“การออกบิณฑบาตเป็นการโปรดสัตว์แก่ พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย พระสงฆ์อันเป็นสาวก ของพระพุทธเจ้าสามารถดำรงอยู่ได้ เหล่า พุทธศาสนิกชนนั้นเล่าก็ได้รับการอภัยทาน อิ่มบุญ อิ่มใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย” ผมกับท่านเข้าใจในคำเทศนาข้อนี้ดี การถือศีลกินทานของอุบาสิกาก็เพื่อ ต้องการได้กุศลบุญ นำพาจิตใจให้สะอาดใส บริสุทธิ์ พบกับความสุขทั้งในภพนี้และภพหน้า คน ที่ใส่บาตรล้วนอธิษฐานอยู่ในใจ ไม่ใช่ความงมงาย หรอก ปรารถนาใฝ่ฝันในสิ่งใด ต่างก็ฝากผีฝากไข้ ไว้กับความเชื่อที่ยึดถือกันมาแต่บรรพชน นับแต่ อริยสงฆ์องค์เจ้าออกจาริกแสวงธรรมย่ำไปทั่วพุทธ พิภพ ส่วนผมกับท่านนั้นเล่า ท่องยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง เอวะ เมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ อิจทิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิป ปะเมวะ สะมิชฌะตุสัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา มะณิ โชติระโส ยะถา ได้จนขึ้นใจในคำอนุโมทนารัมภ คาถา อันมีความหมายประดุจความกว้างใหญ่ไพศาลเกินกว่าคำพรใด ๆ จะเปรียบเปรย อนิจจา
“ใครไม่เชื่อเรื่องบุญเรื่องบาปเหมือนไม่ได้ บวช” ท่านว่า
“ผมเชื่ออยู่หรอกครับเรื่องบุญเรื่องบาป เอ๊ะ นี่ท่านจะกล่าวหาว่าผมไม่เชื่ออย่างนั้นรึ”
“โอย ไม่ คุณเชื่อ ผมเชื่อหัวเด็ดตีนขาด”
“คงใช่อยู่หรอกนะ ถ้าท่านจะหมายถึงพระ บวชใหม่”
ท่านยิ้มหน้าตาเฉย หรี่ตาและกัดฟันแน่นจน กรามโปน “ผมหมายความว่าบุญบาปมีจริง นรก สวรรค์ก็มีจริงด้วย”
“ถึงผมจะเชื่อ ยังไม่มีใครเห็นนรกสวรรค์นี่” ผมพูดออกไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า
“หึ หึ” ท่านทำเสียงในอกเหมือนคนจะ หัวเราะ ใช่ – ใบหน้ากับแววตาของท่านเฉยชา มอง ให้ดี ๆ จะเห็นถึงความเหี้ยมเกรียม ผมถึงกับเย็น เยือกในหัวใจ ยกแก้วน้ำชากรุ่นไอขึ้นจิบ
“ใครไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์เหมือนไม่ได้บวช” ท่านว่าอีก
ผมแย้ง “ท่านไม่เข้าใจผิดหรอกรึ เราจะเชื่อ ได้ยังไงในเมื่อเรายังไม่เคยเห็นนรกหรือสวรรค์”
