นวนิยาย : กาบแก้วบัวบาน (๒)
ทางอีศาน ฉบับที่ ๒ ปีที่ ๑ ประจำเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕
คอลัมน์: นวนิยาย
Column: Novel “Karb Kaeo Bua Baan” (Glassy Lotus Petals)
ผู้เขียน: ณรงค์ฤทธิ์ ศักดารณรงค์
ตลอดทั้งวัน…
เหมราชอยู่คนเดียวเงียบ ๆ จึงทำให้คิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ทั้งที่ตั้งใจเพียงมาดูบั้งไฟพญานาค หลังจากได้ดูได้เห็นสมความตั้งใจ กลับพลัดหลงมาอยู่ในสถานที่ลึกลับ พยายามลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนกระทั่งขณะนี้ ชายหนุ่มที่เขาช่วยเป็นใคร เหตุใดจึงไปซุ่มดูหญิงสาวชุดดำร่ายรำที่ลานวัด และกลุ่มชายฉกรรจ์ที่เข้ามารุมทำร้ายเป็นใคร พวกเขามุ่งเอาชีวิตหนุ่มลึกลับคนนี้ด้วยเหตุใด ยิ่งคิดก็ยิ่งลึกลับมากยิ่งขึ้นที่จู่ ๆ ตัวเองหลงทางไปอยู่กลางป่าทึบ ทั้งยังได้ยินเสียงเหมือนกองทัพต่อสู้กันดังลั่นสนั่นป่ากลางดึก เห็นงูใหญ่สามตัวขนาดเท่าต้นไม้เลื้อยเข้าไปในพงหญ้าต่อจากนั้นพบหนุ่มลึกลับถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัสนอนครวญครางอยู่กลางทาง เขาตัดสินใจช่วยพามาส่งถึงที่นี่ ระหว่างทางมีฝูงนกยักษ์บนฟ้าทำไมหมู่บ้านแห่งนี้ไม่เหมือนบ้านเมืองทั่วไป กลับกลายเป็นเมืองโบราณ สิ่งที่พบเห็นไม่มีคำตอบให้ตัวเอง จึงได้แต่ถอนหายใจเดินกลับไปกลับมาบนเรือนรับรอง
เสื้อผ้าชุดเก่าเปรอะเปื้อนเลือด จำเป็นต้องทิ้งทั้งหมด แล้วแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ที่จัดไว้ให้ในเรือนรับรอง มีอีกเรื่องหนึ่งเมื่อคิดได้ถึงกับใจหายวูบ ตัวเองลืมกระเป๋าสะพายหลังไว้ข้างทางสิ่งของทุกอย่างล้วนอยู่ในกระเป๋า ไม่ว่าโทรศัพท์กล้องถ่ายรูป นาฬิกา แม้แต่กระเป๋าสตางค์ก็หาไม่พบทั้ง ๆ ที่ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง ยิ่งคิดก็ยิ่งว้าวุ่นทั้งจนใจและมองไม่เห็นทางออก จึงเปลี่ยนมาลำดับคิดถึงคุณยาย คุณพ่อ คุณแม่ และนาฏนภางค์ผู้เป็นน้องสาว โทรศัพท์เป็นสิ่งเดียวที่จะใช้สื่อสารแจ้งข่าว เมื่อลืมใส่ไว้ในกระเป๋าสะพายหลังจึงไร้ประโยชน์ พยายามคิดหาช่องทางติดต่อทางบ้านให้เร็วที่สุด แต่มองไม่เห็นทางที่จะทำได้ ขณะกำลังคิดหาวิธีโชคดีที่ชายชราเดินอุ้ยอ้ายตรงมาอย่างน้อยจะได้ขอยืมใช้โทรศัพท์ติดต่อน้อง จึงรีบลุกขึ้นเดินลงบันไดบ้านด้วยความดีใจ ชายชราร้องบอกให้รออยู่บนบ้าน จะขึ้นไปหาเอง อารามร้อนใจจึงไม่ยอมฟังเสียงห้าม รีบลงบันไดตรงรี่ไปหาชายชราแล้ว ละล่ำละลักพูด
“คุณลุงครับ ดีแล้วที่มา ผมขอยืมโทรศัพท์”
“โทรศัพท์” ชายชรายืนงง “หน้าตาเป็นอย่างไร ยืมไปทำอะไร”
“โทรถึงน้องสาว” เหมราชพูดอย่างมีความหวัง “ผมลืมกระเป๋าไว้ข้างทาง ของส่วนตัวอยู่ในกระเป๋าทั้งหมด โทรศัพท์ก็อยู่ในกระเป๋า เอาเป็นว่า…” น้ำเสียงและอาการเริ่มร้อนรน “ผมยืมโทรศัพท์ลุงใช้ก่อน ค่าโทรเท่าไร ผมออกให้ทั้งหมด”
