ทนง โคตรชมภู : ความรัก ศิลปะ ที่สุดปลายปีกฝัน
“แม้ร่างกายผมจะเหลือเพียง ๑๐ เปอร์เซ็นต์ที่ใช้ได้
แต่ผมก็จะใช้ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ที่มีอยู่ให้เต็มร้อย”
นี่คือเสียงจากชายพิการชื่อ ทนง โคตรชมภู ชีวิตของเขาผ่านร่องรอยความบอบช้ำมามากมาย แต่ด้วยพลังของงานศิลปะทำให้เขาได้ถ่ายทอดจินตนาการลงในแผ่นเฟรม และนับมันเป็นความสุขของชีวิต วางไว้เหนือความทุกข์ทั้งปวง หลายภาพบอกความรู้สึก หลายภาพบอกความเป็นไปของวิถีผู้คน บางภาพถูกอุทิศไปเพื่อประมูลหารายได้แก่องค์กรการกุศล
ชีวิตที่ผ่านฝนมากว่า ๔๔ ปี ทุกลมหายใจคือการต่อสู้ วัยเด็กครอบครัวของเขาอยู่กินกับความทุกข์ยาก ยังไม่ทันได้ข้ามพ้นไปถึงวัยรุ่น ลูกชายและลูกสาวชาวนาครอบครัวนี้ก็ประสบกับโรคกล้ามเนื้อสลายอันเป็นทุกข์จากโรคร้ายแรงที่ทำให้แขน ขา ใช้งานไม่ได้กระทั่งทุกวันนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่แปรเปลี่ยนความอ่อนด้อยให้เป็นความเข้มแข็งได้อย่างสร้างสรรค์ นั่นก็คือ ความรักและความหวัง
นอกจากเป็นจิตรกรแล้ว เขายังเป็นนักเดินทาง เก็บเกี่ยวประสบการณ์ ทำงานศิลปะ ถ่ายทอดเรื่องราวของชีวิตเป็นภาพเขียน วันหนึ่งลมฤดูหนาวพัดพาฉันไปเยือนบ้านถ่อน อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ร่างบนรถเข็นกำลังควบคุมดูแลการตกแต่งบ้านใหม่ เป็นบ้านหลังเล็ก ๆ กะทัดรัดไว้สำหรับทำงานวาดรูป มีคนบอกว่าเขาใช้ปากทำได้ทุกอย่าง ครั้งหนึ่งในวงสนทนาของเพื่อนพ้อง มีคนท้าทนงใช้ปากเปิดขวดเบียร์ เขาก็สั่งให้หลานชายคนติดตามเปิดฝาขวดเบียร์ นั่นคือการใช้ปากทำทุกอย่าง แต่กับการวาดรูปทะนงใช้ปากทำมันจริง ๆ และทำอย่างทุ่มเท ภาพเขียนใหญ่ ๆ หลายภาพถึงต้องกลับหัวเขียนฟ้า เขียนนก จนได้รับฉายา “จิตรกรผู้พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน”
งานศิลปะอีกอย่างหนึ่งที่เขาหมั่นทำอยู่บ่อยครั้งก็คือการแต่งเพลง ในการทำอัลบั้มคนของความคิดฮอด ของ ต่าย อรทัย จึงมีเพลงสู่ขวัญหัวใจ งานเพลงจากการรังสรรค์ถ้อยคำของจิตรกรผู้ใช้ปากเขียนฝันบันทึกอยู่ในแผ่นเสียงนั้นด้วย มองเห็นความสามารถด้านการใช้ภาษาแล้วไม่แปลกใจที่ได้ยินว่า ทนงร่วมกับกลุ่มเพื่อนศิลปินอีกหลายคน ทำอัลบั้มสุดปลายปีกฝัน ทราบจากปากคำของคุณนิด ลายสือ ผู้ดูแลการผลิตงานเพลงอัลบั้มนี้ว่ามีศิลปินหลายกลุ่ม หลายท่านมาร่วมงานกันในอัลบั้มนี้ด้วยความรักที่มีต่อคุณทนง อย่างน้าหงา น้าหว่อง แห่งวงคาราวาน วงมาลีฮวนน่า วงลายสือ เป็นต้น
