พ่อขุนศรีอินทราทิตย์
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เมื่อครั้งยังเป็น พ่อขุนบางกลางหาว ได้ร่วมมือกับพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด แห่งราชวงศ์ศรีนาวนำถุม รวมกำลังพลกันกระทำรัฐประหารขอมสบาดโขลญลำพง โดยพ่อขุนบางกลางหาว ตีเมืองศรีสัชนาลัยและเมืองบางขลงได้ และยกทั้งสองเมืองให้พ่อขุนผาเมือง ส่วนพ่อขุนผาเมืองตีเมืองสุโขทัยได้ ก็ได้มอบเมืองสุโขทัยให้พ่อขุนบางกลางหาว พร้อมพระขรรค์ชัยศรี และพระนาม “ศรีอินทรบดินทราทิตย์” ซึ่งได้นำมาใช้เป็นพระนาม ภายหลังได้คลายเป็น ศรีอินทราทิตย์ การเข้ามาครองสุโขทัยของพระองค์ ส่งผลให้ราชวงศ์พระร่วงเข้ามามีอิทธิพลในเขตนครสุโขทัยเพิ่มมากขึ้น และได้แผ่ขยายดินแดนกว้างขวางมากออกไป แต่เขตแดนเมืองสรวงสองแคว ก็ยังคงเป็นฐานกำลังของราชวงศ์ศรีนาวนำถุมอยู่
ในกลางรัชสมัย ทรงมีสงครามกับขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด ทรงชนช้างกับขุนสามชน แต่ไพร่พลของพระองค์ ได้เตลิดหนีดังคำในศิลาจารึกว่า “ไพร่ฟ้าหน้าใสพ่อกู หนีญญ่ายพ่ายจแจ๋น”(หนี-ยอ-ย่าย-พ่าย-จอ-แจ้น) ขณะนั้นพระโอรสองค์เล็ก (รามราช) มีพระปรีชาสามารถ ได้ขับช้างแซงขึ้นไปชนช้างชนะขุนสามชน ภายหลังจึงทรงเฉลิมพระนามพระโอรสว่า รามคำแหง ในยุคประวัติศาสตร์ชาตินิยม มีคติหนึ่งที่เชื่อกันว่า พระองค์ทรงเป็นผู้นำชาวสยามต่อสู้กับอิทธิพลขอมในสุวรรณภูมิ ทรงได้ชัยชนะและประกาศอิสรภาพตั้งราชอาณาจักรสุโขทัยขึ้น และทรงเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทย แต่ภายหลัง คติดังกล่าวได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่จริง เพราะพระองค์ไม่ได้เป็นปฐมกษัตริย์ อีกทั้งยังมีพ่อขุนศรีนาวนำถุม ครองสุโขทัยอยู่ก่อนแล้ว*ข้อมูลจากวิกิพีเดีย**อนุสาวรีย์ฯตั้งอยู่วัดกลางในตัวอำเภอนครไทย จ.พิษณุโลก มีความเชื่อกันว่าที่นี่เคยเป็นเมืองบางยางซึ่งเคยปกครองโดยกษัตริย์องค์นี้มาก่อน นอกจากนี้ด้านหลังอนุสาวรีย์ฯ ยังมีต้นจำปาขาว อายุกว่า 700 ปี ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้และยังออกดอกให้ได้ชื่นชมอยู่จนทุกวันนี้.