“โทรศัพท์อะไรนั่น ข้าไม่รู้จัก และก็ไม่มี” ชายชราส่ายหน้า “ที่ข้ามา เพราะได้รับคำสั่งให้มารับเจ้าไปพบเจ้าเมือง”
“มารับผมไปพบเจ้าเมือง” เหมราชกลับเป็นฝ่ายงง “คุณลุงพูดอะไร ผมไม่เข้าใจ”
“ไปพบเจ้าเมือง ต้องไปเดี๋ยวนี้” ชายชราพูดเสียงทุ้ม “เจ้าเชียงรุ้งกำลังรออยู่ที่งาน พิธีต้อนรับคืนนี้จัดยิ่งใหญ่มาก ใครต่อใครรอเจ้าอยู่ที่งาน” ยิ้มอย่างเป็นกันเองแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงชื่นชม “จงเตรียมตัวเตรียมใจให้ดี ประเดี๋ยวจะมีคนมาแต่งตัวให้เจ้า และค่ำคืนนี้ทุกอย่างเป็นของเจ้า”
“คุณลุงครับ คงเข้าใจผิดอะไรสักอย่างแน่ๆ เลย” เหมราชงงกว่าเดิม “ผมต้องการโทรศัพท์เท่านั้น” มองหน้าชายชราแล้วพูดต่อ “ที่ให้ผมไปพบเจ้าเมือง พบเจ้าเชียงรุ้ง คืนนี้มีพิธีต้อนรับขอบอกให้รู้ก่อนครับคุณลุง ผมต้องการกลับบ้านและขอยืมโทรศัพท์เท่านั้น คุณลุงไม่มีไม่เป็นไร ตู้โทรศัพท์สาธารณะอยู่ที่ไหน เพียงแต่นำทางผมไปที่นั่น ขอเวลาผมโทรถึงน้องสาว แล้วจากนั้นก็จะไปทันที”
“เจ้ายังไปไม่ได้”
“แต่ผมต้องไป” เหมราชยืนกราน “ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่าง”
“คืนนี้เจ้าต้องไปร่วมพิธีและดื่มน้ำสวามิภักดิ์”
“ไปร่วมพิธี ดื่มน้ำสวามิภักดิ์” เหมราชทวนคำพูดชายชราด้วยสีหน้างุนงงมากขึ้นเรื่อยๆ “ไอ้น้ำที่ว่ามันเป็นยังไง ทำไมผมต้องดื่มด้วยล่ะ ก็ไหนว่าเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว” มองหน้าชายชราแล้วพูดเสียงแข็ง “ผมมีงานต้องทำ คืนนี้คงอยู่ร่วมงานไม่ได้ ผมจำเป็นต้องไปเดี๋ยวนี้ ฝากบอกเจ้าเมืองของคุณลุงด้วยครับ”
ชายวัยกลางคนเดินนำหน้าชายชุดแดงสามคนตรงมา แต่ละคนยกพานใส่ผ้าเดินตามกันมาด้วยสีหน้าราบเรียบ ชายชราเงยหน้ามองแล้วเงียบกระทั่งชายวัยกลางคนเดินนำชายชุดแดงมาถึงจึงหันไปมองหน้าเหมราช แล้วพูดขึ้นด้วยท่าทีระมัดระวัง
“เขามาแต่งตัวให้เจ้า”
“แต่งตัวให้ผม” เหมราชงงหนักขึ้น ถอยหลังสองสามก้าวแล้วพูดเสียงหนัก “ไหนว่าหมดสิ้นภารกิจแล้ว ผมต้องการโทรศัพท์ ขอแค่ติดต่อกับน้องสาวแล้วผมก็จะกลับบ้าน ผมไม่แต่งตัวอะไรทั้งนั้น”
“ข้าขอร้อง อย่าได้ปฏิเสธเป็นอันขาด”
“หัวเด็ดตีนขาด ผมไม่แต่งตัว ไม่”
“เจ้าเมืองให้เจ้าหน้าที่มาแต่งตัวเจ้า” ชายชราพูดนุ่มนวล “เจ้าเชียงรุ้งมีน้ำใจต่อเจ้ามาก คืนนี้ศรีโคตรบูรจัดพิธีต้อนรับเจ้า ข้าขอร้อง โปรดอย่าปฏิเสธ”
“ก็บอกแล้วไง ผมไม่…”
“หากใจเย็นสักนิดจะดีแก่ตัวเจ้าเอง” ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้ามาไกลเกินกว่าจะกลับได้ในวันเดียว ทุกอย่างล้วนแต่เป็นน้ำใจเจ้าเชียงรุ้งที่หวังตอบแทนที่เจ้าช่วยชีวิต ศรีคำบางและเจ้าหน้าที่จะแต่งตัวให้เจ้า ต่อจากนั้นก็ไปเข้าพิธี” มองหน้าเหมราชด้วยสายตาขอร้อง “เอาเป็นว่า…ก่อนเข้าพิธีคืนนี้ ข้าขอแนะนำตัวเองก่อน ข้าชื่อศรีอ้วยล้วย เจ้าคนนี้ชื่อศรีคำบาง ข้าทั้งสองเป็นคนติดตามเจ้าเชียงรุ้ง และมีหน้าที่ดูแลเจ้า”