เรารับรู้เรื่องราวชีวิตของเขาผ่านสื่อทั้งหนังสือนิตยสารและโทรทัศน์มามากมาย แต่ในวันนี้เขาจะถ่ายทอดมุมมองของความรัก และศิลปะของเขาให้เราได้แลกเปลี่ยนทัศนะกับศิลปิน
ในร่างพิการเขามีความรัก สำหรับมุมมองของเขา ความรักก็คือความรู้สึกที่ชีวิตหนึ่งมีต่ออีกชีวิตหนึ่ง แตกต่างออกไปตามท่วงทำนองของชีวิต แตกต่างตามสถานภาพ เช่น ความรักของคนหนุ่มสาว ความรักที่มีต่อพ่อ แม่ พี่ น้อง
“อย่างเช่น เหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นบนโลก อย่างสึนามิในประเทศไทย หรือที่เฮติที่เกิดแผ่นดินไหว คนทั้งโลกต่างห่วงใย ความรักที่มนุษย์มีต่อกันมันมีความห่วงใย ความสงสาร นั่นก็คือสิทธิ์ของความรักที่จะต้องมอบให้กัน สิ่งเหล่านี้มันเป็นได้หลายอย่าง ถ้าถามความรักของผมก็คือ น่าจะเป็นความรักแบบที่มนุษย์มีต่อมวลมนุษย์ที่ทุกข์ยาก มีความทุกข์ยากลำบาก มีความด้อย มันคือสิ่งที่เราควรมีที่สุด”
ความรักของเขา คือ การได้ให้และได้รับ เฉกเช่นทั่วไปกับความรักของปุถุชนอื่น
“ความรักของผมเคยเกิดขึ้นหลายครั้ง หลายโอกาส ความรักอย่างหนุ่มสาว เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ได้ลิ้มลอง ได้สัมผัส นั่นก็คือความงดงามในขณะหนึ่ง แต่คนที่บอกว่าที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ นั่นก็คือเอาส่วนที่เป็นความจริงมาพูด แต่ว่ากลับกัน ถ้าหากสมมุติว่าเป็นมนุษย์โลก ชีวิตของเราทั้งหลายถ้าหากขาดตรงนี้ไป สิ่งที่มันควรจะดำเนินไปด้วยความงดงาม ด้วยการสานต่อ ก็คงเป็นเรื่องยาก เพราะชีวิตแต่ละชีวิตไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกัน บางคนก็อาจจะเป็นคนที่ต้องการที่อยู่บนทางโลก แต่กลับกันว่าหลาย ๆ ชีวิตต้องการไปในทางของนักบวช เพราะฉะนั้นความรักมันก็ต้องมี แม้กระทั่งนักบวชยังมีความรัก รักมวลมนุษย์ทั้งหลาย รักที่จะต้องทำในสิ่งที่บอกว่าปล่อยวาง”
ถ้าพูดถึงเรื่องของความรักแล้ว มิวายที่หลายคนจะต้องพูดถึงเรื่องของเซ็กส์ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตคู่ สำหรับตัวเขาเองยอมรับว่าเซ็กส์ก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ มันเป็นเรื่องของการสานต่อสัมพันธ์ของคู่รัก
