มั น ก ะ โ พ ด
ณ “ ทางอีศาน” เมื่อประมาณ ๗๐ ปี ล่วงมาแล้ว…
พ่อเฒ่าหนูเป็นผู้ใหญ่บ้าน แกมีลูกสาวคนเดียวชื่อ คูณ หน้าตาสวยติดระดับพอเข้าประกวดเป็นเทพีได้ หนุ่มในหมู่บ้านใครเห็นก็อยากจีบอยากคุย แต่ไม่กล้าเข้าใกล้เพราะพ่อเฒ่าหนูแกหวงลูกสาวมาก เว้นแต่มีหนุ่มที่เป็นข้าราชการมาจีบมาคุย แกจะเปิดโอกาสให้ แกคิดว่าถ้าลูกสาวได้ผัวเป็นข้าราชการมันจะได้ดีไปหลายอย่าง ค่านิยมของผู้คน “ทางอีศาน” ในสมัยก่อนก็เป็นเช่นพ่อเฒ่าหนูนั่นแหละ แม้แต่คำอวยพรยามผูกแขนบายศรี ก็มักจะว่า “ให้เจ้าได้ผัวเป็นเจ้าเป็นนายเด้อ อีนาง”… หรือ “ยามยังน้อย ให้เจ้าหมั่นเฮียนคุณ บุญเฮามี สิยศสูงเหลือกํ้า ไผผู้เพียรหาได้ ผัวครูมาซ้อนบ่อน หมู่ก๋องพากั๋นหย้องสะอ๋อนเจ้าผู้ต่อนบุญ”
ครูค้ำ ครูหนุ่มที่ทางการส่งมาให้ทำการสอนในโรงเรียนประชาบาลประจำหมู่บ้านคำเกิ้ม หมู่บ้านที่พ่อเฒ่าหนูอาศัยอยู่นั่นแหละ…ยุคนั้น สามัคยาจารย์ มีข้อตกลงว่า ใครเรียนเก่ง มีความรู้แน่น เมื่อเรียนจบหลักสูตรประถมศึกษาแล้วจะให้ได้วุฒิครูมูล (ครูเบื้องต้นสอนขั้นพื้นฐาน) ครูคํ้าเข้าข่ายเป็นคนเรียนดี มีความรู้แน่น เมื่อไปสอนที่หมู่บ้านคำเกิ้ม ครูคํ้าก็สร้างมนุษยสัมพันธ์กับชาวบ้าน และผู้ปกครองนักเรียน จนเป็นที่รู้จักรักใคร่ของชาวบ้าน และในระยะต่อมา ครูคํ้าก็รู้จักกับ คูณ ลูกสาวของพ่อเฒ่าหนูเข้าจนได้ พ่อเฒ่าหนูก็ไม่ว่า เพราะครูคํ้าเป็นข้าราชการ หน้าตาดี บุคลิกดี อีกทั้งยังเป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดี เข้ากับผู้คนได้ง่าย พ่อเฒ่าหนูพิจารณาแล้วบอกว่า “เข้าตากรรมการ” ก็เป็นที่น่าอิจฉาของหนุ่ม ๆ ในหมู่บ้าน จนหนุ่มบางคนเกิดสูน(โกรธ) ครูคํ้า ถึงขั้นออกอาการแบบ “หมาหวงก้าง” ก็มี
คืนหนึ่ง…ครูค้ำ นุ่งโสร่งไหมผืนงามไปบ้านสาวคูณ นั่งคุยกันตามประสาผู้บ่าวผู้สาว พ่อเฒ่าหนูกับเมียก็เข้าไปนอน เปิดโอกาสให้ลูกได้อยู่คุยกันไป จนเวลาล่วงเลยไปค่อนคืน และแล้วครูคํ้ากับสาวคูณก็ได้ยินเสียงหนุ่ม ๆ ในหมู่บ้านคุยกันอยู่หน้าบ้านเสียงลอดมาถึงหู ดูเหมือนว่าจะมีเหตุการณ์ไม่น่าไว้วางใจ ถ้าครูคํ้าเดินกลับไปที่พักตอนดึกสงัดอย่างนี้อาจมีหนุ่มในหมู่บ้านดักทำร้ายได้ สาวคูณจึงขอให้ครูคํ้านอนที่บ้านสักคืน รุ่งเช้าจึงกลับไปจะได้ปลอดภัย ครูคํ้าก็เห็นด้วย สาวคูณจัดแจงปูที่นอนให้ครูคํ้าที่เฮือนเซีย (โถงบ้าน) ส่วนสาวคูณก็เข้าไปนอนในบ้านกับพ่อแม่
ครูคํ้าแกมีนิสัยชอบนอนชันเข่าขึ้นทั้ง ๒ ข้าง ไม่ชอบนอนเหยียดขาราบกับพื้น จนเป็นนิสัยที่แก้ไม่หาย ในยุคสมัยนั้นก็ไม่นิยมใส่กางเกงในด้วย เมื่อครูคํ้านอน แกก็นอนชันเข่าทั้ง ๒ ข้างขึ้น ตามความเคยชิน เมื่อหลับสนิท โสร่งก็ตกลงไปกองอยู่ที่เอวและหน้าท้อง ของลับก็กลายเป็นของที่เปิดเผยทันที ! ยิ่งอากาศเย็นดีก็ยิ่งหลับสบาย จนถึงรุ่งเช้าครูคํ้าก็ยังนอนอยู่ท่าเดิม ครูคํ้าแกเป็นคนขี้เซาซะด้วย ! นอนหลับแล้วไม่ตื่นง่าย ๆ แม้จะมีเสียงดังรบกวนก็ไม่ค่อยรู้สึกตัวง่ายเหมือนชาวบ้านเขา
รุ่งเช้าแม่เฒ่านอง เมียพ่อเฒ่าหนูลุกจากที่นอนออกมาที่เฮือนเซียเหลือบไปเห็นครูคํ้า นอนแบบเปิดเผยเห็นทุกอย่างจนน่าเกลียด ก็ร้องอุทานออกมาว่า “มันกะโพด !” (มันเกินไป)
พ่อเฒ่าหนูได้ยินแม่เฒ่านองพูดกระแทกเสียงก็นึกว่าเมียเว้ากระทบตนว่านอนตื่นสาย จึงรีบลุกออกไปยังเฮือนเซีย แล้วพ่อเฒ่าหนูก็มองเห็นครูคํ้านอนท่าเดิม เมื่อเห็นภาพลามกก็อุทานออกมาอีกว่า “มันกะโพด !”
ฝ่ายสาวคูณนอนอยู่ในห้องได้ยินเสียงพ่อว่า…มันกะโพด ก็รีบลุกออกจากที่นอน เข้าใจว่าพ่อบ่นให้ตนเอง ว่าคุยบ่าวดึกจึงตื่นสาย เมื่อสาวคูณออกมายังเฮือนเซีย เห็นผู้บ่าวครูนอนเปิดเผยจนน่าเกลียดอีก ก็กระแทกเสียงอุทานเหมือนกับที่พ่อแม่อุทานว่า “มันกะโพด !”
เมื่อเสียงกระแทกจากปากสาวดังมาก…ครูคํ้าได้ยินถึงกับสะดุ้งตื่นขึ้น ขณะที่เข่าก็ยังชันอยู่ท่าเดิม ! ครูคํ้ามองไปที่หว่างขาของตัวเอง เห็นสมบัติที่พ่อให้มาเต็มตาก็อุทานออกมาดังลั่นว่า …
“ห่วย…กูนี่ มันกะโพด !”