“ขอบคุณมาก คุณลุงศรีอ้วยล้วย” เหมราชพยายามลดท่าทีแข็งกร้าว กล่าวขอบคุณชายชราด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง หันไปมองหน้าชายวัยกลางคน ข่มความรู้สึกเร่าร้อนให้อ่อนลงแล้วยิ้มอย่างมีไมตรี ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเหมือนกำลังตัดสินใจหนัก เมื่อมองไม่เห็นทางจะปฏิเสธได้จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณน้าศรีคำบางขอบคุณมากครับ”
“แต่เจ้ายังไม่ได้บอกชื่อให้ข้ารู้”
“ผมชื่อเหมราช”
เหมราชรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นกว่าเดิม คงเป็นเพราะได้ระบายความอึดอัดออกไปจนเกือบหมดบรรยากาศความสัมพันธ์ที่ผ่านมาเหมือนคนแปลกหน้า แต่เมื่อรู้จักชื่อของคนทั้งสอง และได้บอกชื่อตัวเอง ท่าทีเริ่มอ่อนลง จึงยินยอมเดินตามชายชุดแดงไปแต่งตัวภายในห้องบนเรือนรับรอง ประกอบกับคำพูดของศรีอ้วยล้วยทั้งหวังดีทั้งจริงใจจึงทำให้ได้คิด มันเป็นความจริงที่เขามาไกลเกินกว่าจะกลับได้ในวันเดียว กลับเส้นทางไหนและกลับอย่างไร ล้วนแต่ให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้ ในที่สุดจึงตัดสินใจไปร่วมพิธีต้อนรับ
เจ้าเชียงรุ้งเป็นใคร เหตุใดจึงมีน้ำใจให้เขามากมาย เจ้าเมืองเป็นใคร ทำไมจึงจัดพิธียิ่งใหญ่สำหรับเขา เมืองนี้เป็นเมืองอะไร และอยู่ที่ไหน ดื่มน้ำสวามิภักดิ์ต้องทำอย่างไร ทั้งที่มืดแปดด้าน เมื่อไม่มีทางเลือกจึงตัดสินใจไปร่วมพิธี
เหมราชยินยอมให้ศรีคำบางและเจ้าหน้าที่แต่งตัวแต่โดยดี เหตุใดจึงแต่งเป็นนักรบโบราณทั้งที่สงสัยแต่ปิดปากเงียบ ขณะเจ้าหน้าที่กำลังแต่งตัวให้เขาอยู่นั้น เสียงประโคมมโหรีดังกังวานไปทั่วสวนดอกไม้ เพลงแล้วเพลงเล่าบรรเลงติดต่อกัน บางเพลงทำนองกระแทกกระทั้น ช้าสลับเร็วแล้วเปลี่ยนเป็นอ้อยอิ่งชวนให้เคลิบเคลิ้มบางเพลงกระชับกระชั้นทอดเสียงสูงต่ำ บางเพลงฟังคุ้นๆ เหมือนเคยฟังจากที่ไหนมาก่อน
ทั้งที่รู้เรื่องดนตรีไทยดี แต่ฟังเสียงประโคมมโหรีแล้วกลับไม่รู้จักเพลง ฟังพลางย้อนคิดถึงเมื่อสมัยยังเด็ก เขาและนาฏนภางค์ฝึกดนตรีไทยจากคุณยาย คุณยายควบคุมการฝึกอย่างเข้มงวด เขาจึงเล่นดนตรีไทยได้แทบทุกชนิด ชอบระนาดมากกว่าดนตรีชนิดอื่น นาฏนภางค์ชอบจะเข้เป็นชีวิตจิตใจ เธอเดี่ยวจะเข้ได้ไพเราะไม่มีใครเทียบ ในยามที่กำลังโดดเดี่ยวและรู้สึกเดียวดาย นาฏนภางค์เป็นคนที่เขาคิดถึงมากที่สุด เธอกระเง้ากระงอดขอมาด้วย แต่โชคดีที่คุณยายห้ามเด็ดขาดหากขืนมาร่วมอยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน น้องสาวคงตกระกำลำบากมากที่สุด เขาคงเสียใจชนิดไม่ยอมอภัยให้ตัวเอง