“เซ็กส์มันเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่จะฟูมฟัก เปิดเผย เชื่อมต่อทางใจ และแน่นอนที่สุดมันต้องเชื่อมต่อทางกาย การที่เชื่อมต่อทางกายทำให้ทุกคนได้รู้ว่าการมีเซ็กส์นี่ สมมุติว่าที่ไม่ได้รักกันพอจบความใคร่ลงคงรู้สึกกระอักกระอ่วนที่ต้องเคอะเขินต่อหน้าคนที่เราไม่ได้รัก กลับกันว่าถ้าหากเรามีความรัก ถ้าหากเรามีเซ็กส์แล้ว ส่วนประกอบตรงนั้นมันเป็นการบำบัด ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติทางกายมันได้ผ่อนคลายมันได้จบลงด้วยคนที่เรารัก ทุกอย่างมันก็จะเป็นเรื่องของความงดงาม เป็นส่วนประกอบที่เหมือนกับว่าไปเติมเต็มตรงนั้น ซึ่งหมายถึงความรักที่เป็นชีวิตคู่ เป็นความรักระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย อยากจะบอกว่ามันสำคัญ เพราะหลายครั้งที่ผมเห็นชีวิตของผู้บกพร่องหลาย ๆ คน แต่ก่อนยังไม่ได้พิการหรือเป็นอะไร เคยมีชีวิตคู่ที่เป็นปกติมาอยู่ด้วยกัน แต่พอเกิดอุบัติเหตุ แฟนไปมีอุบัติเหตุในเรื่องของร่างกาย มีเซ็กส์ไม่ได้หรืออะไรทำนองนี้ ส่วนใหญ่เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ผู้หญิงสมมุติว่าคนที่เห็นแฟนตัวเองไม่สามารถมีกิจกรรมตรงนั้นได้ก็จะละทิ้งตรงนั้นไป ถึงไม่ละทิ้งก็อยู่อย่างไม่มีความสุข เพราะฉะนั้นการที่เป็นอย่างนั้นจึงคิดว่าทุกคนคงเห็นตรงนั้นสำคัญ และเป็นเรื่องของความจำเป็น จึงเกิดปัญหาระหว่างชีวิตคู่ ชีวิตรัก ผมคิดว่ามันจำเป็นในเรื่องแบบนี้ เพราะว่านี่เป็นส่วนประกอบที่จะบ่งบอกถึงความเป็นชีวิตคู่ ความคิดของคนบางกลุ่มหรือคนทั่วไป มันไม่ใช่ว่าบางคนจะเข้าใจหรือถ้าเป็นคนที่เข้าใจชีวิตก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่จะไม่ใช่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นคำว่าเซ็กส์กับความรักนี่คงเป็นเรื่องที่แยกออกจากกันยากมาก”
ถ้าเปรียบเซ็กส์กับงานศิลปะก็คงมีส่วนที่คล้ายกัน ศิลปะก็คือการใช้ความคิด อารมณ์ ใช้ปัญญา เซ็กส์ก็เหมือนกัน มันคือการใช้อารมณ์ความรู้สึก แต่เป็นการแสดงออกทางกาย ร่างกายที่สร้างสมความกำหนัดหรือสร้างสมฮอร์โมน ต้องหาเวลาหรือหาวิธีผ่อนคลายด้วยการระบายออกในสิ่งที่เป็นความใคร่ แต่ในจุดที่คล้ายกันคืองานศิลปะถูกสั่งสมด้วยจินตนาการด้วยความประทับใจหลาย ๆ อย่าง พอเกิดจินตนาการ เกิดแรงบันดาลใจทำให้เกิดการถ่ายทอดอย่างผ่อนคลายและสร้างสรรค์
