COVIT19 – เรียนรู้จากสถานการณ์ (20/3/20) (2)
@ “อยู่บ้านเถอะ” กลายเป็นฮาสแท็คที่โด่งดังที่สุดทั่วโลกไปแล้ว เมื่อมีการแพร่ไปในโซเชียลมีเดีย เริ่มจากแพทย์พยาบาลที่ชูข้อความที่เขียนบนกระดาษว่า “เราอยู่ที่นี่เพื่อท่าน ขอให้ท่านอยู่ที่บ้านเพื่อเรา”
ดูเหมือนว่า ไม่มีมาตรการใดดีเท่ากับความร่วมมือของประชาชนที่จะไม่ออกไปไหนถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการรับและแพร่เชื้อไวรัสนี้ การปิดเมืองและห้ามออกจากบ้าน จะเป็นมาตรการ “สุดท้าย” ที่หลายประเทศเริ่มใช้ เพราะ “ขอร้อง” อย่างเดียวไม่พอ ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ร่วมมือ ซึ่งทำให้การแก้ปัญหาโดยรวมไม่ได้ผล
@ อิตาลีวิปโยค สถานการณ์วิกฤติสุด ผู้ติดเชื้อ 40,000 ติดเพิ่มวันเดียว 5,300 ตายรวม 3,400 ตายใหม่วันเดียว 427 คน แคว้นลอมบร์เดีย ที่มีเมืองมิลานเป็นเมืองหลวงหนักที่สุด ทหารต้องนำรถทหารมาช่วยขนศพไปฝัง โดยไม่มีญาติพี่น้องมาร่วมพิธี เป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่สุด ยิ่งกว่าสงครามโลก
@ ขณะที่อีกฟากหนึ่งของโลก สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย อยู่ในการควบคุม และดูเหมือนชีวิตกำลังฟื้นกลับมา เมืองจีนมีคนติดเพิ่ม 39 คนแต่มาจากต่างประเทศ ไม่มีการแพร่เชื้อรายใหม่ในเมืองจีนเอง มีการ “ฉลอง” ความสำเร็จกันอย่าง “เบาๆ” เพราะที่สุดก็ยังมีมาตรการเข้มงวด เพราะกลัวว่าไวรัสจะกลับมาระบาดอีก
สถานการณ์วันนี้ที่จีนกับอิตาลีและยุโรปต่างกันมาก จีนมีผู้ติดเชื้อ 81,000 คน อิตาลี 41,000 คน คนจีนตาย 3,200 อิตาลีตาย 3,400 จีนตายเพิ่มวันเดียว 3 คน อิตาลีตายเพิ่ม 427 คน
ที่สเปน สถานการณ์ก็น่ากลัว ติดเชื้อเกือบ 20,000 ติดใหม่ 3,300 คนตายมากถึง 831 ตายเพิ่มวันเดียว 193 คน เยอรมันติด 15,000 ติดใหม่ 3,000 ตายรวม 44 คน สหรัฐอเมริกาติด 15,200 เพิ่มวันเดียว 5,000 คน ตายรวม 218 ตายวันเดียวเมื่อวาน 68 คน
@ สหรัฐเป็นที่น่าจับตามองว่าสถานการณ์จะเลวร้ายเร็วเพียงใด เพราะระบบสุขภาพ การประกันสุขภาพไม่ได้แข็งแรงเหมือนในยุโรป ซึ่งขนาดนั้นสถานการณ์ยังเลวร้ายอย่างที่เห็น อเมริกาจะแซงหน้ายุโรปหรือไม่ก็น่าห่วง เพราะมีการตรวจผู้ติดเชื้อจำนวนไม่กี่หมื่น ขณะที่เกาหลีทำการ test ประชากรมากถึง 300,000 คน ด้วยเครื่องมือทันสมัยทุกอย่างที่ระดมมาช่วยกัน ทำให้เกาหลีได้รับการยกย่องชื่นชมจากทั่วโลกว่า “เอาอยู่”
ที่เกาหลี “พลาดท่า” ตอนต้นเพราะกรณีที่ “ระบาดจากโบสถ์” แพร่ไปอย่างกว้างขวาง ตามตัวผู้ติดเชื้อไม่เจอ เพราะถูกปิดบังจากสำนักนั้น กว่าจะตามได้ก็สายไปมากแล้ว ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มไปถึง 8,600 แต่ก็ชะลอตัวและไม่เพิ่มมากในแต่ละวันเหมือนเมื่อตอนต้น
บ้านเราน่าจะมีประสบการณ์คล้ายเกาหลีที่เพิ่งมากระจายเร็ว ก่อนนี้จำนวนอยู่ที่ 30 มาหลายวัน จากนั้นจำนวนผู้ติดเชื้อก็เพิ่มเป็นคูณสองของวันก่อนมาเรื่อยจนถึง 272 ด้วยเหตุของการแพร่ระบาดที่สนามมวยลุมพินีและพับบาร์ย่านทองหล่อ มีการติดตามผู้เกี่ยวข้องในสถานที่เหล่านั้น เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้อง ญาติมิตร เพื่อนร่วมงานรู้ตัว ไม่เช่นนั้นแพร่กระจายไปเร็วอย่างแน่นอน
