กะตาย”
“แต่ปู่เอ็งได้รับยกเว้นโว้ย” พลางว่ากาพย์ปู่ สอนหลานให้เขาฟัง
แนวคนเฒ่าใจเบาเคียดง่าย
ใจดีท่อหมากฝ้าย ใจฮ้ายท่อหมากตูม
ลางเฒ่าพุ่มพุ่มป้อยกลางคืนแต่ก่อนไก่
เอาแต่ความขี้ฮ้ายมาให้ลูกหลาน
ลางเฒ่าพาโลล้น โลภาโลภล่าย
กินหลายกะด่าป้อย กินน้อยกะใส่เวร
ลางเฒ่าเป็นคนเฒ่าหัวขาวจ่อนพ่อน
เหาะฮ่อนเล่นซิงซู้สวาทเสน่ห์
ลางเฒ่าเฮฮนดิ้นคือขบวนสาวบ่าว
กระดูกสิเข้าหม้อ บ่ทันฮู้เมื่อคีง
ลางเฒ่าตีงโตได้ไปมาดิ้นด่าวด่าว
ตาขุ่นปานน้ำข้าว กุมเว้าแต่สาว
ลางเฒ่าหัวขาวแล้ว แอวกะแงนดากกะแอ่น
แหะแห่นเล่น หลงเต้นบ่เบิ่งโต
ลางเฒ่าโสดาดิ้นหลงหลายเป็นตาหน่าย
ลูกหลานห้า ฮ่มไม้ใจเจ้าเฒ่าบ่เป็น
ลางเฒ่าเป็นคนเฒ่าเอาแต่หลาน ไล่แต่ไก่
วัดวาบ่เข้าใกล้หันหน้าเข้าแต่ดง
ลางเฒ่าหลงลืมเฒ่ามัวเมาว่ายังหนุ่ม
แยงแว่นหัวยุ้มยุ้มกุมเอ้ตั้งแต่โต
ลางเฒ่าโมโหฮ้ายเหลือตายตั้งแต่จ่ม
บ่ทันคึดถี่ถ้วนกุมต้มตั้งแต่หลาน
ลางเฒ่าวาจาต้านคำใดตั้งแต่ด่า
หน้าบ่ทันได้ล้าง กุมป้อยตั้งแต่หลาน
ลางเฒ่าเป็นคนเฒ่ากินกลอยป้อยเก่ง
กินบอนปากแห่งฮ้อน ดีฮ้ายบ่ฮ่ำเพิง
ลางเฒ่าเป็นคนช้า ทำการบ่ทันเพิ่น
บาดว่ายามเข้าส้วม แนวนั้นผั่นลื่นเขา
ลางคนเป็นคนเฒ่าศีลธรรมบ่ได้ฮ่ำ
คลำแต่ใต้ท้องน้อยศีลห้าบ่คะนิง
ลางคนเป็นคนเฒ่าหัวขาวจนปากพ่าว
ศีลธรรมบ่ได้เว้าเทียวเข้าตั้งแต่สวน ฯ
“ปู่กำลังจะบอกผมว่า ปู่ไม่ใช่คนแก่แบบที่ ว่านี้”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
“ถ้างั้น ปู่มีเรื่องอะไรที่จะบอกผม ก็บอกมา เสียตอนนี้”
“ยังไม่ถึงเวลา เว้นเสียแต่ว่า หากข้าตาย ไปก่อน ก็จะมีหนังสือใบลานที่พ่อข้าจารเอาไว้ แล้ว เอ็งก็ติดตามเรื่องราวได้จากนั้น”
“มันสำคัญมากใช่ไหมปู่ ?”
“ถูกต้อง” แล้วปู่เฮืองก็เปลี่ยนเรื่อง กลับไป ถามเขาว่า “เอ็งเป็นนักปุหวัดสาดรึ?”
“ประ-วัติ-สาด พูดให้มันถูกหน่อยปู่”
“ก็ข้าไม่ได้ร่ำเรียนมานี่โว้ย” ปู่ว่า “แค่เสื่อ กับสาด ทำไมต้องข้ามน้ำข้ามฟ้าไปเรียนถึงเมืองฝรั่ง?”