“สิ่งที่มันเกิดขึ้นในทางจินตนาการก็คือมันต้องถูกวิเคราะห์ทั้งสมองทั้งปัญญาทุกอย่างมันเกิดขึ้น ถ้าหากมันไม่ได้ผ่อนคลาย อย่างเช่นเรามีความเศร้าเรามีความทุกข์ เรามีความสุข บางทีถ้าไม่ได้ผ่อนคลาย ถ้าไม่ได้บอกออกมา ไม่ได้ระบายออกมันก็อึดอัดน่าดู แต่พอมีความเศร้าสะเทือนใจเราก็ได้เขียนรูป คลายออกมาด้วยการได้สื่อ ได้เขียนรูป มันก็จะสื่อออกมาทางการเขียนรูป มีหลายภาพที่สื่อออกมาอย่างนั้น พอเขียนจบเฟรม มันก็จะผ่อนคลายและถ้าได้เปรียบเกี่ยวกับว่าความคิดอารมณ์ความรู้สึก เปรียบกับว่าเรื่องเซ็กส์กับศิลปะมันก็จะเป็นในแนวที่ไม่ต่างกัน เพราะฉะนั้นชีวิตมนุษย์ ถ้าเราจะสร้างสรรค์ หรือมีแรงบันดาลใจในการที่จะสร้างสรรค์ จำเป็นต้องเติมเต็มสิ่งเหล่านี้และก็ต้องหาที่ระบายออก หาเวที หาส่วนที่ต้องการ ถ้าเป็นเรื่องเซ็กส์ก็หมายถึงว่า ฝ่ายตรงข้าม ผู้หญิง ผู้ชาย การเป็นของกันและกัน ต่างฝ่ายเป็นเวทีที่จะสื่อภาษาตรงนั้นออกมา ศิลปะก็เหมือนกัน หลายครั้งที่ต้องใช้แผ่นเฟรมระบายภาพ หรือสื่อที่ระบายออกมา ทีนี้จะเห็นได้ว่าอารมณ์ความคิดนี่มันหลากหลายมาก อย่างเช่นงานเขียนหลายชิ้นที่บ่งบอกถึง ความคิดที่บอกเรื่องเซ็กส์นั้น จะเห็นภาพนู๊ด ซึ่งหลายคนคิดว่าเป็นสื่อลามก บางทีแล้วมันก็เป็นอารมณ์หนึ่งที่คนทำงานพยายามสื่อสารผ่านกระบวนการสร้างสรรค์ในงานศิลปะ”
นั่นคือทัศนะของเขาที่มองภาพของเซ็กส์และงานศิลปะว่ามันเป็นส่วนที่มีความเหมือนอยู่มาก มุมมองนี้ทำให้เรารับรู้ว่าเขาเข้าใจชีวิตและเรียนรู้มันอยู่เสมอ
ถึงแม้เราจะอยู่กับตัวเองทุกวัน แต่การค้นหาตัวตนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ชีวิตบางคนเลยเข้าสู่วัยชราแล้วยังไม่รู้ว่าความต้องการที่แท้จริงของตัวเองคืออะไร กลับกันคนบางคนรู้จักที่จะเรียนรู้ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ จนในที่สุดก็ค้นพบตัวตน รู้ว่าตนชื่นชอบอะไร และมีความฝันกับมัน นับเป็นความสมบูรณ์ในการมีชีวิตอยู่ ทนง โคตรชมภู ก็เป็นหนึ่งในคนจำนวนนั้น เขามีความฝัน และทุ่มเทกับการสร้างฝัน แม้ร่างจะพิการ มีอุปสรรคกีดขวางทางเดินชีวิตอยู่ก่ายกองเพียงใดก็ตาม เขายังเรียนรู้ที่จะการต่อสู้เพื่อข้ามพ้นมันมาอย่างท้าทาย