หลังจากแต่งตัวจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ศรีอ้วยล้วยเดินนำทางตรงไปยังเรือนโบราณอีกหลังเหมราชไม่คุ้นกับชุดแต่งตัวแต่เดินตามไปเงียบๆ ศรีคำบางและเจ้าหน้าที่เดินตามมาข้างหลังระหว่างทางเดินผ่านสวนดอกไม้ส่งกลิ่นหอมฟุ้งดอกไม้ในสวนมีมากมายหลายชนิด มหาหงส์ชูช่อไหวอยู่ใต้ต้นลั่นทม มวลดอกไม้ระย้าบานสวยงามเรือนโบราณเรียงรายอยู่สองข้างทาง แต่ละหลังไม่มีผู้คนอยู่อาศัยจึงเงียบเชียบ ศรีอ้วยล้วยเดินนเข้าไปในเรือนโบราณหลังใหญ่ ภายในมีห้องโถงทะลุถึงกัน แต่ละห้องมีเทียนใหญ่จุดไฟส่องแสงสว่าง เดินตามศรีอ้วยล้วยไปจนถึงเรือนใหญ่อีกหลัง บริเวณด้านหน้าเป็นลานกว้าง เหล่าชายฉกรรจ์ท่าทางขึงขังแต่งกายชุดแดง ยืนถือดาบเรียงแถวหน้ากระดาน
เหมราชเดินตามศรีอ้วยล้วยมาหยุดอยู่หน้าห้องโถงใหญ่ มองเข้าไปข้างในเห็นสว่างไสวด้วยเปลวเทียน ชายสูงวัยแต่งกายทรงเครื่องแวววาวนั่งสงบอยู่บนบัลลังก์ สตรีวัยเดียวกันท่าทางบ่งบอกถึงความสูงศักดิ์นั่งอยู่เคียงข้าง ชายหนุ่มคนหนึ่งแต่งกายเหมือนนักรบโบราณนั่งอยู่บนบัลลังก์ด้านขวา กวาดสายตามองผ่านไปยังบัลลังก์ด้านซ้าย หญิงสาวคนหนึ่งนั่งสำรวมกิริยาเหมือนตุ๊กตาตั้งโต๊ะ มุ่นมวยผมสวมมงกุฎดอกไม้สีขาว นุ่งผ้าซิ่นไหมใส่เสื้อแขนยาวสีเขียวเข้ม ใต้ปกคอด้านหน้าคาดแถบสีเหลืองอ่อนจนถึงชายเสื้อ สไบสีแดงพาดเฉียงบ่าซ้าย มองไปรอบๆ เห็นกลุ่มชายสูงอายุนั่งเรียงแถวอยู่ด้านหน้า ตวัดสายตากลับมามองชายหนุ่มบนบัลลังก์อีกครั้ง
เหมราชถึงกับตื่นตะลึง ชายหนุ่มบนบัลลังก์มองอย่างไรก็เป็นคนเดียวกับหนุ่มลึกลับที่เขาพามาส่งที่นี่ ไม่ได้ฝันและตาไม่ฝาด
“สหายข้า เชิญเจ้าทำตัวตามสบาย”
ชายหนุ่มบนบัลลังก์มองมายังเขา ยิ้มแล้วพูดอย่างเป็นกันเอง เหมราชไม่รู้จะวางตัวอย่างไร จึงได้แต่ยืนก้มหน้าเงียบ ปล่อยเวลาให้ผ่านไปชั่วครู่จึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเพื่อให้แน่ใจ พยายามถามตัวเองชายหนุ่มคนนี้เป็นใคร คิดแล้วถึงกับสั่นสะท้าน นอกจากเจ้าเชียงรุ้งแล้วไม่มีทางเป็นคนอื่น พยายามระงับความรู้สึกสงบจิตใจด้วยการนิ่งเงียบ ใจกลับระส่ำเหงื่อผุดซึมออกมาโดยไม่รู้ตัว
“สหายข้า เจ้าช่วยข้าให้รอดชีวิต ขอบใจเจ้ามาก” ชายหนุ่มพูดกับเหมราชแล้วลุกจากบัลลังก์เดินมายืนนิ่งอยู่ต่อหน้า แล้วพูดอย่างสุภาพ “ข้ายินดีรับเจ้าเป็นสหาย ขอแนะนำให้รู้จักเจ้าเมืองศรีโคตรบูร เจ้าฟ้าลุ่มเป็นพ่อข้า เจ้าฟ้าแสงจันทร์เป็นแม่ข้า และนั่น…เจ้าฟ้าคำหยาด น้องสาวข้า” หันกลับมามองประสานสายตากับเหมราชอีกครั้งแล้วพูดเสียงเข้ม “เจ้าเชียงรุ้งยินดีรับเจ้าเป็นสหาย ข้าและเจ้าเป็นคนเดียวกัน จงเชื่อในตัวข้า และวางใจข้า”
“ขอบคุณมาก คือว่า…”
“เมืองศรีโคตรบูร ทุกคนมีภราดรภาพ ไม่แบ่งชั้นวรรณะ” เจ้าเชียงรุ้งพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง “พวกเราพูดภาษาเดียวกัน ชาวเมืองผูกพันเป็นพี่น้องกัน”
“แต่ผม…”
“ข้าเป็นบุตรเจ้าเมือง เจ้าและข้าเป็นสหายกัน” เจ้าเชียงรุ้งยิ้มอย่างมีไมตรี “แต่เจ้ายังไม่ได้บอกข้า เจ้าเป็นใคร”
“ผมชื่อเหมราช” เหมราชบอกชื่อตัวเองด้วยน้ำเสียงสุภาพ แต่ละคำพูดระมัดระวังกิริยาท่าที “ขอบคุณมากที่กรุณาให้เกียรติ แต่ว่า…”
