ผีบุญ ศึกษาอดีตเพื่อเข้าใจปัจจุบัน
ทางอีศาน ฉบับที่ ๖ ประจำเดือนตุลาคม ๒๕๕๕
คอลัมน์: ส่องเมือง
Column: Focusing on the City
ผู้เขียน: เสรี พงศ์พิศ
ภาพโดย: เด่นชัย น้อยนาง
The world history has always shown the impermanence of the sacred leader cults, whether locally or internationally. There are lessons to be learned on how to build real democracy (not just verbally real) and sustainable development, where all have the same rights, freedom and dignity and equality in economic and social conditions as well as opportunities.
ผีบุญ หรือผู้มีบุญ ทฤษฎีฝรั่งเรียกว่า ลัทธิพระศรีอาริย์หรือพระเมสสิอาห์ (Messiahnism) ผู้มากอบกู้ผู้คนให้พ้นทุกข์เข็ญ พ้นการถูกกดขี่ข่มเหง ปลดปล่อยจากการครอบงำ อุปถัมภ์ขูดรีด เอาเปรียบ ไม่ว่าจะด้วยการเก็บภาษี การใช้แรงงาน หรือวิธีการอื่น
ในประวัติศาสตร์ไทยมีบันทึกการก่อกบฏตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์ไว้มากที่สุด คือ ที่ภาคอีสานถึง ๙ ครั้ง ที่ดูเป็นขบวนการที่ขยายวงกว้างมากที่สุดเห็นจะเป็นกบฏผู้มีบุญ ๒๔๔๔ – ๒๔๔๕ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งมีผู้มีบุญเกิดขึ้นถึง ๖๐ คน และครอบคลุม ๑๓ จังหวัด ใช้วิธีการสื่อสารตามวิถีชุมชน คือ การบอกกล่าวเล่าลือต่อ ๆ กันไป การใช้หมอลำ จดหมายลูกโซ่คัดลอกคำพยากรณ์ เป็นต้น
สาเหตุสำคัญของการก่อกบฏส่วนใหญ่เป็นเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องปากท้อง เรื่องภาษีที่ต้องเสียให้รัฐ ซึ่งคนอีสานไม่ใช้เงิน ต้องหาข้าวของไปแลกเป็นเงินไปให้รัฐถึง ๔ บาท ซึ่งเทียบวันนี้คงไม่น้อยกว่า ๔,๐๐๐ บาท ถ้าไม่มีเงินเสียภาษีก็ต้องไปทำงานแทน เป็นงานหนักและต้องไปไกลจากบ้าน
ถ้าปีไหนเกิดข้าวยากหมากแพง ฝนแล้งน้ำท่วม โรคภัยไข้เจ็บระบาด ประชาชนก็เหมือนจนตรอก เมื่อมีผู้นำที่กล้าลุกขึ้นมาปลุกชาวบ้าน ให้ความหวังกับชาวบ้าน รวมทั้งปลุกระดมให้สู้ ชาวบ้านมีแค่มีด พร้า จอบ เสียม ก็พร้อมที่จะออกไปสู้กองทัพที่มีปืนได้
ผู้นำผีบุญส่วนใหญ่สร้างความเชื่อถือในหมู่ชาวบ้านด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับความสามารถพิเศษต่าง ๆ อันเป็นคุณสมบัติของผู้วิเศษที่มากอบกู้ผู้คนให้พ้นทุกข์ ตั้งแต่การรักษาโรคด้วยเวทย์มนต์คาถายาวิเศษ รวมถึงการแก้ปัญหาทางสังคมอื่น ๆ ในหมู่ชาวบ้าน กลายเป็นข่าวเล่าขานต่อ ๆ กันไป