“บอกเลยว่างานศิลปะนี่ หลายคนอาจจะมองว่าเราทำเพราะสภาวะจำยอม มันไม่ใช่ เพราะว่าเราเริ่มทำงานศิลปะตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่จำความได้ว่าอยู่ชั้นประถมปีที่หก ปีที่ห้าเลยล่ะ ครูชมว่าเขียนรูปได้เหมือนจริงมากเลย ผมเขียนสองพี่น้องตระกูลไรท์ให้ครู ครูชมว่าเหมือนมาก แล้วคำชมนั่นแหละเป็นการจุดประกายให้เราได้ทำงานศิลปะ แล้วทำอย่างตั้งใจ ทำอย่างเอาเป็นเอาตายจนถึงปัจจุบัน ทุกอย่างถูกต่อยอดมาเรื่อย ๆ ทั้งที่เราต้องถูกจบด้วยการทำอะไรไม่ได้แล้วแต่ก็ยังหาทางไปต่อจนได้ นั่นคือทาง คือสิ่งที่เราพยายามเรียนรู้มัน แล้วก็หาทางออก หาสิ่งมาทดแทนในสิ่งที่ขาดหายไป”
จากคำชมของครูครั้งนั้นเกิดเป็นแรงบันดาลใจยิ่งใหญ่ พลิกชีวิตของเด็กชายบ้านนอกให้มีความฝัน และทุ่มเทสร้างสรรค์งานศิลปะ ภาพแล้วภาพเล่าจนเกิดความชำนาญ กระทั่งวันหนึ่งเขาเติบโตเป็นจิตรกรผู้พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
“นั่นเป็นแรงบันดาลใจในการจุดประกายของชีวิตเด็กในบ้านนอก เด็กในโรงเรียน ซึ่งคงคิดว่าในการจินตนาการครั้งแรกนี่เราไม่ได้มีความฝันว่าอยากเป็นจิตรกรหรอก อยากที่สุด คือ อยากเป็นครู เพราะรู้ในเบื้องต้นและคิดแต่ว่างานศิลปะคงเป็นวิชาหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่รู้ว่าเรารักมันมาก นั่นคือประสบการณ์เริ่มต้นจากคำชมที่เป็นการจุดประกาย สร้างจิตรกรคนหนึ่งขึ้นมา โดยที่การเรียนรู้มีการถูกส่งเสริมโดยไม่รู้ตัว เราเขียนรูปอย่างหนักหน่วง ชอบเขียนล้อเพื่อน เขียนอย่างนั้นอย่างนี้อยู่เรื่อย ก็เลยทำให้ครูเห็นแล้วก็อยากให้ช่วยงาน เริ่มจากการเขียนภาพประกอบสื่อการสอนให้ครูประจำชั้น ครูหลาย ๆ คนมาเห็นก็อยากให้ช่วย สุดท้ายก็ทั้งโรงเรียน เลยเป็นมือศิลป์ประจำโรงเรียนไปเลย สิ่งที่เรารับที่ดีที่สุดก็คืออุปกรณ์ กระดาษ ดินสอสี คือตอนนั้นเป็นเรื่องที่หายากมากแล้วเราไม่มีโอกาสที่จะได้มันเลย แต่พอได้นี่มันเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่เราจะได้มีโอกาสสร้างสรรค์งานโดยวิธีการอย่างเต็มที่”
ศิลปะได้มีส่วนสร้างความสุขให้แก่ชีวิตของเขา จิตวิญญาณในร่างพิการแกร่งขึ้นทุกวัน ผ่านการเคี่ยวกรำด้วยความลำบากและความทุกข์ทรมานจากโรคร้าย แต่ในที่สุดแล้วไม่มีอะไรทำร้ายชีวิตคนได้ ถ้าเรามีพลังใจที่เข้มแข็ง มีภูมิคุ้มกันใจที่ดี มีจุดยืนที่มั่นคง มีเกียรติภูมิที่จะสร้างสรรค์งานที่เรารักด้วยหัวใจอันหนักแน่น