“พิโธ่” ดูท่านจะหงุดหงิด จิบน้ำชาร้อน ๆ ก่อนที่จะหายใจเฮือกใหญ่ “นรกหรือเรา สวรรค์ คือเรา ผมไม่ได้พูดถึง พระพุทธเจ้าเกิดมาเดินได้ เจ็ดก้าว จริงหรือไม่”
ผมยิ้มให้ความทันคนของท่านแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านครับ” ผมกระซิบเบา ๆ “ท่านคงเชื่อแน่ ๆ พระพุทธเจ้าเดินได้เจ็ดก้าว ผมไม่เชื่อหรอก”
“ชิบหาย” ท่านตบหน้าขาดังป๊าบ “พระพุทธเจ้าสอนให้คนมีเหตุผล แต่บางครั้ง บาง อย่างอยู่เหนือความคาดหมาย”
“ว้า” ผมหายใจพรู “แล้วผมกับท่าน ทำไม ต้องเถียงกันให้เสียเวล่ำเวลา จริงมั้ย”
“เออ ลุก ๆ ตามผมมานี่ เรามาระดมสมอง กันว่าจะทำยังไงดี”
หมาเพศเมียสีแดงตัวหนึ่งกำลังนอนแอ้งแม้ง ให้ลูก ๆ ดูดนมอยู่ในซอกเงาระหว่างโอ่งแดงขนาด ใหญ่สองใบ ดูแม่หมาอันซูบโทรมจนซี่โครงบาน แล้ว ผมตั้งคำถามอยู่ในใจ มันเอาเลือดเนื้อจาก ไหนให้ลูกมันกิน หรือมันคิดว่าลูกคือเลือดเนื้อและ ชีวิต จิตใจของแม่ที่มีต่อลูกช่างบริสุทธิ์งดงามเกิน จะกล่าว ไฉนมีข่าวคราวแม่ใจดำอำมหิตทิ้งลูกได้ ลงคอหนอ ผมอดสูใจอย่างบอกไม่ถูก ท่านกำลัง จะทำอะไร ผมครุ่นคิด ท่านมองหมาแม่และลูกอีก เป็นพรวนด้วยใบหน้าเคร่งขรึมเหมือนคนใช้ความ คิด แววตาของท่านร้อนใจแต่ไม่อาทรเลย เราเคย เลี้ยงหมาจรจัดไว้หลายตัว จากนั้นมันก็ออกลูก ออกหลานตามมาให้วุ่นวายจนเป็นที่น่ารำคาญ ของใครหลายคน เหลือเพียงหมาห้าตัวเท่านั้น หลังจากที่ท่านกับผมจำหน่ายออกด้วยการแลกถัง บ้าง ให้คนอื่นไปเลี้ยงบ้าง แต่ที่น่าเศร้าคือหมาโดน ยาเบื่อโดยไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำหมาตัวนั้นร้าย เห่า กัด สารพัดความดุและดื้อ ระหว่างการวางยา เบื่อกับการแลกถัง ผมขอเลือกอย่างหลังดีกว่า แม้ว่าเขาจะนำมันไปต้มยำทำแกงที่ไหนก็ตาม ไม่ได้เห็นด้วยตานี่ ผมไม่อยากนึก
“ปล่อยมันไว้อย่างนี้ดีแล้วครับ” ผมตรงรี่ไป นั่งยอง ๆ อยู่ข้างโอ่งแดง “แหม น่าสงสารออก ดู สิน่ารักน่าชังทั้งนั้น”
“โธ่” ท่านโอดครวญ “เห็นทีต้องแลกไอ้ดำกับกะละมังสักใบแล้วล่ะ เผื่อไอ้พวกนี้มันโตขึ้นมา จะเพิ่มภาระ”