“ปู่ครับ อย่าลืมว่าบ้านเมืองฝรั่งเจริญกว่าเราแยะ”
“ไม่เชื่อ เห็นแต่มันเข้ามาหอบเอาเสื่อเอาสาดจากบ้านเราไป ทำไมจึงว่ามันเจริญกว่า?”
“ไอ้เด็กบ้านนอกอย่างผม สอบชิงทุนไปนอกได้ ปู่ไม่ภูมิใจดอกหรือครับ?”
“เออ ๆ …มันน้อยใจ แต่ว่าไปเรียนมาแล้วรู้เรื่องอะไรของปู่ย่ามั่งมั้ย?”
“ผมเกิดใหญ่ไล่หลัง จะรู้อะไร ถ้าปู่ไม่บอกก็ไม่รู้ ถ้าบอกก็จดก็จำ ตำนานต่าง ๆ บอกผมหมดหรือยัง ถ้ายังก็บอกให้หมด จะได้จดได้จำ”
“แหม – มันรุกคนแก่ว่ะ”
“เอาจริงนะนี่” ว่าแล้วปู่กับหลานก็เล่นหัวหยอกเอินกันยังกะเด็ก ๆ
สีโหคิดไปถึงแนวทางของปู่ที่สั่งสอนเขาไว้ ปู่ชอบยกชาดก นิทานและตำนานขึ้นมาเล่า คิดไปดี ๆ ลึก ๆ ก็มีความหมายสำหรับเขามาก ตำนานสามารถย้อนยุคและมองเห็นวิถีชีพของผู้คน นักโบราณคดีขุดค้นหาร่องรอยของมนุษย์ โครงกระดูก เครื่องปั้นดินเผา เครื่องมือการทำมาหากินสรุปลงไปก็เหมือนตำนานที่ไม่ได้จดจารไว้ พวกเขาค้นคว้าสืบสาวไปเพื่อการอันใด? เหมือนการพบรอยไดโนเสาร์ ซากและกระดูกของมันมีประโยชน์อะไร? นอกจากนี้ยังแบ่งยุค จำแนกสมัย ก่อนประวัติศาสตร์บ้าง หลังประวัติศาสตร์บ้าง เพื่อจะเข้าใจตัวตนของมนุษย์เช่นนั้นหรือ? วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก้าวมาจนถึงขนาดคอมพิวเตอร์คิดแทนมนุษย์ได้ เรื่องราวเก่า ๆ จะใช้ประโยชน์เพื่อพัฒนาศักยภาพอะไรอีก ?
สีโหคิดถึงปู่ในวัยเด็ก อุ้มเขาขี่คอกลับจาก ทุ่งนาในยามเย็น แสงตะวันทอดเงาสาดยาวออก ไปเป็นเงาของปู่กับหลาน เป็นเงาที่ผูกพันและ ความเอื้ออาทรอันไร้ขอบเขต ขณะนี้เขาจึงน้ำตา ซึมเบ้า
ชายหนุ่มจับแท็กซี่ออกจากที่พักให้ไปส่งที่สถานีขนส่งสายตะวันออกเฉียงเหนือ มีรถปรับอากาศเดินทางขึ้นไปที่จังหวัดบ้านเขาตลอดเวลาแต่ในเที่ยวเดินทางนี้ ผู้โดยสารค่อนข้างจะเต็มจนเกือบไม่มีที่นั่ง สีโหได้ที่นั่งหน้าสุขาบนรถ ถ้าเครื่องปรับอากาศทำงานแย่ ห้องสุขาคงจะส่งกลิ่นอบอับออกมา แต่มันจำเป็น เขาต้องรีบเดินทาง
ชายหนุ่มแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดสุภาพ นิสัยใจคอนุ่มนวลละเอียดอ่อน คงเป็นนิสัยที่ติดตัวมาแต่เล็ก ๆ พูดน้อยแต่ชอบการเขียนและอ่านมากกว่า อายุเพิ่งสามสิบปีเศษ ๆ จึงมีใบหน้าที่เกลี้ยงเกลา จมูกโด่งแต่พองาม รูปร่างสูงโปร่งถอดแบบมาจากปู่เฮืองแท้ ๆ บางทีชาวบ้านก็พลอยเข้าใจไปว่า เขาเป็นลูกชายของปู่ แต่เขาเป็นคนอดทน ความอดทนอยู่ที่การฝึกฝนจนเคยชินพบอะไรที่เป็นเรื่องทำให้หงุดหงิด ใจคอคนก็จะมีอารมณ์ ต้องรู้จักสกัดจุด จุดที่จะสกัดเป็นจุดแห่งโลภ โกรธ หลง อาศัยสติเป็นเบื้องต้น