“ศิลปะเป็นส่วนสร้างความสุขให้เราโดยที่เรายังมีทุกอย่างที่มันอยู่ในระบบ ความทุกข์ ความสุข ความเศร้า สะเทือนใจ อารมณ์ หมายถึงอารมณ์ทุกอย่าง พอมันเกิดตรงนี้ซึ่งเป็นสภาพที่บกพร่องด้วยซ้ำ ถ้าหากขาดสิ่งเหล่านี้ที่เราจะต้องผ่อนคลายมัน ระบายมัน คงเป็นเรื่องที่ต้องจุกอยู่ตรงนั้นแล้วจมอยู่ตรงนั้นทำให้มันขยับไปไหนไม่ได้ แล้วคงโดนความรู้สึกตรงนั้นรุมเร้า จนไม่สามารถโผล่ตัวเองขึ้นมา ยกตัวเองขึ้นมาให้อยู่เหนือทุกอย่างได้อย่างทุกวันนี้”
ศิลปะที่เขาพยายามจะเรียนรู้และถ่ายทอดมันออกมาจากแรงบันดาลใจและความอัดอั้นภายในทั้งหมดที่มีอยู่ ทำให้ตัวตนทุกอย่างถูกเปิดเผยเป็นภาพที่ชัดเจนขึ้น
“ทุกสิ่งทุกอย่างมันเปิดเผยขึ้นมาด้วยการสร้างสรรค์ ผมจึงมองภาพทุกอย่างของตัวเองได้ พอมองแล้วเราก็รู้ความคิดตัวเอง ต่างมุม ต่างความคิด ต่างวาระ ต่างความเศร้า ความสุข ความทุกข์ทุกอย่าง เรามองเห็นมันหมด มองแล้วก็สามารถที่จะเห็นมัน สามารถที่จะรู้เท่าทันมัน เท่ากับว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับผม ความคิดตรงนี้มันเกิดขึ้นด้วยความสุข เพราะว่าเราเห็นความเป็นไปทั้งหมดของเรา ศิลปะจึงเป็นเรื่องที่จะเป็นสื่อ เป็นอาวุธที่จะต่อสู้กับทุกอย่างได้”
นอกจากความสุขแล้ว ศิลปะยังตอบสนองความต้องการของชีวิตและจิตใจ เขาทำงานผ่านกระบวนการที่สร้างสรรค์เพื่อยกระดับจิตใจตัวเอง
“ศิลปะกับชีวิตก็คือการได้สร้างสรรค์ บางทีคนเราการที่มองเห็นภายนอกอย่างเดียวมันก็เป็นเรื่องธรรมดา ทุกคนก็เห็นอยู่ แต่พอการได้สร้างงานศิลปะ มันทำให้เราได้มองเห็นภายในตัวเอง ภาวะตรงนี้ มันก็เป็นเรื่องของสภาวะจิตที่เราจะมุ่งไปได้ เราพร้อมทุกอย่าง การมองเห็นภายนอกและภายใน ผมจึงบอกว่ามันสามารถทำให้คนเรายกตัวเองขึ้นเหนือทุกอย่างได้ หมายความว่าการยกตัวเองนี่ไม่ใช่การยกตนข่มท่านอะไร เป็นการยกหัวใจขึ้นอยู่เหนือความคิดทั้งหมด”
เมื่อมองตัวตนแล้วภาพความคิดก็ปรากฏ สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาได้เปรียบในการใช้ชีวิต มันไม่ใช่ภาพที่ทำให้ผู้อื่นมองความสามารถและความเก่ง แต่สิ่งเหล่านี้มันทำให้รู้สภาวะว่ากำลังเป็นอะไรและทำอะไร แค่ไหนที่ทำและเป็น
“บางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้น ที่บอกว่าความผิดของคนเป็นมา ผิดเพราะความไม่รู้ไม่ตั้งใจ จากการเรียนรู้ศิลปะมันทำให้เรารู้ว่าความผิดทั้งหมดจะสามารถแก้ไขได้โดยการทำให้รู้ และเข้าใจ”