“ไอ้ดำมันเชื่องนะท่าน” ผมหันไปมองไอ้ดำนอนอยู่ใต้ร่มไม้ หมาสามตัวกำลังหยอกล้ออยู่ กลางลานทราย ปะปนกับเด็ก ๆ ไม่กี่ขวบนั่งกอบ ทรายเล่นไปด้วยกัน ผมเคยเห็นเด็กบางคนเล่น คลุกฝุ่นกับหมาแล้วอิ่มใจแท้ ๆ
ท่านพูดขึ้น “ยั้วเยี้ยอย่างนี้ใครจะเลี้ยงไหว เราจะทำกับมันยังไงดี”
“ท่านกำลังคิดอะไรอยู่รึ” คำพูดของท่านนั้น สั่นคลอนจิตใจผมจนหวาดระแวง
“เออ” ท่านพูดด้วยน้ำเสียงอันดุดัน “ผมเคยฆ่าหมานะ”
“อะไรนะ” ผมตกใจ “ท่านพูดจริงรึ”
“จริง” น้ำเสียงที่เน้นหนักและท่าทีอัน แข็งกร้าวของท่านทำให้ฉุกคิดได้อะไรบางอย่างอยู่ ในใจ นานแล้วมันไม่หายไปจากความทรงจำของ ผม – ใครวางยาเบื่อหมา
“อย่าคิดอะไรมากเลยท่าน หมาสี่ตัวนั่นแค่ โยนปั้นข้าวสักก้อนให้มันก็กิน มันโตมาก็เลี้ยงไป ตามมีตามเกิด ชะตาของมันจริงมั้ย ดูสิ” ผมชี้นิ้ว กราย ๆ “มันพากันดูดนมแม่เอาเป็นเอาตาย ดูแม่มันสิ มันจะลุกไหวไหมเนี่ย แหม มันเลี้ยงลูก ด้วยเลือดเนื้อจริง ๆ นะท่าน”
“เอาเถอะผมเชื่อ ผมไม่ชอบเลย รู้แต่ว่าหมา พวกนี้สกปรก” ท่านว่า
“คนอาบน้ำทุกวันยังสกปรกเลย ดูสิ มัน สะอาดโดยไม่ต้องอาบน้ำ”
“เอาละ” ท่านหันหลังให้ “จะไปให้อาหาร ปลา ดูด้วยว่าไอ้เด็กขี้ขโมยทิ้งรอยจับปลาไว้หรือ เปล่า”
“ครับ” ผมยังจ้องแม่หมากับลูก ๆ ไม่วางตาหลังกำแพงเป็นคลองสายเล็ก ๆ ที่ไหลผ่าน มีศาลา ไม้เล็ก ๆ กับสะพานยื่นออกไปริมน้ำท่านให้ อาหารปลาเป็นเวลาจนติดนิสัย เด็กขี้ขโมยคนหนึ่ง แอบมากระซิบผมอย่างขบขันว่า “ท่านโง่รู้หรือ เปล่า วันก่อนผมมาตกปลาที่ท่าน้ำได้ปลาเป็น กิโลฯ ท่านมัวทำอะไรอยู่”
“อ่านหนังสือน่ะสิ” ผมหัวเราะอึกอักในลำคอ
“ท่านอ่านหนังสืออะไรครับ” เด็กคนเดิม ซักผม
“หนังสือธรรมะ” ผมตอบห้วน ๆ ยิ้มกริ่มอยู่ ในใจ
ตาของเด็กเบิกโพลง “หนังสือธรรมะ”
“ใช่ หนังสือธรรมะ” พูดจบเด็กขี้ขโมยกับขี้ สงสัยหัวเราะจนท้องแข็ง
“ทำไมเอ็งขำอะไรนักวะ”
เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างที่คิด “ทำไมท่าน ไม่แบ่งปลาให้พวกเรากินบ้างล่ะ”
“แน่ะ ถามได้ ท่านโปรดสัตว์รู้หรือเปล่า”
“โปรดสัตว์ก็น่าจะเผื่อแผ่” พูดจบ ผมกลับ อึ้งก่อนที่จะเอ่ยขึ้น
“ธรรมะไม่ได้สอนให้ใครลักเล็กขโมยน้อย เอ็งรู้มั้ย”