สีโหได้เรียนหนังสือ เพราะมีวัดและพระสงฆ์เป็นผู้อุปถัมภ์ ให้ที่พักอาศัย ข้าวก้นบาตร ซึ่งญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาถวาย สังคมไทยเป็นสังคมแห่งความดีงาม เพราะมีวัดดัดนิสัย มีธรรมะดัดจิตใจ มีข้าวก้นบาตรที่ทำให้รู้จักบุญคุณของแผ่นดิน เขาบอกตนเองว่าจะไม่เย่อหยิ่ง ละทิ้งความเห็นแก่ตัว ตอบแทนสังคมด้วยการอุทิศตัวตนทำงานตามความรู้ความสามารถ ดังนั้น จากเงินเดือนผู้ช่วยศาสตราจารย์ระดับ 10 เงินจากค่าเขียนบทความบ้างและเงินจากการบรรยายพิเศษบ้าง ก็ทำให้เขาใช้ชีวิตอย่างเรียบ ๆ ง่าย ๆ ไม่ฟุ้งเฟ้อมากมายก็พอใช้ชีวิตสุขสบายไม่เดือดร้อนทั้งยังได้ช่วยทางบ้าน ส่งเงินให้แม่คำนางทุกเดือนจำนวนหนึ่ง
ผู้โดยสารทั้งชายและหญิงที่มารถคันเดียวกันนี้ หน้าตาสีผิวดูแล้วบอกไม่ได้ว่ามาจากภาคใด แต่คือคนไทยที่ผสานผสมหลายเชื้อชาติแน่แท้ แม้แต่อยู่บ้านเดียวกัน อำเภอเดียวกันสำเนียงพูดก็ยังแตกต่างออกไป คนไทยทางภาคอีสานมีหลายชาติพันธุ์ ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีจีนเวียดนาม แขก ฝรั่ง มีหลายเผ่าพันธุ์เช่น ลาว ย่อภูไท กะเลิง บะลู ส่วย กุย ข่า ม้ง กะลืม เป็นต้น แต่วัฒนธรรมก็ค่อนข้างจะหล่อหลอมกลมกลืนเป็นลาว ๆ ไทย ๆ อยู่ หากจะว่าด้วยความเชื่อศาสนา เครื่องนุ่งห่ม เนื่องจากผ่านยุคผ่านสมัยมานาน จนอยู่รวมกันในดินแดนนี้แล้ว
เมื่อรถโดยสารปรับอากาศเคลื่อนออกจากสถานี เป็นเวลาบ่ายสี่โมงเศษ สีโหนั่งไปคิดไป คิดว่าคนเรานี้แตกต่างกันด้วยฐานะทางชนชั้น เป็นเรื่องยากจะปฏิเสธ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับประชาชนว่าบุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน การใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กรต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์สิทธิและเสรีภาพตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ แต่ในทางความเป็นจริงของวิถีชีพ ฐานะทางชนชั้นกำหนดให้คนแตกต่างกันอยู่