ในมุมมองของทนง โคตรชมภู งานศิลปะสามารถสะท้อนภูมิความคิดของศิลปิน คุณค่าที่เกิดในงานทั้งหมดก็คือ สิ่งที่ศิลปินคิดและกลั่นกรองมันออกมาแล้ว
“จริง ๆ แล้ว คนที่ทำงานศิลปะส่วนใหญ่ต้องเห็นโลก ต้องซื่อสัตย์ต่ออารมณ์ตนเอง คิดอะไรต้องทำ แล้วภาวะตรงนั้นมันจะเกิดขึ้นทันที สิ่งที่จะสะท้อนให้คนในสังคมเห็นก็คือ ปรารถนาที่จะเห็นว่าศิลปะที่เป็นผลผลิต อยากหยิบยื่นให้ทุกคนได้รู้ว่าภาวะของหัวใจ ความคิด ภูมิปัญญาที่เกิดขึ้นในตัวศิลปินมันเป็นอย่างนี้ ผลผลิตแบบนี้ถ้าหยิบยื่นแก่โลกได้ เขาก็พร้อมและยินดีมีความสุข สิ่งที่จะเห็นก็คือ เรื่องของภาวะความศรัทธาที่ศิลปินมีให้ต่องานศิลปะ สิ่งเหล่านี้ถ้าหากว่าคุณค่าที่สำคัญมันบอกทุกครั้งเลยว่ามันไม่ได้อยู่ที่ผลงาน แต่มันอยู่ที่ภาพทั้งหมด คือ อยู่ที่ความศรัทธาและหัวใจของศิลปินที่สั่งมันทำ ด้วยภาวะของผู้ที่รู้และเข้าใจงานศิลปะ นั่นก็คือ ภูมิปัญญา”
นอกจากการวาดรูปแล้ว ทนง โคตรชมภู ยังมีความสามารถในการแต่งเพลง ด้วยศิลปะสามารถเชื่อมโยงกันได้ งานเขียน บทกวี และดนตรี ล้วนเป็นสิ่งที่สามารถเชื่อมโยงกันได้ เขาจึงกลั่นกรองบทเพลงออกมาต่อเนื่องอารมณ์จากการวาดภาพ
“ทุกสิ่งทุกอย่างมันเชื่อมเข้าหากัน ในงานดนตรีนี้ เวลาเราสร้างงาน บางครั้งเราเปิดดนตรีฟัง สิ่งเหล่านี้มันเป็นข้อมูล มันเป็นอารมณ์หนึ่งที่มันควบคู่เข้ากัน อย่างเช่นการเขียนรูปบางครั้งภาวะเรายังต่อเนื่องอยู่ ทีนี้เราจะเขียนรูปที่สองเราก็เหนื่อยมากเกินไป แล้วพอมานั่งเขียนต่ออารมณ์ของเราด้วยการเขียนเพลง อย่างเช่น ภาพกองเกวียนที่ผมเขียนจบ คือเราเห็นภาพนี้ เราได้ยินเสียงดนตรี เสียงพิณ เสียงแคน เราก็เลยเขียนเพลงกองเกวียนต่อเพื่อที่จะให้เข้ากับภาพ นี่คือเรื่องของเพลงด้วย สิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กัน เพราะฉะนั้นการกระทำต่อเนื่องต่ออารมณ์ ต่อความคิด ต่อแรงบันดาลใจจึงเกิดขึ้น ในด้านดนตรีด้วยสำหรับผม”
แล้ววันหนึ่งชายผู้มีความฝันกับงานศิลปะ และประสบความสำเร็จกับอาชีพจิตรกร ก็ริเริ่มที่จะทำอัลบั้มเพลงของตน เขาแลกเปลี่ยนความคิด ประสบการณ์ กับเพื่อนศิลปินหลายคน กลั่นเอาเรื่องราวและแรงบันดาลใจจากกลุ่มเพื่อน เก็บเอาภาพจินตนาการสร้างสรรค์เป็นบทเพลงกว่าจะรวมงานได้สักหนึ่งอัลบั้ม