“แล้วธรรมะสอนอะไร” ยิ่งไปกันใหญ่ ผมอึ้งอีก
“ธรรมะก็สอนให้เป็นคนดีสิวะ” ด้วย อารมณ์หงุดหงิดจึงต่อว่าต่อขานแกเล็กน้อย “เฮ้ย เอ็งอย่าเรื่องมากเจ้าเปี๊ยก เอาเป็นว่าข้าจะไม่เอา เรื่องนี้ไปบอกใคร อย่านา คราวหลังถึงเอ็งจะไม่มา พูดมุสา ข้าจะบอกท่านเอาเรื่องเอ็งเสียให้เข็ด…”
พูดไม่ทันจบเด็กหัวขโมยก็โกยแนบ แถม ด้วยมุสาแปลบถึงหัวใจ
“ท่านโกหก” เสียงของเด็ก ๆ ดังมาจาก คลอง ผมผละจากหมาแม่ลูกไปหาไอ้ดำมันนอนหายใจพะเงิบพะงาบเหมือนคนถูกครอบด้วยท่อออกซิเจน ใช้ตีนเขี่ยมันเบา ๆ จึงลืมตางัวเงียโงหัวขึ้นมองผมด้วยแววตาขุ่น ๆ อยู่ในหัวใจของมัน ผมเชื่อว่าท่านจะเอาจริงเป็นเคราะห์ร้ายของไอ้ดำ
เสียแล้ว เมื่อถูกจับยัดใส่กรง พ่อค้าหัวใสแลกกับ ถังหรือกะละมังหนึ่งใบเอาไปทำอาหารเปิบพิสดาร ที่ไหนก็ไม่รู้ คิดแล้วน่าสงสาร…
“ไป ไป๊” เสียงของท่านตะโกนโหวกเหวก ขณะผมกำลังใช้ตีนหยอกไอ้ดำอย่างน่ารักน่าเอ็นดู มันเป็นหมาไทยพื้นบ้านตัวล่ำสัน ขนเกรียมเป็น มันเลื่อม ท่านบอกผมว่า “ไอ้ดำมันเลี้ยงง่าย ถึงได้ เอามันไว้” จริงอย่างที่ท่านพูด หมาอีกสามตัวล่ะ ผมกวาดสายตาเห็นมีแต่เด็ก ๆ มันคงออกไปเล่น ข้างนอก แล้วนี่พ่อของลูก ๆ อีแดงจะเป็นไอ้ดำหรือไอ้สามตัวนั่นเทียว รึอีแดงจะเหมาตัวเดียวถึง สี่ตัว ลูกมันถึงได้ด่างได้สีจนแยกไม่ออก ที่แน่ ๆ มี สีดำด่างอยู่บ้างล่ะ แดงด่างอย่างแม่มันก็มีด้วย อนาถแท้ ได้แต่ภาวนาอย่าให้อะไรมาเบียดเบียน พวกมันเลย
ผมเตะไอ้ดำเบา ๆ มันจึงลุกแล้ววิ่ง เหยาะ ๆ จากไป
“ขี้เซาอยู่อย่างนี้ กิน ขี้ ปี้ นอนนะมึง” ผมรำพึงอยู่ในใจ ได้ยินคำ “เตะหมา เตะหมา” มา จากเด็ก ๆ หิริโอตตัปปะผุดขึ้นในใจฉับพลัน
“ท่านโกหก” ผมได้ยินเสียงเด็กคนเดิมดังมา จากคลองฝั่งโน้น มันตะโกนเพื่อยั่วโทสะท่านหรือ อะไรกันแน่หวา ส่วนท่านนั้นได้แต่ตะโกนอยู่คำเดียว “ไป ไป๊”
วางหนังสือไว้บนม้าหินอ่อนจึงเดินไปหาอี แดงกับลูก ๆ อีกครั้งหนึ่ง มันพยายามยันกายหนี ลูก ๆ ที่ไม่ยอมปล่อยเต้านมแม่ มันคงหมดแรงหลัง จากปล่อยให้ลูก ๆ ขยำนมกันยกใหญ่ ที่แน่ ๆ อี แดงจะเป็นหมาเพศเมียตัวสุดท้ายที่จะได้อยู่ที่นี่ เพราะท่านลั่นวาจาหลายครั้งแล้วที่จะไม่รับเลี้ยง สัตว์ทุกชนิด นอกเสียจากว่ามันจะเป็นสัตว์จรจัด พลัดหลงทางมาจากไหน อย่างนั้นก็เถอะ มันจะ มาจากไหนท่านก็ไม่อยากให้มา
