ประวัติและที่มา ทำไมเจ้าของแผ่นดินจึงได้ชื่อว่า เจ้าแม่นางธรณี และนกกะแดดเด้า

ประวัติและที่มา ทำไมเจ้าของแผ่นดินจึงได้ชื่อว่า เจ้าแม่นางธรณี และนกกะแดดเด้า

กาลอันล่วงเลยมาจนไม่สามารถกำหนดช่วงเวลา กำหนดวัน กำหนดเดือน กำหนดปีที่เกิดเหตุการณ์ได้ และไม่สามารถที่จะกำหนดเป็นศตวรรษได้ โดยเริ่มต้นจากกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีอยู่สมัยหนึ่งพระอินทร์ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งสิ่งทั้งมวลบนโลกพิภพ อีกทั้งยังเป็นจอมเทพแห่งเทวโลก มนุษย์โลก และสัตว์โลกทั้งหลายตามคติความเชื่อมีกล่าวไว้ว่า ปู่สังกะสากับย่าสังกะสีเป็นมนุษย์ชายหญิงคู่แรกของโลก โดยถือตามคติความเชื่อในคัมภีร์ปฐมกัปป์ มีเรื่องที่เกี่ยวกับกำเนิดของชีวิตไว้อย่างละเอียด

กาลครั้งนั้นแลนับตั้งแต่ก่อนกว่าพระพุทธศาสนายังไม่ได้บังเกิด และก่อนกว่าพระเจ้าและเทพเจ้ามีพระอินทร์พระพรหมเทวดาทั้งหลายก่อนกว่าสรรพสัตว์เนื้อเสือช้างชะนี นรกขุมต่างก็ยังไม่ทันที่จะเกิดขึ้น ดินน้ำลมและไฟหินก้อนแร่ธาตุก็ยังไม่มี พระอาทิตย์และพระจันทร์ดวงดาวต่าง ๆ ก็ยังไม่ปรากฏ สรรพสิ่งว่างเปล่าไม่มีวัตถุที่เป็นรูปร่าง มีแสงก็ไม่เห็นว่าเป็นแสงธาตุ ๔ ปฐวี อาโป วาโย และเตโช มีเบาบางกระจัดกระจายไปทั่ว ไม่แสดงความเป็นธาตุของตนได้อย่างชัดเจน ความว่างเปล่าหมุนวนตราบนานเท่านาน ในคราวนั้นมีแต่เพียงอากาศกว้างขวางไม่สามารถที่จะกำหนดนับได้ด้วยตัวเลข มีแต่วาโยเจ้าองค์ธรรมมาบังเกิดก่อนกว่าสิ่งใด ๆ ได้พัดพาสัมผัสเป็นอากาศไปมา ต่อมาได้บังเกิดมีเป็นอาโปคือน้ำมีอยู่ทั่วไป จึงได้ชื่อว่า สมุทรทัสสะนครน้ำองค์พระธรรม ได้บังเกิดมีอากาศแปรปรวน มืดมัว นานเข้าก็บังเกิดมีเมฆควันลอยอยู่ในอากาศ มีลมแรงพัดเมฆควันลอยไปมาเคว้งคว้างไปทางเหนือทีหนึ่ง แล้วก็ลอยมาทางใต้หาทิศทางไม่ได้ เป็นอย่างนั้นอยู่นานแสนนานจึงได้บังเกิดเป็นน้ำมหาสมุทร ในคัมภีร์เรียกว่าปฐมมูล ปฐมกัปป์

