“ดาวเวียง” กับโรงแรมเวียงวิไล
ดาวเวียงกับ พน รุ่งเพ็ด สมัยทำเพลงชุดสาวสีเมือง
เมื่อวันครบรอบ ๕๐ ปีแห่งการจากไปของ สุรพล สมบัติเจริญ มีคนพูดถึงเพลง “เดือนหงายที่ริมโขง” และย้อนรำลึกโรงแรมเวียงวิไล และไนท์คลับเวียงราตรี
“โอ้เวียงจันทน์ แดนนี้ฉันเคยได้ไป โอ้เวียงวิไล แดนที่ฉันนั้นเคยได้พัก เจอะคนรักก็ที่เวียงราตรี”
บทเพลงท่อนนี้ ทำให้ต้องมาทบทวนความทรงจำ สมัยที่ข้ามโขงติดสอยห้อยตามนักข่าวอาวุโสไปสัมภาษณ์ท่านไกสอน พมวิหาน นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว เมื่อกลางปี ๒๕๓๓
เวลานั้น บังเอิญไปพบนักเขียนหนุ่มลาวสองคนคือ บุนทะนอง ชมไชผน กับ ดาวเวียง บุดนาโค ที่สำนักงานสโมสรนักเขียนหนุ่ม ถนนสุพานุวง นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของสายพัวพันในนามมิตรสหายนักเขียนสองฝั่งโขง
วันหนึ่ง “ดาวเวียง” พาไปเยี่ยมชมห้องพักใน “หอพักข้าราชการกระทรวงศึกษา” ตรงซอยกลางข้างวัดมีไช ย่านเดียวกับวัดองตื้อ มันเป็นอาคารเก่าที่รัฐบาล สปป.ลาว ยึดมาจากนายทุนชาวจีนแล้วดัดแปลงให้เป็นหอพัก
ดาวเวียงชี้ให้ดูป้ายตัวหนังสือเลือน ๆ คำว่า “เวียงวิไล” แล้วขยายความว่า ตึกหลังนี้เป็นโรงแรมเวียงวิไล ที่สุรพล สมบัติเจริญ เคยมาพักตอนที่ยกวงดนตรีมาเปิดการแสดงในกรุงเวียงจันทน์ ประมาณปี ๒๕๐๙ ส่วนไนท์คลับเวียงราตรี ก็อยู่ในโรงแรมแห่งนี้
ดาวเวียงชี้ให้ดูป้ายตัวหนังสือเลือน ๆ คำว่า “เวียงวิไล” แล้วขยายความว่า ตึกหลังนี้เป็นโรงแรมเวียงวิไล ที่สุรพล สมบัติเจริญ เคยมาพักตอนที่ยกวงดนตรีมาเปิดการแสดงในกรุงเวียงจันทน์ ประมาณปี ๒๕๐๙ ส่วนไนท์คลับเวียงราตรี ก็อยู่ในโรงแรมแห่งนี้
ช่วงที่ไปทำข่าวในนครหลวงเวียงจันทน์ พ.ศ.โน้น ก็มีไนท์คลับ “เวียงราตรีใหม่” อยู่ริมถนนล้านช้าง ซึ่งเป็นจุดที่คนไทยส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่า เป็นเวียงราตรีในบทเพลงเดือนหงายที่ริมโขง ของ สุรพล สมบัติเจริญ
สาเหตุที่ดาวเวียงต้องมาอาศัยหอพักข้าราชการอยู่ เพราะเป็นลูกชาวนาบ้านขี้นาก เมืองโขง แขวงจำปาสัก แบกความหวังช่วงสร้างสรรค์สังคมนิยมมาเป็นนักข่าว-นักเขียนอยู่ในนครหลวงเวียงจันทน์ ชีวิตก็ลำบากยากเข็ญ โชคดีที่ได้แฟนเป็นข้าราชการกรมพลศึกษา จึงได้สิทธิ์มาซุกหัวนอนอยู่ที่ตึกเก่า ๆ ข้างวัดมีไช
“เครื่องมือที่ฟ้าดินมอบให้ก็คือปากกาด้ามเดียว โดยมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการว่า นักเขียน นักข่าว นักประพันธ์ นักกวี และมีกล้องถ่ายรูปแขวนคอ” ดาวเวียงเคยบันทึกไว้ในหนังสือเพลงและกวี
ทุนชีวิตของดาวเวียงมีเท่านี้ เมื่อ สปป.ลาว จำต้องเปิดสู่ตลาดเสรี ยิ่งทำให้คนต้นทุนน้อยอย่างดาวเวียง รู้สึกเหนื่อยล้า อยากจะกลับบ้านเกิดหลายครั้งหลายครา
ดาวเวียงพลัดหลงเข้าสู่วงการเพลงลูกทุ่งบ้านนาลาวโดยไม่ตั้งใจ จากความสำเร็จของบุนค้ำ สิดทิเดด กับเพลงสาวบ้านเกิน ในปี ๒๕๓๙ ดาวเวียงเห็นช่องทางทำมาหากิน เลยตัดสินใจเลือกที่จะเขียนเพลงบ้านนาเป็นครั้งแรกในชีวิต
