จุดจบของจักรวรรดิโรมัน
จักรพรรดิโรมันในยุคสุดท้าย ในศตวรรษที่ 5 นั้นไปพำนักที่เมืองราเวนนา ทางเหนือของอิตาลีปัจจุบัน ขณะที่ชนเผ่า Goth ที่ถูกโรมันรุกไล่จนไม่มีที่อาศัย ได้รวมพลกลับมาบุกอิตาลี ลงไปถึงโรม แต่ไม่ได้บุกเข้ายึดแม้ว่าจะทำได้ กษัตริย์ Alaric ของพวกเขาต้องการเพียงที่ดินและทรัพย์สินเงินทองของโรมันเท่านั้น และก็ได้จำนวนไม่น้อย แต่ทางโรมก็ยังแอบยกพลมาเพื่อสู้แต่ก็พ่ายแพ้
ที่สุดเมื่อฝ่าย Goth เห็นว่าทางจักรพรรดิไม่ได้จริงใจที่จะทำสัญญาสันติภาพ จึงได้บุกกรุงโรมในปี 410 เผาและทำลายสถานที่สำคัญ ฆ่าผู้คนเป็นจำนวนมาก เอาทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดไปด้วย นั่นคือจุดเริ่มต้นของจุดจบของจักรวรรดิโรมัน ซึ่งจะจบจริงในปี 476
ความจริง ตั้งแต่ปี 376-476 หนึ่งร้อยปีสุดท้ายนั้น ดินแดนต่าง ๆ ที่เป็น “เมืองขึ้น” ของโรมันได้ค่อย ๆ แยกตัวออกไปเป็นอิสระ ไม่ส่งส่วย ไม่ยอมอ่อนข้อให้โรมอีกต่อไป เพราะรู้ว่าภายในโรมก็มีการแย่งชิงอำนาจกันตลอดเวลา มีการฉ้อฉล เป็นที่ไม่พอใจของพลเมืองโรมัน คงไม่มีกำลังพอที่จะยกไปปราบการแข็งข้อได้
ที่โด่งดังที่สุด คือ การขยายอาณาเขตของอัตติลาระหว่างปี 434-453 หัวหน้าหรือกษัตริย์ของชาวฮั่น ที่เป็นชนเผ่าที่ไม่แน่ชัดว่าเป็นมาอย่างไร อาจจะโยงไปถึงมองโกล แต่ในยุคของอัตติลา ชาวฮั่นมาจากยุโรปตะวันออกติดกับเอเชียตะวันตก ประมาณคาซักสถานในปัจจุบัน
ฮั่นเป็นชนเผ่าที่ขื้นชื่อว่า “ดุร้ายโหดเหี้ยม” ที่ขยายอาณาเขตไปถึงฝรั่งเศส เยอรมนี ทางเหนืออิตาลี แต่ไม่สามารถพิชิตโรมได้ ทางตะวันออกก็ไปรุกโรมันตะวันออก แต่ไม่สามารถพิชิตคอนสตันติโนเปิล แต่ก็ทำให้เห็นว่าจักรวรรดิโรมันไม่ได้มีอำนาจเข้มแข็งอีกต่อไป
ที่สุด Odoacer ผู้นำของเผ่าเยอรมานิกที่ถือว่าเป็น “คนป่าเถื่อน” (Barbarians) ก็โค่นจักรวรรดิโรมัน ยึดอำนาจ Romulus Augustulus จักรพรรดิองค์สุดท้าย และตั้งต้นเป็นกษัตริย์ปกครองอิตาลี
เมื่อล่มสลาย จักรวรรดิโรมันก็แยกออกเป็นนครรัฐอิสระต่าง ๆ เป็นแคว้นเล็กใหญ่ เป็นยุคที่นักประวัติศาสตร์มักขนานนามว่าเป็นยุคมืด (Dark Age) ซึ่งก็มีข้อโต้แย้งมากมาย เพื่อบอกว่า ถ้าไม่มียุคนี้ก็จะไม่มียุคเกิดใหม่ – ยุคฟื้นฟูศิลปะวัฒนธรรม (Renaissance) ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป
หลายศตวรรษในยุคกลางนี้มีศาสนาคริสต์เป็นตัวเชื่อม มีกษัตริย์หรือจักรพรรดิอย่างชาร์ลเลอมาญ ในศตวรรษที่ 9 ที่ขยายอาณาเขตและเรียกว่า “จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์” (Holy Roman Empire) มีอาณาเขตไปทั่วยุโรปตะวันตกและตะวันออก