“อีแดง ระวังลูก ๆ ของมึงไว้ให้ดี” ผมอุทานเสียงหลงออกมาอย่างลืมตัวจาก มโนธรรมสำนึก “อ้าวท่านเองหรอกรึ” สติสัมปชัญญะกลับคืนมาหาผม ค่ำแล้ว ในความมัวซัวท่านเดินถือขันตรงมา กลิ่นสาบสางของเหยื่อ ปลาโชยหึ่ง
“ใจลอยอะไรอีกแล้ว อาบน้ำเสร็จแล้วมาดู รายการตามหาแก่นธรรมด้วยกัน” ท่านพูด
“ครับ แต่ เออ…” ผมพูดตะกุกตะกัก “ทำไม เด็กคลองฝั่งโน้นถึงได้ตะโกนแต่คำท่านโกหกล่ะ ครับ”
“อย่าไปถือสามันเลย พวกเด็กเกเร อย่า พลาดนาตามหาแก่นธรรมวันนี้เขาจะคุยกันเรื่อง การขอบิณฑบาต หึ ๆ” เสียงสะท้อนออกมาจาก อกอันผายกว้างของท่าน “จะได้ขอบิณฑบาตไม่ สุ่มสี่สุ่มห้า”
“ท่านครับท่าน” ไม่ทันไรท่านก็เดินลับไปใน ความมืดของลานทรายเสียแล้ว
ผมรู้สึกเป็นกังวลจึงดูทีวีไม่สนุกนัก รายการ ตามหาแก่นธรรมคืนนี้ไม่มีอะไรมาก โทรศัพท์ จาก ผู้ชมโทรเข้าไปถามการขอบิณฑบาตเอานั่นเอานี่ ของพระสงฆ์องค์เจ้าเพื่อดับทุกข์ให้กับสิ่งเหล่านั้น จะเรียกว่าเป็นการโปรดสัตว์อย่างเดียวกันใช่หรือ ไม่ ทันทีที่จบรายการ ท่านหันมาคุยกับผม
“พูดง่าย ๆ มันคือความเมตตากรุณาต่อสัตว์ ทั้งหลายใช่ไหม” ถามอย่างนี้ผมไม่อาจตอบสุ่มสี่ สุ่มห้า พระพุทธเจ้าสอนให้คนมีเหตุผล อย่างเรื่อง บุญเรื่องบาป ใครจะเชื่อก็เชื่อ ใครไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ แล้วแต่เหตุผลของใครของมัน บาปกรรมมีจริงหรือ ไม่ ใครบวชแล้วไม่เชื่อกระไรอยู่ ใครบวชแล้วไม่ เชื่อเรื่องบุญเรื่องบาป เหมือนไม่ได้บวช ชวดค่า อย่างยิ่ง นี่คือคำพูดของท่าน – ผมจำได้ ก่อนที่ผม จะเดินกลับไปพักผ่อน ท่านยังมิวายบ่นอุบอิบ “หมานั่นมันจะเห่าจะหอนอะไรนักหนา คุณว่า ไหม” ผมกลับพะวงถึงอีแดงกับลูก ๆ ของมัน คือ เลือดคือเนื้อและชีวิต