“มีการแลกเปลี่ยนกันทำงานเพลง มันจำเป็นมาก ซึ่งข้อมูลหรือว่าหลายๆ อย่างที่มันฝังอยู่ในความคิดของเรา สิ่งที่เราประทับใจ ในบทเพลงของเพื่อนหลายคน ของกลุ่มพี่น้อง พอเกิดขึ้นมันเป็นแรงบันดาลใจของเราอยู่ สิ่งที่เราชอบทั้งหมดมันก็หล่อหลอมรวมเป็นบทเพลง เป็นสิ่งที่เราชื่นชอบมัน เพราะฉะนั้นกลุ่มเพื่อนที่จะมาร่วมงานก็เป็นคนที่เรารู้จักและก็เป็นแรงบันดาลใจให้เราอยู่ คนเหล่านี้ แรงขับตรงนี้มันจึงเกิดเพลง ในส่วนที่เราชอบขึ้นมา”
สิ่งที่เขาทำ คือต้องการสื่อความคิดตัวเองออกมา แล้วบอกเล่ามันผ่านการรวมอัลบั้มสุดปลายปีกฝัน
“ผมต้องการสื่อให้รู้ว่าสิ่งที่เราทำทั้งหมดมันเป็นศรัทธาของตัวเอง แต่ว่างานที่ทำนี้มันเป็นภาวะของความคิดอยู่ที่มันประคับประครองจิตใจเรามาตลอด พอดีอยากเน้นในเรื่องของความคิดที่ให้กำลังใจ ความคิดที่ชี้ให้เห็นถึงภาวะของการต่อสู้”
สุดปลายปีกฝันในความหมายของชายชื่อทะนง ก็คือปีกที่มันอ่อนล้าโรยแรง แต่มันยังมีความพยายามที่จะขยับโบยบินบนฟากฟ้าต่อไป ด้วยแรงที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด การที่คนเราต่อสู้ถึงที่สุด แล้วทุกอย่างโรยราพร้อมที่จะร่วงลงสู่พื้นดิน หากว่าไม่ฮึดสู้ ไม่มีแรงบินต่อ ก็จะต้องร่วงลงมาอยู่เสมอ แต่ถ้าเราอดทนบินต่อ เราก็จะก้าวข้ามพ้นภูเขาที่อยู่เบื้องหน้าไปได้ด้วยสุดปลายปีกฝัน
“ปลายปีกฝัน คือปลายปีกแห่งความคิด ปลายปีกของจินตนาการ คือสิ่งเหล่านี้มันสามารถที่จะบอกถึงพลังของชีวิตได้เป็นอย่างดี ทุกคนมีอยู่ ให้ปลายปีกฝันขับเคลื่อนคุณไปสู่ของความเป็นจริงให้ได้ นี่ก็คือการสื่อเรื่องราวความรู้สึกในอัลบั้มชุดนี้”
เรื่องราวความรัก ความฝัน การเดินทางของคนมหัศจรรย์อย่างทนง โคตรชมภู ได้ถูกบอกเล่าผ่านปากคำของเขาและคนใกล้ชิดทุกครั้งที่เขาเดินทางเป็นวิทยากรให้ความรู้ด้านศิลปะ เขาได้เติมเต็มและเป็นแรงบันดาลใจให้หลายคนที่พบเห็น ชีวิตที่มีพลังกับการสร้างงานที่ทรงพลังทำให้เกิดคุณค่าและสร้างแรงใจให้กับอีกหลายชีวิตได้อดทนฟันฝ่า
ทุกเส้นทางการต่อสู้ที่หนักหน่วงของชีวิต เขาอดทน แม้หลายครั้งที่ต้องกางสุดปลายปีกฝันออกโบยบิน จิตรกรพิการผู้นี้ยังข้ามผ่านมาได้อย่างสง่างาม.
“เพลงแพรวา”
ทนง โคตรชมภู ความรัก ศิลปะ ที่สุดปลายปีกฝัน
จากนิตยสารทางอีศาน ฉบับที่ ๒ ปีที่ ๑ เดือนมิถุนายน ๒๕๕๕