จนกระทั่งถึงยุคฟื้นฟูศิลปะวัฒนธรรมในศตวรรษที่ 15 ที่เริ่มฟื้นฟูศิลปะวัฒนธรรมเก่าแก่ตั้งแต่กรีก โรมัน เป็นต้นมา แต่ก็มีการสืบทอด “จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์” โดยราชวงศ์ฮับสบูร์กของออสเตรียมาจนถึงปี 1806 จึงสิ้นสุดภายใต้รัชสมัยของจักรพรรดิฟรันซิสที่ 2 ของออสเตรีย นับเป็นเวลา 1,000 ปีของ “จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์”
# ทำไมจักรวรรดิโรมันจึงล่มสลาย
สาเหตุของการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันเริ่มเห็นเค้าลางมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 แล้ว เมื่อจักรพรรดิทรายานได้ขยายอาณาเขตไปกว้างใหญ่ที่สุด แต่ไม่สามารถควบคุมได้ เพราะระยะทางที่ห่างไกลจากกรุงโรม และการแข็งข้อของแว่นแคว้นชนเผ่าต่าง ๆ ที่ส่วนหนึ่งได้เรียนรู้หลายอย่างจากทหารโรมัน
ต่อมาชนเผ่าเหล่านี้ก็เริ่มรุกรานอาณาจักรของโรมมาเรื่อย ๆ จนในศตวรรษที่ 5 ดินแดนของจักรวรรดิโรมันเหลือเพียงตอนเหนืออิตาลีลงมาถึงโรมและทางใต้เท่านั้น
กองทัพโรมันไม่ได้เกรียงไกรเหมือนเดิม มีชนเผ่าต่าง ๆ ผสมเป็นกองกำลัง จึงไม่มีความจงรักภักดีต่อโรมเหมือนเมื่อก่อนที่มีแต่พลเมืองโรมัน พวกเขาจงรักภักดีต่อแม่ทัพที่มีพระเดชและพระคุณต่อพวกเขา
ในร้อยปีสุดท้าย บรรดาชนเผ่าต่าง ๆ ก็รุกรานอาณาจักรโรม ทางตะวันตกลงไปครอบครองสเปนและแอฟริกาเหนือ รวมทั้งซิซิลีและเกาะต่าง ๆ ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ความกว้างใหญไพศาลของอาณาจักรเป็นอุปสรรคในการบริหารจัดการ เพราะต้องใช้เวลาสองสามสัปดาห์ในการสื่อสาร แม้แบ่งเป็นสองส่วนสองอาณาจักรก็ไม่สามารถควบคุมได้ เพราะทางตะวันตกมีโรมเป็นศูนย์กลาง ยากจนกว่า ทำเกษตรกรรม ไม่เหมือนทางตะวันออกที่ค้าขายและร่ำรวย
ตะวันตกเริ่มวิกฤติการเงิน มีปัญหาความขัดแย้งสูง ต้องสู้กับทั้งการรุกรานจากภายนอกและสงครามภายในระหว่างอำนาจต่าง ๆ กองทัพที่ใหญ่มาก ต้องใช้งประมาณสูง จนไม่สามารถนำงบไปพัฒนาอย่างอื่นได้ แรงงานก็ใช้ทาสเป็นหลัก เมื่อโรมอยู่ในสถานะป้องกันตัวเอง สูญเสียอาณาเขต ไม่มีภาษี ไม่มีส่วย ไม่มีสงครามไปรุกรานใคร จึงไม่มีแรงงานทาสใหม่จากเชลยศึกเหมือนเมื่อก่อนก็เกิดปัญหาแรงงาน เศรษฐกิจล่มเพราะไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ ขาดเงินทุนสนับสนุนกองทัพด้วย ทหารรับจ้างจากชนเผ่าต่าง ๆ ก็ไม่ได้จงรักภักดี