คนจนที่เป็นชาวไร่ ชาวนา กำเนิดในดินแดนที่ภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยให้ ย่อมขาดโอกาสที่ดี ย่อมถูกคนเหนือกว่าทางฐานะเอามาใช้เป็นเครื่องมือ ยอมขายสิทธิตนเอง ยอมขายศักดิ์ศรีตนเอง ละทิ้งความเป็นมนุษย์ผู้มีศักดิ์ศรีเห็นแก่ประโยชน์จำเพาะหน้า เงินแค่ร้อยสองร้อยบาทก็ให้เขาสนตะพายจูงไปที่ทางใดก็ได้ คิดมาแล้วเศร้า แต่ความยากไร้นี้อีกด้านหนึ่งก็ได้ทำให้กลายเป็นคนสู้ชีวิต ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ พี่น้องของสีโหได้พิสูจน์ให้เห็นอยู่มากมายในสาขาอาชีพต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้แรงงานเข้าว่า มากกว่าใช้ปัญญาเข้าเสริม
ฐานะของคนในประเทศนี้ห่างกว้างไปทุกทีระหว่างรวยกับจน กลายเป็นช่องว่างที่ไม่มีวันพบกันได้ และเป็นเส้นทางสองสาย ที่เกิดขึ้นในแทบทุกประเทศของโลก หากว่าจุดหมายเป็นสองทางด้วยแล้ว โลกนี้จะถึงคราวล่มสลายหรือไม่ ? คำตอบยังอยู่ในสายลม ยิ่งโลกทุกวันนี้มีประเทศที่ร่ำรวย มีประเทศที่ยากจน การล่าเมืองขึ้นด้วยวิธีเข้าชาร์ตตลาดเงินตลาดหุ้น จนล้มลุกคลุกคลานไปตาม ๆ กัน จากนั้นเอาเงินกองทุนของประเทศที่ร่ำรวยเข้ามาพยุงฐานะการเงินของประเทศที่ย่ำแย่เหล่านี้ โดยไม่ละเลยที่จะตั้งเงื่อนไขให้ปฏิบัติตามกฎของกองทุนการเงิน
ส่วนภาวการณ์แบกหนี้ร่วมกัน ย่อมตกเป็นของราษฎรผู้ต่ำต้อยอีกตามเคย
รถยนต์ปรับอากาศพาผู้โดยสารแล่นไปบนถนนที่มาตรฐาน ไม่ช้าเมื่อตะวันลาลับขุนเขาแมกไม้ไปความมืดโรยตัวปกคลุม แต่ตลอดสองข้างทางก็มีไฟฟ้าของบ้านเรือนราษฎรสว่างขึ้น สีโหง่วงนอนแบบไม่เคยเป็นมาก่อน อยากจะงีบสักพัก หรืออาจจะหลับไปตลอดทาง ง่วงนอนอะไรแบบนี้
พอเคลิ้ม ๆ ว่าหลับบ้างไม่หลับบ้าง สีโหคิดถึงดินแดนสองฝั่งโขง ที่มีร่องรอยอารยธรรมยาวนานก่อนยุคประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นที่ภูเวียง ผาแต้ม หรือบ้านเชียง ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ค้นพบ ยังมีอีกมากมายในดินแดนแห่งนี้ คราวนั้นเมื่อสีโหหลับไป… มีแต่ความมืดปกคลุมตัวตนของสีโหไว้ แต่หายใจได้กลิ่นมนุษย์พวกที่เบียดเสียดยัดเยียดอออั่งจนอึดอัด จะเคลื่อนจากท่าที่นั่งชันเข่าไปเป็นท่าอื่นก็ไม่ได้ จะยืดตัวหดตนเหยียดแขนขาที่ปวดเมื่อยบ้างก็มิได้ เป็นอย่างถูกจับกดให้นั่งนิ่งในภาวะจำยอม แค่จะยื่นมือออกไปก็สะดุดร่างของมนุษย์ จนได้ยินเสียงต่อว่า
“นั่งนิ่ง ๆ หน่อย จะดิ้นตายไปทำไม ?”