การเกิดแผ่นน้ำแผ่นดินและมนุษย์คนแรก

เมื่อกาลเวลาผ่านมานานแสนนานวาโยคือลม ได้พัดพากลายเป็นปลาอโนมา และกาลเวลาผ่านอีกนานแสนนาน ลมก็ได้พัดพาเอาน้ำมาจึงบังเกิดเป็นดินและหินผาต่าง ๆ พัฒนาการสืบมาจนถึงกาลปัจจุบันนี้ แต่ว่าลมทางเบื้องซ้ายได้พัดขึ้นไปทางเหนือ ลมทางเบื้องขวาได้พัดพาลงไปทางใต้ ต่อมาจึงได้เรียกชื่อว่า ลมมีดตรอก ได้พัดพาไปคนละทิศละทาง พัดไปข้างโน้นข้างนี้จึงได้ถูกแยกออกจากกันเป็นสองส่วน เพราะแรงลมและแรงผลักดันแห่งเตโชธาตุฝ่ายเย็น วัตถุทั้งสองส่วนได้ลอยอยู่กลางมหาสมุทรห่างกันออกไป เคว้งคว้างพร้อม ๆ กับดึงดูดเอามวลสารมารวมไว้ ทำให้วัตถุนั้นใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นแผ่นดินหรือปฐวี ลอยไปลอยมากลางมหาสมุทรแผ่นดินทั้งสองผืนก็ค่อย ๆ สะสมรูปร่างให้โตและใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ลมพัดน้ำอยู่นานจนเกิดเป็นแผ่นดินเล็ก ๆ จึงทำให้แผ่นดินแยกออกเป็น ๒ แผ่นตามแรงลมพัดพาไปนั้น จึงได้ชื่อว่า แผ่นดินเท่ารอยไก่ ต้นไม้เท่าลำเทียน ในสมัยแรกเริ่มแห่งการเกิดเป็นแผ่นดิน

เมื่อแผ่นดินได้แยกออกเป็นสองส่วนแล้วจากนั้นด้วยความสมดุลแห่งธาตุต่าง ๆ ได้ก่อกำเนิดพืชพันธุ์ เกิดต้นไม้ และแล้วแผ่นดินฝ่ายหนึ่งได้มีผู้หญิงเฝ้าอาศัยอยู่และเป็นเจ้าของ เกิดจากขี้ตมปวก ชื่อว่า ไกยสี ซึ่งต่อมาเรียกว่าสังกะสี และอีกส่วนหนึ่งนั้นผู้ชายได้อาศัยอยู่คอยเฝ้ารักษาและเป็นเจ้าของ ได้ถือกำเนิดจากขี้ตมปวก หรือก้อนเศษตะไคร้น้ำ เป็นที่สะสมของมวลสารมากมาย มีเพศเป็นชาย ชื่อว่าไกยสา ซึ่งต่อมาเรียกว่า สังกะสา เมื่อทั้งสองชายหญิงเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ได้สร้างสัตว์ทั้งหลายให้เกิดมาบนแผ่นดินของแต่ละฝ่ายจนครบสมบูรณ์ เมื่อกาลเวลาล่วงเลยมาหลายปีหลายอสงไขยแสนโกฏิ จนไม่สามารถที่จะกำหนดนับได้ ดินและน้ำเริ่มเกิดเป็นลมขึ้นได้ตีพัดปั่นกันไปไกลแสนไกล แล้วแผ่นดินทั้งสองแผ่นได้ไหลไปเข้าติดกันเป็นผืนแผ่นเดียวกัน

ในคัมภีร์ปฐมกัปป์ได้บอกไว้มีว่า ลมชูนำน้ำกะเล่าซูปลา ปลาชูหินหินชุดินจังบ่จมลงได้ลมพัดให้เป็นดินสองแผ่น แผ่นหนึ่งหญิงอยู่เฝ้าเป็นเจ้าแผ่นดิน แผ่นหนึ่งชายอยู่เฝ้าเป็นเจ้าแผ่นดิน ไกลกันล้ำพอประมาณฮ้อยโยชน์ แล้วจั่งติดต่อจ้ำกันเข้าแผ่นเดียวเกิดแผ่นดินและสิ่งมีชีวิตขึ้นในโลกนี้ มีทั้งสวรรค์ นรก อเวจี ครุฑ นาค เทวดา พระอินทร์ พระพรหม พระอาทิตย์และพระจันทร์ แต่ยังไม่มีแสงส่องพื้นโลก

ความรักเกิดขึ้นครั้งแรกของมนุษย์

เมื่อแผ่นดินได้มาติดต่อกันจนเป็นผืนเดียวกันแล้ว มนุษย์ชายหญิงจึงได้มีโอกาสได้สัมผัสพูดคุยกันเป็นครั้งแรก ครั้งที่ได้พบกันในครั้งนั้นต่างฝ่ายก็ตกใจ เพราะไม่เคยเห็นเพศที่ไม่เหมือนกัน จึงได้ถามไถ่สุขทุกข์กันถึงที่ไปที่มาของกันและกันจนเป็นที่เข้าอกเข้าใจกันดีแล้ว

ฝ่ายชายจึงได้ถามขึ้นก่อนว่า “นี่ท่านมาจากไหนกัน ไม่เคยพบหมู่คนแบบคุณนี่เลย…?”