“จงพูดภาษาของข้า” เจ้าเชียงรุ้งผายมือเชิญเหมราชให้ไปนั่งบนบัลลังก์ถัดไป “ค่ำคืนนี้ ข้ายินดีต้อนรับสหาย ด้วยเกียรติชาวเมืองศรีโคตรบูร”
เหมราชได้แต่ยืนนิ่ง เจ้าเชียงรุ้งจึงเดินเข้ามาจูงมือให้เดินตามไปยังบัลลังก์ที่จัดเตรียมไว้ เขาแข็งใจปฏิบัติตาม ขณะนั่งบนบัลลังก์เหมือนอยู่เฉพาะพระพักตร์ราชาและราชินี มีทั้งเจ้าชาย เจ้าหญิง แวดล้อมด้วยเหล่าเสนามหาอำมาตย์ รู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางขุนศึกและกองทัพที่เต็มไปด้วยเหล่าทหาร ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไรเหตุการณ์ก็ยิ่งผลักดันให้ถลำลึก ทั้งที่ไม่อยากเชื่อแต่เป็นความจริงที่กำลังพบเห็นด้วยตนเอง
ม่านห้องโถงที่อยู่ตรงข้ามเปิดออก แสงเทียนส่องสว่างทั่วห้อง พระพุทธรูปองค์ใหญ่ตระหง่านบนฐานสูง หลวงพ่อพร้อมภิกษุหลายรูปนั่งสงบอยู่บนอาสนะด้านซ้าย กลางพื้นด้านหน้ามีขันทองคำวางห่างจากหน้าพระสามช่วงแขน ในขันบรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์ ห่างออกมาอีกหนึ่งช่วงแขนมีพานดาบตั้งตรงกลาง ด้านขวาตั้งพานลูกศร ด้านซ้ายตั้งพานหอก เครื่องบายศรีตั้งเรียงรายถัดไป เสียงย่ำฆ้องกระหึ่มขึ้นสามครั้ง ผู้เฒ่าชุดขาวก้าวออกไปนั่งคุกเข่ากราบพระ จากนั้นนั่งท่าขัดสมาธิประณมมือสวดบริกรรมไปเรื่อยๆ สิ้นเสียงพึมพำแล้วจุดเทียนยกขึ้นจ่อตรงกลางปากขันทองคำ เทียนหยดลงในน้ำดังซู่ๆ ชั่วครู่จึงดับเทียนแล้วประกาศเสียงดัง อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย ปวงเทพผู้ใหญ่ในสรวงสวรรค์ ดวงวิญญาณเจ้าเมืองที่ล่วงลับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของศรีโคตรบูร อัญเชิญให้มาเป็นสักขีพยาน อวยชัยให้พรในพิธีสถาปนาเหมราชเป็นสหายลูกชายของเจ้าเมือง
เสียงประโคมมโหรีกังวานขึ้น ตามด้วยเสียงย่ำฆ้องต่อเนื่องเป็นระยะ ผู้เฒ่าชุดขาวลุกขึ้นแล้วเดินไปหยิบดาบขึ้นกระชับด้ามตวัดฟาดฟัน จากนั้นแทงปลายดาบลงในขันน้ำศักดิ์สิทธิ์ วนขวาแล้วกลับวนซ้ายสามรอบ วางดาบลงบนพานแล้วจึงจับลูกศรและหอกขึ้นมาตวัดแทงน้ำตามลำดับ
พระสงฆ์สวดมนต์ เจ้าเชียงรุ้งและเหมราชเดินออกไปยืนคู่กันต่อหน้าพระ ผู้เฒ่าชุดขาวผูกข้อมือให้ทีละคนด้วยด้ายสายสิญจน์ ต่อจากนั้นทำพิธีดื่มน้ำสวามิภักดิ์ เจ้าเชียงรุ้งดื่มก่อน เหมราชเป็นผู้ดื่มสุดท้าย หลวงพ่อประพรมน้ำมนต์ พระภิกษุสวดชยันโตให้พร เสนามหาอำมาตย์เปล่งเสียงไชโย เหล่าทหารกระชากดาบทำความเคารพพร้อมกัน มโหรีขับประโคมต่อเนื่อง เสียงลั่นฆ้องเอาชัยดังกระหึ่มยาวนาน
จากนั้นหลวงพ่อพร้อมด้วยพระภิกษุจึงกลับวัด ภายในห้องโถงเข้าสู่บรรยากาศฉลองสมโภชแคนแผดเสียงกังวาน ตามด้วยโปงลาง พิณและเสียงทุ้มๆ ของโหวด ท่วงทำนองเนิบช้าแล้วค่อยกระชับกระชั้นเหมือนยอดไม้ไหวลม เจ้าฟ้าคำหยาดเยื้องกรายลงจากบัลลังก์ นวยนาดไปยืนกลางห้องแล้วกรีดกรายร่ายรำเข้าจังหวะลายเพลงแต่ละท่ารำขยับเคลื่อนเป็นลีลาสวยงาม เจ้าเมืองและภรรยานั่งมองด้วยกิริยาสงบ เจ้าเชียงรุ้งแย้มยิ้มยินดีที่เห็นน้องสาวย้ายเยื้องได้ชดช้อย เหมราชนั่งมอง แต่ใจกลับย้อนคิดถึงเหตุการณ์ที่ลานวัดแต่ละท่ารำของหญิงสาวชุดดำผุดขึ้นในความจำทุกอิริยาบถคล้ายซุกซนไร้เดียงสาร่ายรำทุกท่วงท่าสวยงามสง่าโฉม รอยยิ้มใต้แสงจันทร์คืนนั้นติดตาฝังใจยากจะลืม