สำเนียงพูดนี้เป็นภาษาพูดที่เก่าแก่มากทีเดียว ราวกับว่าล่องลอยมาแต่ไกล สีโหตะโกนตามออกไป “ผมอยู่ที่ไหน ?” แต่ไร้คำตอบ เขารู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก คนอื่น ๆ ก็คงเป็นเช่นเขาเท่าที่รู้สึก คือดั่งว่าถูกอัดอย่างปลากระป๋อง เมื่อทุกคนต้องการปรับเปลี่ยนท่านั่ง ต้องการเหยียดแขนขาบ้าง มันก็เป็นดั่งจลาจลจะต้องถูกทับถูกเหยียบ สู้ดิ้นรนเพื่อให้รอดพ้นออกไปแต่เหมือนกับว่ายิ่งถูกอัดแน่นเข้ามา เอาให้แบนอย่างจิ้งจกถูกบานประตูหนีบ
แล้วกลิ่นเหงื่อไคล กลิ่นเหม็นเขียวของมนุษย์นี้ มันธรรมดาเสียที่ไหน มนุษย์เป็น ๆ เหม็นยิ่งกว่าตายแล้ว คาวหื่นขื่นอบอีกต่างหาก ใคร ๆ ก็ต้องการออกไปจากที่นั่น พื้นที่นั่งก็ไม่ราบเรียบไม่แบนราบแต่ให้รู้สึกโค้งมน โคลงไปแล้วเคลงมาเคลื่อนไหวเหมือนลูกตุ้มนาฬิกา ขณะนั้นเขาถูกเหยียบถูกทับจนจะตายเสียให้ได้ จึงส่งเสียงตะโกนร้อง แต่เสียงก็ถูกกลบไปโดยเสียงตะโกนของคนนับพันนับหมื่น ในความมืดจึงมีแต่คน คน คน
และแล้วในช่วงจะตายเสียให้ได้นี้ สีโหได้ กลิ่นไหม้ มีสะเก็ดเศษสิ่งร่วงลงมาถูกตัวตน ใคร่ จะเผยอหนังตาอันหนักหน่วงลืมตาขึ้นดู เสียงคน ที่ทับอยู่ด้านบนก็ร้องขึ้นว่า ร้อน ร้อน เปลือกตา อันหนักเปิดแย้มได้นิดหนึ่งแสงสว่างลอดผ่านเข้า มาทางรูเล็ก ๆ
สีโหได้ยินเสียงผู้เฒ่าร้องว่า “กูเปิดทางให้สู แล้ว ปีนออกมาจากน้ำเต้าปุ้ง” ขณะที่คนข้างบน รีบลนลานปีนออกไป ไม่รู้ว่าใครตะโกนบอกว่า “ปู่ ลางเซิง เอาสิ่วตอกเปิดทาง” ครู่ต่อมาจึงมีเสียง สิ่วถูกฆ้อนตอกดังโป๊ก ๆ ลูกน้ำเต้ายักษ์ก็แตกลง เป็นชิ้นใหญ่ ๆ เปิดทางให้คนทะลักไหลออกไปได้ ง่ายกว่ารูที่ถูกเหล็กร้อนไชเข้ามา พอพบกับแสง สว่าง สีโหกะพริบตาหลายครั้ง ได้ยินเสียงชายชรา คนเดิมกล่าวว่า
“พวกสูเป็นคนเกิดจากน้ำเต้าปุ้งลูก เดียวกัน เป็นลูกของกูทั้งสิ้น ภายภาคหน้าพวก สูจงฮักแพงกันและกัน มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน พวกออกทางฮูซีตัวดำเพราะเหล็กแดงดาดไหม้ ให้เป็นข่า พวกออกทางฮูสิ่วตัวแดงดำขาว เหลืองให้เป็นไท ไปออกไปตั้งบ้านเมืองทำมาหากิน”
สีโหคิดค้านอยู่ในใจ ปู่ลางเชิงช่างไม่เหมือน ปู่เฮืองเอาเสียเลย สร้างคนขึ้นมาทั้งที ปลดปล่อย จากน้ำเต้าปุ้งแท้ ๆ ยังดันมากำหนดให้ฝูงออกก่อน เป็นข่า ฝูงมาทีหลังเป็นไท กำหนดไว้เพื่อการกดขี่ หรือเปล่า ?
สีโหเจ็บแปลบปลาบตรงหัวไหล่ รู้สึกปวดหัวหนึบ ๆ สายตาก็พร่าอยู่นานกว่าจะมองเห็นพยาบาลสาวชุดขาวเดินเข้ามาข้างเตียงที่เขานอนอยู่ โดยไม่ได้พูดอะไร พยาบาลนำสำลีที่ชุบแอลกอฮอล์ทาบริเวณต้นแขนซ้ายเพื่อฉีดยา พอถูกเข็มแทงสีโหรู้สึกเสียวแปล๊บ ขณะที่พยาบาลเร่งยาในหลอดฉีด เขาก็ถามขึ้นว่า
“ผมอยู่ที่ไหนหรือครับ ?”