ฝ่ายหญิงก็ตอบว่า “ฉันก็ไม่เห็นคุณเช่นกัน แผ่นดินนี้ที่ฉันอาศัยและสร้างมากับมือก็ไม่เคยมีผู้คนเข้ามาหาเลยสักครั้ง แล้วท่านเป็นใครล่ะ…?”

ฝ่ายชายจึงได้กล่าวขึ้นว่า “ผมก็น่าจะมีความเป็นมาดังเช่นกับคุณน่ะ เพราะผมก็ได้สร้างสิ่งต่าง ๆ ไว้บนโลกนี้อย่างที่คุณเห็นอยู่นี้ คุณก็คงจะได้สร้างมาเหมือนกัน”

เมื่อทั้งสองได้พูดคุยกันพอเป็นที่พอใจแล้วจึงได้ลงความเห็นว่า เราได้รู้จักกันในคราวนี้เป็นเพราะว่าลมได้พัดปั่นมาทางนี้ และเป็นเพราะได้ทำบุญเป็นตัวชักนำมา

 

เมื่อทั้งสองชายหญิงได้รู้ที่ไปที่มา มีความเข้าใจกันและกันแล้ว ทั้งสองก็ได้อยู่รวมกันเป็นสามีภรรยาสืบมา ได้มีลูกมีหลานแพร่หลายสืบต่อมาหลายชั่วอายุคน พร้อมทั้งได้สร้างสรรค์พัฒนาดินแดนที่ตนอาศัย ปู่ย่าทั้งสองครั้นมีลูกมนุษย์ชายหญิงแล้ว ก็สร้างเขาพระสุเมรุเป็นแกนกลางของจักรวาล มีทวีปทั้งสี่ คือชมพูทวีปอุตรกุรุทวีป บุพวิเทหทวีป และอมรโคยานทวีปอยู่ทั้งสี่ทิศของเขาพระสุเมรุ สร้างเขาสัตภัณฑ์คีรี ๗ เทือกเขาล้อมรอบเขาพระสุเมรุ (เนมินธร ยุคธร อิสินธร กรวิก สุทัสน์ อัสกัณ และวิตกคีรี)มีแม่น้ำล้อมรอบเขาทั้งเจ็ด (ทะเลสีทันดร) หลังจากนั้นก็ให้พระอาทิตย์และพระจันทร์ส่องแสง และเดินรอบจักรวาล ทวีปทั้งสี่ก็ได้รับแสงอาทิตย์โดยครบถ้วน แล้วจึงเกิดราศี ๑๒ ราศี และฤดูทั้งสาม มีพระอาทิตย์เป็นตาโลกมาตั้งแต่ปฐมกัปป์ ปู่ย่าทั้งสองได้อนุรักษ์รักษาแผ่นดินสืบมาอย่างหลากหลายนานแสนกัปแสนกัลป์

ส่วนชมพูทวีปที่เชิงเขาพระสุเมรุมีทางน้ำ ๔ ทาง คือ ทางปากราชสีห์ ทางปากช้างแก้ว ทางปากม้า และทางปากวัวอุสุภราช ไหลรอบ เขาพระสุเมรุออกมาผ่านโขดหิน ภูผา จนมาเป็นแม่น้ำมูล แม่น้ำโมง และแม่น้ำอโนมา มีสระอโนดาตน้ำใสสะอาด พื้นเป็นทรายเงินทรายทองริมท่าน้ำ ปู่ย่าได้ตกแต่งเป็นที่บำเพ็ญเพียรของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทโธ และพวกฤาษี ที่แห่งนั้นได้เกิดดอกไม้งามสะพรั่งในบริเวณฝั่งน้ำทั้งแม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหิมหา สาคเรศ น้ำไหลเรื่อยต่อไป แผ่กว้างสาขาอยู่ในชมพูทวีป มีแม่น้ำของ (โขง) เป็นเค้าในภาคพื้นชมพูทวีปและมีเกาะลังกาอยู่ฟากน้ำ ปู่ย่าได้สร้างสรรพสิ่งในโลก ได้สั่งสอนให้มนุษย์โลกตั้งตนอยู่ในศีล สร้างบุญกุศลบำเพ็ญธรรมบารมีเพื่อจะได้ไปเกิดในสวรรค์ หากใครอยากจะไปเกิดอยู่ในนรกอเวจี ก็ให้สร้างกรรมเวรชั่วช้าลามกจะได้จมอยู่ใต้นรกอเวจี