ก่อนนอนผมเปิดหนังสือทวนความหมาย ของคำอนุโมทนารัมภคาถา “ห้วงน้ำตาที่เต็มย่อม ยังสมุทรสาครให้บริบูรณ์ได้ฉันใด ทานที่ท่านอุทิศ ให้แล้วแต่โลกนี้ ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ผู้ที่ละโลก นี้ไปแล้วฉันนั้น ขออิฐผลที่ท่านปรารถนาแล้วตั้งใจแล้ว จงสำเร็จโดยฉับพลัน ขอความดำริทั้งปวงจง เต็มที่ เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญเหมือนแก้วมณีอัน สว่างไสวควรยินดีฯ” ผมรู้สึกกระวนกระวายใจ บอกไม่ถูก ล้มตัวลงนอนจนถึงเที่ยงคืนก็ยังไม่หลับ มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ ๆ ในคืนนี้ หมาห้าตัวกับ ลูกเล็ก ๆ อีกครอกหนึ่งเป็นดั่งลูกหลานของผมเอง ไอ้ดำถูกจับแลกถังจริง ๆ ล่ะก็ ผมจะสวดมนต์อุทิศ ส่วนกุศลหามันแล้วให้ท่านกล่าวคำอนุโมทนารัมภคาถานี้แก่ผม อย่างน้อยก็เป็นการเรียกขวัญและ กำลังใจให้กับความเมตตาปรานีแก่สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย
ตีสองแล้ว ผมตัดสินใจออกมาข้างนอก ท่ามกลางความมืดดำของคืนแรม ดวงดาวกระจาย เกลื่อนอยู่เต็มท้องฟ้าสว่างไม่พอ นั่นกลุ่มดาวลูกไก่ อันมีตำนานแห่งการสละชีพตายไปตามกัน เดิน ผ่านต้นจำปาหอมกรุ่น เสียงหมาร้องงิ้ด ๆ ไปถึง ได้รู้ว่าบัดนี้อีแดงนอนอยู่เพียงลำพัง
“อีแดง กูบอกมึงแล้วรักษาลูกไว้ให้ดี ๆ” ผม อุทานออกมาด้วยความตกใจ มันคงร้องงิ้ด ๆ ผุด ลุกผุดนั่ง ทำจมูกฟุดฟิดหากลิ่นสาบกายของลูกมัน ใครกันช่างใจร้ายแท้ ผมขอบิณฑบาตลูกหมาที่ หายไปทั้งครอกได้ไหม อยากรู้เหลือเกินใครเป็น คนขโมยลูกหมาและมันจะเอาไปทำอะไร ดูพ่อแม่ มันแล้วก็พื้น ๆ ไม่มีสายพันธุ์ จะเอาไปเลี้ยงหรอก หรือ ไม่น่าจะใช่ คนที่พรากไปจากอกอีแดงช่าง บาปหนาสาโหด วางยาเบื่อไม่พอ ยังต้องทำเช่นนี้ อีกหรือ ตัดสินใจกลับเข้าไปนอนแต่ก็นอนไม่หลับ จนรุ่งสาง ดูเหมือนท่านไม่อาทรร้อนใจกับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซ้ำท่านยังพูดออกมาอย่างมั่น หมายจะแลกอีแดงอีกตัว
“ไม่ต้องห่วงหรอกท่าน อิฉันกรวดน้ำถึงมัน แล้ว” ยายพริ้มพูดกับผม
“อนิจจัง…” ท่านเอ่ย
“อิ่มบุญเถิดยายพริ้ม” ผมกล่าว “ทานที่ยาย ให้นี้ก็เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ เหมือนแก้วมณีอัน สว่างไสวควรยินดี”
“ว่าไงเจ้าคะ ได้ยินไม่ถนัด” แกแก่มากแล้ว
แต่เดินไปไหนมาไหนได้สะดวก
“เออ ๆ” ท่านพูดเหมือนรำคาญ “กรวดน้ำแล้วหมามันคงไม่รับ”