“โรงพยาบาลค่ะ” เธอบอก “รถทัวร์ที่คุณนั่งมายางระเบิด เสียหลักลงข้างทาง แค่หัวร้างข้างแตกไม่มีใครเป็นอะไรมาก”
ขณะนั้นเองบรรยากาศในโรงพยาบาลที่ จอแจสับสนก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าสีโห เขาได้ยิน บรรดาผู้คนที่บาดเจ็บเล็กน้อยคุยกันแซ่ด พูดเรื่อง อุบัติเหตุจับใจความได้ว่า ถือว่าโชคดีมากที่รถมา เกิดยางระเบิดตอนช่วงกำลังวิ่งเข้าโคราช ถ้าอยู่ แถวกลางดงหรือช่วงลำตะคองมีหวังพุ่งลงเหวและ ตายกันหมด สีโหยกมือขึ้นคลำศีรษะส่วนที่ถูกโกน ผมออกเพื่อหมอเย็บแผล มีผ้าก๊อซปิดแผลเอาไว้ คราบเลือดแห้งกรังติดเส้นผม ความรีบร้อนของ พยาบาลเพราะคนบาดเจ็บมาก จึงทำความสะอาด ไม่หมดจดนัก มือเขาจึงสัมผัสกับเม็ดเลือดเล็ก ๆ ที่แห้งแล้วได้
เมื่อตัดสินใจว่า จะรีบขึ้นไปงานศพปู่เองคืนนี้เสียให้ได้ สีโหก็ขออนุญาตนายแพทย์ออกจากโรงพยาบาลนครราชสีมา เดินออกมาเรียกสามล้อถีบหน้าประตูทางออก ในตอนนั้นรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย ส่วนศีรษะก็ปวดหนึบ ๆ ยังไม่หาย แต่ทุเลาขึ้นมากแล้ว ยาที่พยาบาลฉีดให้คงกำลังออกฤทธิ์
พอขึ้นนั่งบนสามล้อ เพื่อให้ถีบไปส่งยังสถานีรถโดยสาร แวบหนึ่งของความคิดก็กลับไปที่ความฝันบนรถปรับอากาศที่ยางระเบิดเกิด อุบัติเหตุ สีโหจำได้ว่า สางก่อผ้า ล้าก่อเมิง สามล้อ คันนั้นรู้ว่ามีอุบัติเหตุรถทัวร์ พยายามชวนเขาคุย ซักถามตามประสาของคนอยากรู้ สีโหก็บอกไปว่า เขาสลบไปจึงไม่รู้เรื่อง ตัด ๆ ที่จะต้องตอบคำถาม ออกไป แต่ชายที่ถีบสามล้อก็ยังชวนคุย คุยไปถีบ ไป เอาเรี่ยวแรงจากไหนมาปั่นก็ไม่รู้ สีโหจึงถามว่า อยู่ที่โคราชนี้ใช่มั้ย เมื่อได้รับคำตอบว่าใช่ จึงถาม ว่า รู้จักคำว่าสางก่อผ้า ล้าก่อเมิงไหม ? คนถีบ สามล้อหันมามองสีโหนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบว่า
“ไทบ้านข้อยว่า สางก่อฟ้า ข่าก่อเมือง”
“เอ๊ะ…เราเป็นพวกชาวส่วยใช่มั้ย ?”
“ใช่ ผมเป็นส่วย พี่จะทำไม ?”
“เปล่า ๆ ไม่…อย่าเข้าใจผิด เพียงแต่จะบอก ว่า ส่วยกับข่ามาจากชาติพันธุ์เดียวกัน คำที่เราพูด นั้นแปลได้ว่า เทวดาสร้างฟ้า ส่วนข่าสร้างเมือง ส่วนล้า หรือว้า หรือลัวะ อันที่จริงก็เป็นสายพันธุ์ เดียวกันกับพวกข่านั่นเอง”
“ข้อยบ่เข้าใจอิหยัง”
“ช่างเถอะ บ่เข้าใจก็บ่เป็นหยัง”
พอดีมาถึงบริเวณสถานีขนส่ง สีโหชำระค่าแรงตามสมควรและเดินจากคนถีบสามล้อไปที่ช่องขายบัตรโดยสาร รถทัวร์เที่ยวต่อไปจะเข้าถึงสถานีก็เป็นเวลาเลยเที่ยงคืนไปแล้ว สีโหคิดอยู่เหมือนกันว่า ยิ่งรีบก็ดูเหมือนยิ่งช้า
พอขึ้นรถ บขส.ปรับอากาศคันใหม่ หาที่นั่งได้แล้ว สีโหก็หลับไปอีก พร้อมกับความฝันอันแปลกประหลาดเรื่องใหม่ก็เกิดขึ้น…
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)