การเกิดขึ้นของแม่นางธรณี และนกกะแดดเด้า

เมื่อเวลาผ่านมาก็ได้ตายไปตามบุญตามกรรมของแต่ละคน มนุษย์คนแรกคือย่าสังกะสีเป็นเพศหญิงได้เสียชีวิตก่อน ต่อมาปู่สังกะสาเป็นเพศชายก็ได้ตามไปทีหลัง ก่อนที่ย่าจะตายท่านเป็นห่วงแผ่นดิน ฝูงสัตว์ทั้งหลายที่ตนเองได้สร้างสรรค์มากับมือ กลัวจะไม่มีใครรักษามรดกเหล่านี้ ที่ตนเคยสร้างสรรค์และได้รักษามาแล้วหลายปี จึงได้ตั้งสัจอธิษฐานไว้ว่า

“หลังจากที่ข้าพเจ้าสิ้นลมหายใจไปแล้วขอให้ไปเกิดเป็นแม่นางธรณีเพื่อรักษาแผ่นดินของตัวเอง ให้ครอบคลุมไปทุกหย่อมหญ้าทั่วแผ่นฟ้าแผ่นดิน แผ่นดินนี้เป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น”

ด้วยแรงอธิษฐานจิตและแรงผูกพันสัญญาด้วยอานุภาพแห่งพลังจิตที่มั่นคง หลังจากย่าสังกะสีตายแล้ว ก็ได้ไปเกิดเป็นเจ้าแม่นางธรณีสมความปรารถนา ที่ตนเองได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้แล้วนั้นแล เป็นผู้เฝ้ารักษาแผ่นดินสืบมาจนถึงกาลปัจจุบันนี้

กล่าวถึงปู่สังกะสาหลังจากที่ย่าสังกะสีได้เสียไปแล้วไม่นาน ก็เกิดอาการป่วยทางใจอย่างกะทันหัน ก่อนที่ปู่จะตายตามย่าไป ในกาลครั้งนั้นมีอยู่วันหนึ่งปู่สังกะสาได้ป่วยเป็นโรคทางจิต เพราะปู่คิดถึงย่าเมียรักเมียแพงถึงขนาดว่าไม่เป็นอันกินอันนอน ต่อมาจึงล้มป่วยลงและแล้วก็ได้สิ้นใจตาย ด้วยจิตที่มีความยึดในอุปาทานรักต่อย่าสังกะสี จิตที่เต็มไปด้วยความผูกพันส่งผลให้ได้ไปเกิดเป็น สกุณานกแดดเดาดาเด้า หรือนกกะแดแคดเค้า หรือว่า นกกะแดดเด้า (มีตัวเล็ก แต่ตัวโตกว่านกกระจิบสีลายหม่น ส่วนท้องมีสีขาว ขายาว ชอบหากินอยู่ตามริมบึงหรือหนองใหญ่ เวลาบินไปมาจะส่งเสียงร้องปี๊บ ๆ ยาว ๆ มีลักษณะที่แตกต่างจากนกชนิดอื่นก็คือ เวลายืนลำตัวตั้งเกือบตรงแต่ส่วนหางหรือส่วนท้ายของมันจะทำอาการกระดกขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ตลอดเวลา)

เมื่อตายไปเป็นนกแล้วด้วยจิตที่ห่วงหา จึงได้กระพือปีกขึ้นบนท้องฟ้าแสดงพฤติกรรมเกี้ยวกล่อมย่าเมียรัก และแสดงอาการเสียใจที่ภรรยามาตายจากไป ได้ร้องขึ้นเป็นระยะพร้อมทั้งได้ส่ายก้นห่อหาไปมา ในคัมภีร์ปฐมกัปป์กล่าวไว้ว่า

อันว่าสังกะสาเจ้าเดาดากะพือปีก กี้กกี้กฮ้องหาก้ำฝ่ายเมีย เสียใจด้วยภรรยาตายจากทางปากฮ่ำฮ้อง ทางก้นฮ่อนหา เป็นแต่ปางปฐมพุ้นมีมาตั้งแต่เก่า นกกะแดแดดเด้า เซาก้นอยู่บ่อเป็น ทางก้นฮ่อนหา และเซาก้นอยู่บ่อเป็น