@ ที่อเมริกาและยุโรป มีการวิเคราะห์ว่า กลุ่มเสี่ยงที่ติดและเสียชีวิตมากเป็นอันดับหนึ่ง คือ ผู้สูงอายุ บ้านพักคนชรา โดยเฉพาะสถานพยาบาลคนชรา ที่นอกจากแออัด พักกันหลายคนต่อห้อง ยังมีบุคลากรที่ดูแลน้อย น่าจะมี 1 ต่อ 5 ส่วนใหญ่ 1 ต่อ 20-25 ด้วยซ้ำ ทำให้ไม่มีการดูแลใกล้ชิด เมื่อระบาดก็ยิ่งหนัก จึงมีคนป่วย ตายและติดต่อกันในสถานคนชรามากที่สุด อิตาลีเป็นตัวอย่าง และระบาดไปถึงบ้าน เพราะผู้สูงอายุในอิตาลีมักจะอยู่ในครอบครัวกับลูกหลาน เลยติดต่อกันหมด ป่วยกันทั้งบ้าน จึงเสียชีวิตมาก
@ ตัวอย่างของการแก้ปัญหา นอกจากเกาหลี มีไต้หวันและสิงคโปร์ที่ได้รับการกล่าวถึงจากหลายประเทศและองค์การนามัยโลก ยกให้เป็นตัวอย่างของการใช้มาตรการต้านไวรัสได้ผล และปัจจัยสำคัญที่สุด คือ ความร่วมมือของประชาชน
ถ้าประชาชนไม่ร่วมมือ การแพร่ระบาดไปทั่ว แม้ระบบสาธารณสุขจะดีเพียงใดก็รับไม่ไหว อย่างกรณีแคว้นลอมบาร์เดียของอิตาลี ที่มีระบบสาธารณสุขไม่แพ้ที่เยอรมัน ทางอิตาลีจึงเตือนประเทศอื่นๆ ว่า ควรจัดการอย่างไรตั้งแต่เนิ่นๆ ที่เยอรมันก็สั่งทหารออกมาช่วยบริการประชาชน แต่ไม่มีหน้าที่หรืออำนาจแบบตำรวจ
ที่อิตาลีได้มีการปิดเมือง ปิดประเทศ แต่ช้าเกินไป ขณะนี้การปิดประเทศปิดเมืองไม่ใช่เรื่องแปลกแล้ว แม้ประชาชนจำนวนหนึ่งอาจไม่เห็นด้วย แต่รัฐบลก็ไม่อาจมีมาตรการอื่นที่เลวน้อยกว่านี้ อย่างกรณีที่เมืองเล็กๆ ที่รัฐบาวาเรียในเยอรมันที่ติดเกือบร้อย ส่วนใหญ่มาจากการชุมนุมฉลองเบียร์ นายกเทศมนตรีสั่ง “ปิดเมือง” ห้ามคนเข้าคนออกจากเมืองและจากบ้านถ้าไม่เป็นจริงๆ
@ ข่าวล่าสุดมีการประกาศ “ปิดเมือง” ไฟรบูร์ก ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ติดพรมแดนฝรั่งเศสและไม่ไกลจากสวิส เมืองที่มีนักศึกษามากกว่าประชากร มีนายกเทศมนตรีหนุ่ม Martin Horn อายุเพียง 36 ปี ที่กล้าหาญตัดสินใจ “ปิดเมือง” เป็นแห่งแรกของเยอรมัน ซึ่งที่ประชุมรัฐบาลกลางก็วางนโยบายร่วมกันไว้กับบรรดา “นายกรัฐมนตรี” ของทุกรัฐว่า ถ้าถึงที่สุดแล้ว การระบาดหนักขึ้นเรื่อยๆ การขอร้องไม่ได้ผล คงต้องถึงมาตรการ “ปิดประเทศ/ปิดเมือง/ปิดบ้าน” กัน
เพราะเท่าที่ประเมิน คนจำนวนมากยังไม่ตอบรับการขอร้องให้ “อยู่บ้านเถอะ” ยังออกไปเที่ยวเล่น สังสรรค์ สนุกสนานกัน ที่เมืองไฟรบูร์กปิดก่อนใคร อาจเป็นได้ที่มีคนหนุ่มคนสาวมาก นักศึกษากว่าครึ่งเมือง มีกิจกรรมกันไม่ขาด นายกเทศมนตรีหนุ่มไม่ต้องการเอาใจใคร คิดอย่างเดียวว่า ต้องช่วยส่วนรวมให้รอดก่อน
@ ส่งท้ายวันนี้ : ที่เมืองโคโลญ เมืองน้ำหอมลือชื่อ ในรัฐที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดของเยอรมัน ตอนเย็นจะมีเสียงระฆังดังกังวานจากมหาวิหารและโบสถ์ต่างๆ ไม่ใช่เพื่อฉลองอะไร แต่เพื่อให้ทุกคนตั้งสติ หยุดสักนิดเพื่อสวดมนต์ให้ผู้ล่วงลับและผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อไวรัสนี้ และขอให้ผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้โดยเร็ว
ขณะที่ชาวอิตาเลียนในเมืองใหญๆ ที่ไปไหนไม่ได้ อยู่แต่ในบ้าน ตอนเย็นปิดหน้าต่างออกมาร้องเพลงรับกันไปทั่ว เพื่อส่งเสียงแห่งความรักสามัคคีในยามวิกฤติ
แต่ที่บราซิล ผู้คนเปิดหน้าต่างประตูเคาะจานชามหม้อไห ดังไปทั่วเมือง เพื่อประท้วงรัฐบาลที่ไม่มีมาตรการจริงจังเพื่อรับกับการระบาดครั้งนี้ที่เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ไม่จำเป็นจริงๆ #อยู่บ้านเถอะครับ