กบฏหนองหมากแก้วที่จังหวัดเลยเมื่อปี ๒๔๖๗ ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ผู้นำผีบุญเป็นพระ ๒ รูป ฆราวาส ๒ คน ประกาศให้ชาวบ้านที่ได้รับความลำบากอย่างแสนสาหัสว่า ต่อไปนี้จะไม่มีเจ้ามีนาย ใบไม้จะเป็นเงินเป็นทอง มีผู้ติดตามจำนวนไม่มากพอที่จะต้านการปราบปรามของฝ่ายรัฐ สลายไปในเวลาไม่นานนัก
กบฏผีบุญมีในทุกสังคมตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันต่างกันแต่รูปแบบเท่านั้น แม้ในประเทศเยอรมนีที่ใคร ๆ ไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนอย่าง ฮิตเลอร์ ที่เป็นผีบุญขนานแท้เกิดขึ้นในศตวรรษที่ ๒๐ ซึ่งสังคมเยอรมันเป็นประชาธิปไตย มีการเลือกตั้ง มีสภาผู้แทนราษฎร
เยอรมนีมีนักคิด นักปรัชญา นักวิชาการต่าง ๆ มากมาย แต่ประเทศนี้ก็มีปัญหาที่หนักหนาสาหัสอันเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่แผ่ไปทั่วโลก สภาวการณ์เช่นนี้ก่อให้เกิดผีบุญอย่างฮิตเลอร์ที่มาพร้อมกับความหวังในการแก้ปัญหาปากท้อง ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่สุด
ฮิตเลอร์มีแผนการสร้างงานทั่วประเทศโดยการสร้างถนน เอาโตบาห์น หรือ ทางด่วน หลายพันกิโลเมตร โดยเน้นการใช้แรงงานคนมากกว่าใช้เครื่องจักร และหากต้องใช้ก็ให้ใช้ของที่ทำในเยอรมันเท่านั้น เมื่อคนมีกินมีใช้ก็เริ่มให้ความไว้วางใจกับ ท่านผู้นำ (der Fuehrer) และเชื่อว่า ชาติจะพ้นภัย แน่นอน
ฮิตเลอร์พูดอะไร บอกอะไรจึงเชื่อหมด ทำอะไรก็เห็นดีเห็นงามไปหมด และฮิตเลอร์ก็สร้างผู้ร้ายให้สังคมเยอรมันเหมือนตัวร้าย นางร้ายในละครไทยหรือหนังฮอลลีวู้ด โดยเลือกยิวเป็นผู้ร้ายให้คนเกลียดชัง หาว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาเศรษฐกิจ เพราะยิวกุมอำนาจและผูกขาดเศรษฐกิจเยอรมัน ขูดรีดดอกเบี้ยเงินกู้ และอีกสารพัดเหตุผล ไปจนถึงอธิบายด้วยหลักวิทยาศาสตร์ว่า เลือดของยิวเป็นเลือดชั่ว ไม่บริสุทธิ์เหมือนเลือดอารยันของเยอรมันแท้ ฮิตเลอร์มีวิธีการโฆษณาชวนเชื่อที่มีประสิทธิภาพสูงยิ่งโดยใช้สื่อและวิธีการทุกรูปแบบ รวมทั้งการสร้างสถานการณ์เพื่อให้บรรลุผลทางการเมือง
ที่สำคัญ ฮิตเลอร์ค่อย ๆ ออกกฎหมายเพื่อรองรับแนวคิดเหล่านี้ รูปแบบประชาธิปไตยแต่หัวใจเป็นเผด็จการ เขาให้อำนาจตนเองอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจนนำเยอรมนีเข้าสู่สงคราม และสร้างความหายนะแก่มนุษยชาติอย่างที่เราทราบกัน
ประเทศเยอรมนีฟื้นจากสงครามได้เพราะยังเหลือคนเยอรมันดี ๆ อีกมาก พวกเขาได้สรุปบทเรียนอันเลวร้าย และสร้างระบบใหม่ ป้องกันไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก
ปัญหาปากท้องเป็นเรื่องใหญ่ ก่อให้เกิดได้ตั้งแต่ผีบุญในท้องถิ่นอีสานไปจนถึงประเทศที่นึกว่าพัฒนาศิวิไลซ์อย่างเยอรมนี เกิดได้ตั้งแต่สุโขทัย อยุธยา มาถึงรัตนโกสินทร์ มาถึงวันนี้ที่เราเห็นผีบุญกันเกลื่อนบ้านเกลื่อนเมือง ตั้งแต่ผีบุญตัวพ่อไปถึงตัวลูกตัวหลาน จากสมัชชาคนจนไปถึงคนเสื้อมีสี
คนอีสานถูกดูถูกว่าเชื่อคนง่าย ถูกเขาครอบงำง่าย ไม่มีวิจารณญาณแยกแยะถูกผิด คิดสั้น ๆ แต่เรื่องผลประโยชน์เฉพาะหน้า ซึ่งก็คงถูกไม่น้อย แต่ถ้าจะให้ความเป็นธรรมกับคนอีสานก็ควรพิจารณาเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ สังคม และพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาด้วย
แผ่นดินอีสานที่ ในฟ้าบ่มีน้ำ ในดินซ้ำมีแต่ทราย เป็นภาคที่อุดมสมบูรณ์น้อยกว่าทุกภาคคนอีสานรักถิ่นฐานบ้านเกิดเหมือนคนอื่น แต่เมื่อทำมาหากินด้วยความยากลำบาก ขัดสนข้าวปลาอาหาร ก็พากันย้ายถิ่นไปลงหลักปักฐานที่อื่น ไปอยู่กันทั่วประเทศ ทุกภาค บางแห่งอยู่กันเป็นหมู่บ้านตำบล
ด้วยสภาพชีวิตเช่นนี้ การเมืองที่ฉลาดย่อมฉวยโอกาสหาเสียงกับความทุกข์ยากของประชาชนสวมหน้ากากผีบุญหรือผู้มีบุญมาให้ความช่วยเหลือช่วยทุกอย่างตั้งแต่น้ำแข็ง โลงศพ ไปจนถึงฝากลูกฝากหลานเข้าทำงานเข้าเรียน และในระดับรัฐบาลก็ทำโครงการประชานิยมจนผู้คนเสพติด คิดอย่างอื่นไม่เป็น อยากได้แต่ โครงการดี ๆ ที่มีงบประมาณเป็นกอบเป็นกำ ๑ ล้านไม่พอก็ต่อให้เป็น ๒ ล้านต่อชุมชนหมู่บ้าน
ประวัติศาสตร์โลกได้ฉายภาพให้เห็นความไม่ยั่งยืนของลัทธิบูชาผู้นำแบบผีบุญหรือผู้มีบุญ ไม่ว่าในระดับท้องถิ่นหรือระดับชาติ และมีบทเรียนดี ๆด้วยว่า ควรทำอย่างไรเพื่อให้เกิดประชาธิปไตยที่แท้จริง (ไม่ใช่แท้จริงแต่เพียงคำพูด) และการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่ผู้คนมีสิทธิเสรีภาพ มีศักดิ์มีศรี มีความเท่าเทียม ในโอกาสและเงื่อนไขต่าง ๆ ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม
มองที่อีสานบ้านเรา เราเห็นตัวอย่างของคนที่มีความเป็นตัวของตัวเอง เราเห็นชุมชนอีสานหลายแห่งที่เข้มแข็ง ปลดปล่อยตนเองจากการครอบงำของรัฐหรือทุน ของพ่อค้าหรือนักการเมือง เราเห็นคนที่ไม่ได้ทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิด ทำนาได้ข้าวเป็นตันต่อไร่ ทำเกษตรผสมผสานได้ไร่ละเป็นแสน เพราะใช้ความรู้ใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาและพัฒนาตนเอง
อีสานจะเข้มแข็งและพัฒนาถ้าเลิกบูชาลัทธิผีบุญ ปลดปล่อยตนเองจากการครอบงำบรรดาผู้ตั้งตัวเป็น ผู้มีบุญ ทั้งหลาย.