นับตั้งแต่ปางนั้นมานกกะแดดเด้าจะส่ายก้นอยู่เป็นประจำไม่เคยหยุด มีลักษณะท่าทางไม่เป็นห่วงใครไม่สนใจใครแต่อย่างใด มีใจเดียวอยู่เสมอคือคิดถึงแต่ย่าสังกะสี อีกทั้งใครมาพูดด้วยก็ไม่พูดด้วย จนถึงกาลปัจจุบันนี้แล จากคติความเชื่อดังกล่าวคนอีสานจะถือว่า ปู่ย่าคู่นี้คือผีบรรพบุรุษเป็นผู้สร้างโลก ผู้ให้กำเนิดลูกหลานมนุษย์ทั้งหลาย คนอีสานเชื่อว่าตนสืบเชื้อสายมาจากต้นบรรพบุรุษคู่นี้ จึงเรียกปู่กับย่าว่า ปู่สังกะสา กับ ย่าสังกะสี (จึงมีคำสำนวนที่ว่า ปู่สังกะสาย่าสังกะสี) หรือเรียกกันอีกอย่างว่า ปู่สากับย่าสี ด้วยความเป็นบรรพบุรุษแรกเริ่ม ท่านทั้งสองจึงมีอิทธิฤทธิ์และอำนาจที่เหนือกว่าใคร ๆ เวลาจะทำอะไรก็จะเกิดผลกระทบอย่างรุนแรง และเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นบนพื้นดินของมนุษย์ทันที

ปรัชญาจากตำนานชาวอุษาคเนย์ปรัมปรา

นิทานปรัชญาชาวบ้านปรัมปราเรื่องนี้ ได้เสนอแนวคิดเรื่องความเชื่อการเกิดขึ้นของแผ่นดินและมนุษย์ พร้อมทั้งสรรพสิ่งต่าง ๆ เป็นคติความเชื่อหนึ่งที่ชาวบ้านทั่วไปได้เล่าสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน สมัยก่อนผู้เขียนเป็นเด็กเคยถามว่า คนเราสืบเชื้อสายมาจากไหน ผู้เฒ่าผู้แก่มักจะบอกว่ามาจาก ปู่สังกะสาย่าสังกะสี อนึ่งการเกิดมาเป็นอะไรนั้นขึ้นอยู่กับจิตที่ก่อนจะเคลื่อนออกจากกายก่อนตาย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “เมื่อจะตายจิตใจไปเกาะอยู่ที่สิ่งใด เมื่อตายไปแล้วย่อมจะเป็นสิ่งนั้น” ประวัติและความเป็นมาเจ้าแม่นางธรณีมาจากย่าสังกะสี มีปู่สังกะสาเป็นสามี ต่อมาเกิดเป็นนกกะแดดเด้าบินอยู่ท้องฟ้าดูแลแผ่นดิน ส่วนลูกก็คือมนุษย์ที่อาศัยบนแผ่นดิน นับว่าท่านเกิดก่อนใคร ๆ และได้สมสู่อยู่ร่วมกันมาก่อนมีมนุษย์ในปัจจุบัน ถือได้ว่าพวกเราเกิดมาเป็นลูกของท่านทุกคน

 

***

คอลัมน์ เรื่องเล่าปราชญ์ชาวบ้าน ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๙๓ เดือนมกราคม ๒๕๖๓

****

สมัครสมาชิก ครึ่งปี ๖๐๐ บาทหนึ่งปี ๑,๑๐๐ บาทตลอดชีพ ๙,๕๐๐ บาท (ได้รับหนังสือย้อนหลัง).สั่งซื้อ// ชำระเงิน // สอบถามเพิ่มเติม ได้ทาง

inbox หนังสืออีศาน m.me/166200246799901

line id : @chonniyom (มี@) คลิก https://lin.ee/amxqtvW

โทร. 086-378-2516

บริษัท ทางอีศาน จำกัด 244/539 รามอินทราซอย 5 แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กทม. 10220

Related Posts

กลัวงู
ข้าวปุ้นแกงปู : ความฮักของปู่ส่งสู่หัวใจย่า
ปิดเล่ม ทางอีศาน 93
WP2Social Auto Publish Powered By : XYZScripts.com