ความไม่มีประสิทธิภาพของผู้นำ จักรพรรดิส่วนใหญ่ตอนหลัง ๆ ไม่มีความสามารถ บางคนอายุยังน้อยมาก สืบทอดอำนาจจากวงศ์ตระกูล ไม่ได้รับการยอมรับ
บรรดาวุฒิสมาชิกก็เป็นพวกอริสโตเครต มีอำนาจมาก ร่ำรวย เสียภาษาน้อย จึงควบคุมอำนาจของจักรพรรดิได้ เพราะต้องการเงินของพวกเขา ด้วยเหตุดังนี้ ประชาชนจึงไม่มีความเชื่อมั่นในผู้นำของตนเอง
ศาสนาคริสต์ก็มีส่วน การนับถือพระเจ้าองค์เดียว ต่างจากเมื่อก่อนที่โรมันไปรบชนะที่ไหนก็ยึดเอาเทพเจ้าของเขามา ทำให้คนโรมันมีเทพหลายองค์ รวมไปถึงจูเลียส ซีซาร์ ก็ถูกตั้งให้เป็นเทพ เอากุสตุสจึงเป็นบุตรของพระเจ้า มีความชอบธรรม ได้รับการยอมรับดังเทพ
จักรพรรดิคอนสตันตินยอมรับศาสนาคริสต์เมื่อปี 313 และในปี 380 จักรพรรดิ Theodosius ประกาศให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำอาณาจักรแต่เพียงศาสนาเดียว ออกกฎหมายห้ามนับถือศาสนาอื่น ใครนับถือจะถูกลงโทษ ทำให้ได้รับการต่อต้านจากชาวโรมันและอาณาจักรที่ยังขึ้นต่อโรม
ในเวลาเดียวกัน การที่ศาสนาคริสต์ไม่ยอมให้จักรพรรดิเป็นเทพ ทำให้จักรพรรดิสูญเสียอำนาจ ความชอบธรรม บารมี การเคารพนับถือจากประชาชนที่เคยได้รับตลอดมา
จักรวรรดิโรมันมีอิทธิพลอย่างสำคัญต่ออารยธรรมตะวันตก โดยมี กรีก โรมัน ยูเดวและคริสเตียน เป็น 4 องค์ประกอบสำคัญพื้นฐานอารยธรรมตะวันตก ไม่ว่าภาษา จารีตประเพณี วิถีปฏิบัติ กฎหมาย วิชาความรู้ ศาสตร์ต่าง ๆ การก่อสร้าง ศิลปกรรม สถาปัตยกรรม
ดังจะเห็นว่า ในยุคที่เรียกว่ายุคมืดนั้น ความจริงก็คือที่สืบทอดจิตวิญญาณของจักรวรรดิโรมัน และอารยธรรมกรีก เมืองต่าง ๆ ที่ก่อตั้งโดยโรมยังคงอยู่ทั่วยุโรป เมืองใหญ่ ๆ ในอังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน ล้วนก่อตั้งมาในยุคโรมันทั้งสิ้น ยังมีโบราณสถานเหลืออยู่ไม่น้อย
จักรวรรดิโรมันก็เหมือนกับทุกจักรวรรดิในอดีต ไม่มีจักรวรรดิใดอยู่ค้ำฟ้า มีเกิดก็มีดับ และสาเหตุของการดับก็เหมือนกันในทุกจักรวรรดิ คือ ความโลภ โกรธ หลง ของมนุษย์ ในอำนาจ ทรัพย์สินเงินทอง ผลประโยชน์ส่วนตน ทำให้เกิดการฉ้อฉล อำนาจมากที่สุดก็ฉ้อฉลมากที่สุด การแก่งแย่งแข่งขัน จนแตกดับกันทุกฝ่าย
บทเรียนที่ “จักรวรรดิยุคใหม่” คงไม่ได้เรียนรู้ และอยู่อย่างอหังการ เหมือนไม่สะทกสะท้านกับภัยที่มาทำลายตนเอง ลืมไปว่าอำนาจนั้นเปราะบางเพียงใด แม้แต่ไวรัสเล็ก ๆ อย่าง “โคโรนาซาร์ส” ที่มาปีครึ่งแล้วระบาดไปทั่วโลกก็ยังจัดการไม่ได้
“เสรี พพ” 18 มิ.ย. 2021