“รำศรีโคตรบูร เป็นมรดกของศรีโคตรบูร” เจ้าเชียงรุ้งหันหน้าไปพูดกับเหมราช “เจ้าฟ้าคำหยาดออกไปรำศรีโคตรบูร ไปเถิดสหาย จงออกไปรำกับน้องสาวข้า เจ้าอย่าได้เกรงใจข้า ค่ำคืนนี้จงสนุกให้มาก”
“ข้าสนุกมากที่สุด”
“จงออกไปรำกับน้องสาวข้า”
“แต่ข้า…”
เหมราชพยายามพูดภาษาของชาวเมืองศรีโคตรบูร แต่ยังพูดไม่คล่องด้วยกระดากปากประกอบกับเจ้าเชียงรุ้งมีฐานะสูงส่งเป็นบุตรของเจ้าเมือง จึงระมัดระวังทุกคำพูด และขณะนี้กำลังอยู่ในพิธีต้อนรับของเจ้าเมือง จึงไม่เหมาะที่จะออกไปแสดงตัว ยิ่งเมื่อเห็นเจ้าฟ้าคำหยาดรำศรีโคตรบูรก็ยิ่งป่วนใจคิดถึงแต่หญิงสาวชุดดำ ลายเพลงโปงลางเปลี่ยนท่วงทำนองเพลงแล้วเพลงเล่ายิ่งคิดถึงความเก่าหนหลังเมื่อครั้งฝึกเล่นดนตรีไทยกับนาฏนภางค์ น้องสาวเล่นดนตรีไทยได้ไพเราะทุกเพลง คิดแล้วยิ่งย้อนเจ็บใจตัวเองมากที่ใส่โทรศัพท์มือถือไว้ในกระเป๋าสะพายหลัง แล้วลืมทิ้งไว้ข้างทาง
เจ้าเชียงรุ้งผูกไมตรีด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “รำศรีโคตรบูรแสดงเฉพาะพิธีศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น หรือไม่ก็สำหรับแขกบ้านแขกเมือง แต่ค่ำคืนนี้พ่อข้าจัดพิธีต้อนรับเจ้าเป็นชาวเมืองศรีโคตรบูร สถาปนาเจ้าเป็นสหายข้า เราสองคนดื่มน้ำสวามิภักดิ์สาบานเป็นคนเดียวกัน” หยุดหายใจแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ตั้งแต่บัดนี้ไป เจ้าเป็นชาวเมืองศรีโคตรบูร เป็นสหายข้า และเป็นเจ้าเหมราช”
“ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
“ได้เจ้ามาเป็นสหาย ข้ายินดีนัก”
“แต่ข้า…”
“ค่ำคืนนี้ ข้าตอบแทนน้ำใจเจ้า” เจ้าเชียงรุ้งพูดอย่างเป็นกันเอง มองไปรอบๆ แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ “ศรีโคตรบูร ผู้คนยึดมั่นศาสนา อยู่ในศีล กินในธรรม มีประเพณี มีความเชื่อ มีวัฒนธรรมเก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง” เว้นระยะด้วยรอยยิ้มแล้วพูดซ้ำหนักแน่น “รำศรีโคตรบูร เป็นมรดกล้ำค่าที่เรารักษาสืบทอดมา”
เหมราชไม่พูดและไม่ถาม ในใจคิดเพียงแต่นั่งนิ่งๆ ไว้เป็นดีที่สุด ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่มีอะไรดีเท่าทำตัวเป็นผู้ฟัง ทั้งที่เจ้าเชียงรุ้งให้เกียรติมากที่สุด แสดงออกอย่างเป็นกันเอง แต่เขาระมัดระวังก่อนจะพูดทุกถ้อยคำ
“เจ้าช่วยข้า” น้ำเสียงของเจ้าเชียงรุ้งหนักแน่น “ข้ารอดชีวิต ข้าตกเป็นหนี้ชีวิตเจ้า เมื่อข้าและเจ้าดื่มน้ำสวามิภักดิ์” หยุดพูดพลางมองลึกเข้าไปในดวงตาเหมราช นิ่งชั่วครู่แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มันเป็นจิตวิญญาณของศรีโคตรบูรระหว่างข้ากับเจ้า เลือดผสมเลือด เราสองคนเป็นคนเดียวกัน ตายแทนกันได้”