ก่อนหน้านั้น ดาวเวียงมีประสบการณ์ที่เจ็บปวดกับการแต่งเพลงเพื่อชีวิตให้กับวงร็อกลาว “เดอะแซฟไฟร์” จากปัญหาดังกล่าว ทำให้เขาหันหลังให้กับถนนสายวรรณกรรมไปพักใหญ่
ระหว่างนั้น มีวงดนตรีลูกทุ่งบ้านนาชื่อ “หนุ่มโกสิน” ของสามพี่น้อง “โกสิน-บุนเกิด-ดาวเพ็ด” ตระกูลหนูห่วง กำลังวางแผนทำอัลบั้มเพลงชุดที่ ๒ ให้บุนเกิด
ดาวเวียงจึงเสนอตัวเข้าไปเขียนเพลงให้สามพี่น้อง“หนูห่วง” และเมื่อเขาได้รับโอกาสจากนายทุนและสามพี่น้อง ก็ได้เขียนเพลง “สาวดงโดก” โดยอิงไปกับกระแสความดังของเพลงเกี้ยวสาวบ้านเกิน และสร้างพล็อตให้เป็นเรื่องความรักระหว่างสาวชาวนา กับบ่าวนักศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งชาติ (ดงโดก)
แล้วมันก็เป็นไปตามคาด เพลงสาวดงโดก ได้รับความนิยมไม่แพ้สาวบ้านเกิน ส่งผลให้อัลบั้มของบุนเกิด ทุบสถิติยอดขายเทป ๕ หมื่นตลับของชุดเกี้ยวสาวบ้านเกินลงไปทันที
ความสำเร็จของเพลงชุดสาวดงโดก นอกจากได้นักแต่งฝีมือเยี่ยมแล้ว ก็ยังเป็นการแจ้งเกิดของคนทำดนตรีเพลงบ้านนาลาวยุคใหม่ ชื่อ พน รุ่งเพ็ด
หนึ่งปีถัดมา อัลบั้มชุดฮักสาวสีเมือง ของบุนเกิด ก็ตามออกมาติด ๆ แต่คราวนี้สามพี่น้องหนูห่วง ย้ายสังกัดจากค่ายวีแอนด์ทีคอมพิวเตอร์ ไปอยู่ค่ายพีเค ของแม่ดู๋ เจ้าแม่แผงขายเทปรายใหญ่ของตลาดเช้าเวียงจันทน์
เพลงฮักสาวสีเมือง กลายเป็นเพลงสุดฮิตของดินแดนจำปา และส่งผลให้ยอดขายเทปทะลุหลัก ๒ แสนตลับอย่างเหลือเชื่อ
ว่ากันว่า สถิตินี้ยังไม่มีเพลงบ้านนาลาวเพลงไหน ลบสถิติเพลงฮักสาวสีเมืองลงได้ แม้แต่ในยุคซีดีที่มีนักร้องเพลงบ้านนาแจ้งเกิดมากมาย ค่ายเพลงเยอะแยะไปหมด
นับแต่สิ้นยุค ก.วิเสส และวงราบอากาศวังเวียง ก็มียุคของ “บุนค้ำ-บุนเกิด” ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นยุคทองของเพลงบ้านนาลาวระบอบใหม่
มิหนำซ้ำ อิทธิพลเพลงบ้านนาแบบดาวเวียง ยังไหลบ่าไปสู่ถิ่นฐานคนลาวในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรป ทำให้นักร้องลาว ทั้งชาย-หญิง ตบเท้าไปขุดทองกันเป็นว่าเล่น
กรุงเวียงจันทน์ ช่วงปี 2509-10 สมัยสุรพล สมบัติเจริญ มาร้องเพลง
“ฮักสาวสีเมือง” และอีกหลาย ๆ เพลงที่ฮิตเวลานั้น ถูกเรียกว่าเพลงแบบดาวเวียง คือมีกลิ่นอายลูกทุ่งอีสานค่อนข้างสูง
เพลงแบบดาวเวียง มีอิทธิพลต่อเพลงบ้านนาลาวอยู่หลายปี แถมโด่งดังไปถึงอเมริกา บรรดานายทุนชาวลาวในสหรัฐ ก็ว่าจ้างให้เขาแต่งเพลงป้อนนักร้องลาว ทั้งที่อยู่ในมาตุภูมิล้านช้าง และดินแดนลุงแซม
นักเขียนอิสระผู้กำปากกาหาเลี้ยงชีพ จึงได้เงินดอลลาร์มาซื้อที่ดินปลูกบ้าน และนับจากนั้น ครอบครัวดาวเวียงได้อำลาห้องเก่า ๆ หอพักข้าราชการ ไปปักหลักอยู่บ้านหลังใหม่ชานนครหลวงเวียงจันทน์
ทุกวันนี้ ตึกหลังเดิมที่รัฐยึดมาจากนายทุนจีน เจ้าของโรงแรมเวียงวิไล ก็ยังเป็นสมบัติของกระทรวงศึกษา และกีฬา
อยากไปย้อนอดีต “เดือนหงายที่ริมโขง” ก็แวะไปแถวข้างวัดมีไช จะเห็นตึกโรงแรมเวียงวิไลซุกตัวอยู่ข้างโรงแรมดวงเดือนนั่นเอง
ดาวเวียง