“อะไรหรือคะ มณีใส ๆ” ยายพริ้มเริ่มเลอะ เลือน
ผมพูดอีกรอบเป็นคำสอน “ธรรมะไม่มีมณี ใส ๆ หรอกยาย เป็นแค่คำเปรียบเทียบคุณงามความดีที่พวกเราทำลงไป สิ่งที่เราได้กลับคืนมาจากผลการกระทำก็คือมณีใส ๆ นั่นแหละ จิตใจจะได้ใสบริสุทธิ์ มีแต่สุขไม่มีทุกข์”
“เจ้าค่ะ อิฉันเชื่อ”
ผมกับท่านนั่งคุยกับยายพริ้มประหนึ่งรายการตามหาแก่นธรรม แม่ลิ้มกับแม่บุญปลูก กำลังล้างถ้วยชามอย่างโฉ่งฉ่างที่ชานเรือน คุยกันเบา ๆ เกี่ยวกับลูกหมาที่หายไป ผมได้ยินแว่ว ๆ ระหว่างความเงียบ
“เมื่อวานมีหมาเน่าลอยน้ำไปติดสวะที่ท้ายคุ้งนู้น”
ตอนบ่ายแก่ ๆ ท่านนอนหลับพร้อมกำหนังสือธรรมะคามือ ผมเดินไปที่ศาลาริมคลอง หว่านเหยื่อให้กำหนึ่ง ปลาก็ยั้วเยี้ยแย่งกันชุลมุน
“เฮ้ย ๆ” ผมร้องเรียกเด็กหัวขโมยที่ ด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ฝั่งโน้น “มานี่หน่อยซิ ข้ามีอะไร จะถาม” ไม่ทันขาดคำแกก็กระโดดตูมลงน้ำหมด เหยื่อปลาจึงสลายหายไปในห้วงน้ำสีขุ่น น้ำในคลองไหลเอื่อย ทุกวันสวะจะไม่อยู่ในรูปเดิม
“ว่าไงครับ” แกปีนขึ้นสะพาน “ผมไม่ได้มา ขโมยปลานะครับ”
“นั่งนี่ เอ็งพอรู้มั้ย ใครขโมยลูกหมา”
“ลูกหมาไหนครับ” สีหน้าเด๋อด๋าของแก คล้ายเสแสร้ง
“เอาน่า อีแดงมันออกลูกได้หลายวันแล้ว”
“อ๋อ” แกถึงบางอ้อ “ถึงว่า อีอุ๋มมันถึงวอน แม่ให้มาขอหมาที่วัดไปเลี้ยง”
“เออ รู้มั้ยใครขโมย”
“ผมไม่ได้ขโมยนะครับ” กระซิบเบา ๆ ด้วยอาการเจ้าเล่ห์
“ไม่ ไม่ เอ็งเห็นซากหมาที่ไหนมั้ย” ผมคาด คั้นเอาให้ได้
“มีแต่หมาเน่าลอยน้ำไปไกลสุดคุ้งเชียว ครับ”
“อะไรอีก เอ็งว่ามาซิ”
“เออ” แววตาของแกประกาย “เมื่อเที่ยง ผมไปตกปลาท่าโน้น เหม็นหึ่งเชียวครับ”
“หมารึ” คำบอกเล่าของเด็กหัวขโมยอยู่ใน ความคาดหมายของผมแน่แล้ว
“ใครไม่รู้ครับ จับลูกหมายัดใส่กระสอบแล้ว โยนถ่วงน้ำ” สีหน้าของแกจืด ๆ
ใจไม้ไส้ระกำแท้ ๆ ผมเดินกลับไปหาท่าน คำพูดของเด็กหัวขโมยยังก้องอยู่ในหัวผมด้วย ความหดหู่
“หลวงพี่รู้ไหม ผมจะบอกให้ หลวงพ่อโกหก ชาวบ้าน แถมยังจับลูกหมายัดกระสอบถ่วงน้ำด้วย”
ผมไม่อยากเชื่อว่าท่านจะทำได้ลงคอ ป่าน นี้ยายพริ้มคงรู้แล้วว่าใครจับลูกหมาถ่วงน้ำ… อนิจจา