“แต่ข้า…”
“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แต่ในตัวเจ้ามีเลือดข้าผสมอยู่”
“มีอย่างนี้ด้วยหรือ”
“ใช่แล้ว ในตัวข้ามีเลือดเจ้าผสมอยู่ด้วย มันเป็นความเชื่อของศรีโคตรบูร” เจ้าเชียงรุ้งมองประสานสายตาเหมราช แล้วพูดเสียงกร้าว “จงสาบานต่อข้า แม้ชีวิต…เจ้าสละให้ข้าได้”
“ข้า…”
“สหายข้า ต่อหน้าข้า เจ้าจงสาบาน”
“ข้าสาบาน”
เสียงฆ้องดังกระหึ่มกังวานติดต่อกันยาวนานเสนามหาอำมาตย์พร้อมกันเปล่งเสียงไชโย เหมราชมองประสานสายตากับเจ้าเชียงรุ้ง ไม่มีถ้อยคำใดหลุดจากปาก สายตาที่มองประสานบ่งบอกถึงความบริสุทธิ์จริงใจ บรรยากาศภายในห้องโถงคืนสู่ความเงียบ
เงียบเพียงชั่วอึดใจเท่านั้น…
เสียงซอดังขึ้นเป็นท่วงทำนองเนิบช้า เหมือนลมอ่อนๆ โชยผ่านในยามดึก ทอดเสียงยาวเหมือนน้ำหลั่งสายจากหน้าผาสูง หวีดหวิวคล้ายลมพลิ้วพัดยอดไม้ แผ่วๆ แต่ค่อยๆ ดังกังวานลั่นเหมือนจักจั่นระงมร้องในราวป่า เหมราชอยู่ในอาการสงบเงียบ นั่งมองเจ้าฟ้าคำหยาดเดี่ยวซออยู่บนบัลลังก์ แสงเทียนส่องใบหน้ารูปไข่เรียวงาม ยิ่งมองยิ่งเหมือนจันทร์วันเพ็ญทอแสงอยู่กลางห้อง เจ้าเชียงรุ้งถึงกับแอบยิ้มเงียบๆ ช่วงนั้นเองเจ้าฟ้าคำหยาดก็เปลี่ยนทำนองให้กระชับเร็วขึ้นเรื่อยๆ แล้วจึงหวนกลับมาสลับลายเพลงสอดเสียงออดอ้อนออเซาะ ทอดจังหวะอ้อยอิ่งเนิบช้านุ่มนวลเสียงซอสะกดผู้ฟังเงียบกริบทั้งห้องโถง
“ซัดคลื่นวารี เจ้าฟ้าคำหยาดเล่นเพลงนี้ได้ไพเราะนัก” เจ้าเชียงรุ้งหันไปพูดกับเหมราชด้วยสีหน้าเบิกบาน “จบเพลงแล้ว เจ้าฟ้าคำหยาดกำลังเดินมา น้องสาวข้ามาเชิญเจ้าออกไปรำ เจ้าอย่าปฏิเสธให้เสียไมตรี จงออกไปรำกับน้องสาวข้าเถิด”
“ข้า…”
“เจ้าอย่าทำให้เสียไมตรี”
“ข้าไม่กล้า”
“อย่าปฏิเสธเจ้าฟ้าคำหยาด น้องสาวข้า”
เจ้าฟ้าคำหยาดเดินมาหยุดต่อหน้า เหมราชไม่กล้าออกไปรำด้วยเพราะยังประหม่า เจ้าเชียงรุ้งคะยั้นคะยอแกมขอร้องในที ธิดาสาวของเจ้าเมืองเชิญชวนด้วยกิริยางดงาม เหมราชไม่มีทางเลือกจึงลุกขึ้นยืนแล้วโค้งตอบรับ เขาเดินตามธิดาเจ้าเมืองออกไปยืนกลางห้องโถง โปงลางลั่นรัวกระหึ่มขึ้นตามด้วยเสียงโหวดพิณแคน เสียงฆ้องกลองกังวานรับสลับท่วงทำนองเนิบๆ ของโปงลาง เจ้าฟ้าคำหยาดขยับเยื้องกรายร่ายรำ เหมราชรำเข้าคู่ตามจังหวะลายเพลง ตาต่อตาสบประสาน ฝ่ายหญิงมองทะลุลึกเข้าไปในดวงตาฝ่ายชาย เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เจ้าฟ้าคำหยาดรู้สึกใจระส่ำปั่นป่วนรุ่มร้อน ยะเยียบเย็นลึกๆ แล้วระอุคุโชนขึ้นเรื่อยๆ เหมราชกลับย้อนคิดถึงหญิงสาวชุดดำ หากเจ้าฟ้าคำหยาดเป็นหญิงสาวชุดดำคนนั้น คืนนี้เขาคงมีความสุขมากที่สุด ทั้งที่รำคู่อยู่กับธิดาแสนสวยของเจ้าเมือง ต่อหน้าเจ้าเชียงรุ้งและทุกคนภายในพิธีใจกลับคิดถึงแต่หญิงสาวชุดดำ เธอเป็นใคร ถ้าเป็นชาวเมืองศรีโคตรบูร ขณะนี้ทำอะไรอยู่ที่ไหนรู้หรือไม่กำลังมีใครคิดถึง
ลายเพลงโปงลางเงียบเสียงสิ้นสุดรอบการรำเหล่าเสนามหาอำมาตย์เปล่งเสียงไชโยกระหึ่มห้องโถง เหมราชโค้งจบเพลงแล้วเดินตามไปส่งเจ้าฟ้าคำหยาดด้วยใจเลื่อนลอย โค้งอำลาแล้วกลับไปยังบัลลังก์ที่นั่งของตน
เจ้าฟ้าลุ่มลุกขึ้นยืนแล้วก้าวลงจากบัลลังก์ เจ้าฟ้าแสงจันทร์ลุกตาม เจ้าเชียงรุ้งรีบเดินตามไปส่งบิดา ทุกคนในห้องโถงจึงลุกขึ้นยืนสงบนิ่ง ก่อนออกจากห้องเจ้าเมืองและภรรยาเดินตรงมาที่เหมราช กล่าวเสียงนุ่มนวล
“ศรีโคตรบูรเป็นบ้านของเจ้า จงสนุกให้มากสำหรับค่ำคืนนี้ข้าขออำลา”
เจ้าเมืองและภรรยาเดินออกจากห้องโถงเจ้าฟ้าคำหยาดเดินตามไปไม่เอ่ยลา เหมราชก้มศีรษะโค้งแล้วยืนมองตามธิดาเจ้าเมืองที่กำลังเดินจากไปเงียบๆ เขารู้สึกเหมือนเจ้าฟ้าคำหยาดเป็นหญิงสาวชุดดำ กระทั่งเจ้าเชียงรุ้งสะกิดต้นแขนเบาๆ เหมือนจะเตือนให้รู้สึกตัวจึงได้แต่ฝืนยิ้มกลบเกลื่อนพิรุธ
“ขอบใจเจ้ามาก” เจ้าเชียงรุ้งเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน “ข้าจะไปส่งเจ้าที่เรือนรับรอง”
“โปรดอย่าเป็นภาระ ข้ากลับคนเดียวได้”
“หามิได้ มันเป็นหน้าที่ข้าต้องทำ”
“ขอบคุณมาก ข้าได้รับเกียรติมากที่สุด”
เจ้าเชียงรุ้งวางตัวเป็นกันเอง เหมราชเริ่มรู้สึกอบอุ่นและปรับตัวเข้าเหตุการณ์ได้อย่างสนิทใจบรรยากาศของงานที่เพิ่งผ่านไปทำให้เขามีความกล้าและใกล้ชิดเจ้าเชียงรุ้งมากขึ้นตามลำดับลูกชายเจ้าเมืองศรีโคตรบูรยอมรับเขาเป็นสหายและเข้าพิธีดื่มน้ำสวามิภักดิ์ ได้รำคู่กับธิดาสาวแสนสวยของเจ้าเมือง ถือเป็นเกียรติสูงสุด
“เรือนรับรองหลังนี้ ข้ามอบให้เป็นสมบัติเจ้า”เจ้าเชียงรุ้งพูดขึ้นเมื่อเดินมาส่งเหมราชจนถึงเรือนรับรอง “เจ้าเป็นชาวเมืองศรีโคตรบูร ข้าและเจ้าเป็นสหายรักกันแล้ว สหายต้องการสิ่งใด โปรดเรียกข้า หรือไม่ก็คนของข้า”
“ข้าอยากรู้ ศรีโคตรบูรอยู่ที่ไหน”
“อย่างนั้นหรือ” เจ้าเชียงรุ้งทอดเสียง “ศรีโคตรบูรเป็นเมืองเอกราช ชาวเมืองอยู่ดีกินดีร่มเย็นเป็นสุข เอาไว้รุ่งเช้าเถิด ข้าจะนำเที่ยวศรีโคตรบูร” แต่ละถ้อยคำเปี่ยมล้นไมตรี “จงพักผ่อนให้สบาย คืนนี้ขอให้หลับฝันดี”
เจ้าเชียงรุ้งกลับไปนานแล้ว เหมราชนอนพลิกไปมาอยู่บนเตียง จะหลับได้อย่างไร เมื่อใจปั่นป่วนหวนคิดถึงหญิงสาวชุดดำ แล้วยังย้อนคิดถึงนาฏนภางค์ คิดถึงคุณยาย คิดถึงคุณพ่อคุณแม่ ใครต่อใครที่บ้านคงกำลังเป็นห่วงเขาที่สุด เวลาขณะนี้กี่โมงยามไม่อาจรู้ได้ จะโทรศัพท์ถึงใครก็ไม่ได้ เมื่อพยายามข่มตาหลับแต่ไม่ยอมหลับ จึงงัวเงียลุกจากเตียงแล้วเดินไปยืนที่ระเบียงชานเรือน
เหมราชเดียวดายอยู่ในความเงียบ ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองดูดวงจันทร์ที่กำลังส่องแสงระยับเหมือนเห็นใบหน้าหญิงสาวชุดดำรางๆ อยู่ในแสงขาวนวล เห็นรอยยิ้มผุดพรายอยู่ในดวงดาว คล้ายได้ยินเสียงกระซิบเรียกให้ออกไปเริงรำคู่กันบนท้องฟ้า.
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
นวนิยาย : กาบแก้วบัวบาน ตอนที่ ๑