เมล็ดพันธุ์วรรณกรรม ( 2 )
ร้อยแก้ว / ความเรียง – เรื่องสั้น – บทความ – นิยาย : น.ส.กุลสิริ นามปากกา “ใบกระบองเพชร” โรงเรียนมะค่าพิทยาคม
จากการบ้านของวิทยากรประจำฐาน คือ ครูกนกวลี พจนปกรณ์ และครูสุทัศน์ วงศ์กระบากถาวร ที่ให้เขียนเรื่องของตัวเองที่”อยากเล่า”มากที่สุด
กุลสิริได้รับเชิญออกไปยืนอ่านเรื่องของเธอเองต่อหน้าเพื่อน ๆ และคณาจารย์ร่วม 400 ชีวิต เธอเริ่มอ่านด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ปนประหม่า พอถึงประโยค”…เขาคนนั้นคือปู่ฉันเอง…” เกิดก้อนสะอื้นปนเสียงของเธอ ทุกคนนิ่งฟัง กลั้นหายใจตาม และแทบทุกคนก็เอาใจช่วยให้เธอรวบรวมอารมณ์อ่านต่อไปให้ได้ เมื่อเธออ่านถึงบทสรุปประสบการณ์ชีวิตกับความตายที่ได้รับและได้เขียนถ่ายทอดออกมา เสียงของเธอก็เรียบรื่น เมื่ออ่านจบเธอปาดหยาดน้ำตาที่แก้มและยิ้ม
๐ ครั้งหนึ่งเคย…
“นั่งเศร้า ณ ที่หนึ่ง สุดรำพึงคนึงหา
เหตุการณ์ที่ผ่านมา แสนเหว่ว้าและเศร้าใจ…”
ความรู้สึกนี้ผุดขึ้นมาในหัว ขณะที่ฉันกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นยูคาที่ทุ่งนาอันกว้างใหญ่ มีเส้นกั้นระหว่างผืนแผ่นดินอันสงบสุข และท้องฟ้าสีเหลืองทองอร่ามตอนพระอาทิตย์ตก ฉันมองดูทุ่งนารอบ ๆ ฟังเสียงลมพัดใบของต้นยูคา อยู่ ๆ น้ำตาของฉันก็ล้นออกจากตา ไหลผ่านแก้มลงไปที่คาง แล้วค่อย ๆ หยดลงสู่พื้นดิน ฉันรู้สึกทั้งเสียใจและสบายใจในเวลาเดียวกัน เหตุการณ์ที่ฉันเคยเสียใจมากที่สุดย้อนกลับมาให้ฉันนึกถึงมันอีก และเมื่อความเหงาเดินเข้ามาทักทายไม่มีวันไหนเลยที่ฉันไม่คิดถึงเขาคนนั้น
ทุก ๆ วันหลังเลิกเรียน ฉันจะออกไปปฏิบัติหน้าที่ของฉันเช่นเคย นั่นก็คือ การไปเลี้ยงควาย เลี้ยงวัว ตามประสาเด็กชนบท ฉันนั่งลงใต้ต้นยูคาฟังเสียงลมพัดใบของมันจนใบของมันเสียดสีกันคล้ายเสียงกริ่ง หรือเสียงใบของต้นโพธิ์ที่อยู่ในวัด ฉันรับรู้ได้ถึงความสงบสุข ความสวยงามอันน่าอัศจรรย์ของธรรมชาติ ในขณะเดียวกัน ฉันกวาดสายตาไปรอบ ๆ ฉันเห็นเพียงแต่ทุ่งนาที่มีตอซังข้าว ฉันรู้สึกอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก ทำให้ฉันนึกถึงคนที่เขาอยู่ไกล ไกลมาก คงไม่มีวันที่เราสองคนจะได้พบกันอีก และฉันยังคงคิดถึงเขาเสมอมา
เขาคนนั้นคือ ปู่ของฉันเองค่ะ ท่านคือคนที่ดูแลฉันมาตั้งแต่ฉันเป็นเด็ก คอยหาปู หาปลา มาทำอาหารให้ฉันกินไปโรงเรียน คอยจับฉันขี่คอไปเลี้ยงวัวที่ทุ่งนาทุกวัน ฉันจำได้ว่าฉันมีความสุขมาก แต่ความสุขของฉันก็ต้องจบลง เมื่อวันที่ 2 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2554 ปู่ของฉันท่านไม่อยู่อีกแล้ว ท่านตายไปด้วยโรคหลายโรค เช่น ตับแข็ง น้ำท่วมปอด ฉันได้แต่ร้องไห้ สับสนและวิ่งไปรอบ ๆ บ้าน ร่ำไห้ อ้อนวอนให้ปู่เอาฉันไปอยู่ด้วย เสียงเดินของใครบางคนกำลังเดินตรงเข้ามาหาฉัน ฉันมองดูคนคนนั้น ฉันรีบวิ่งเข้าไปกอดพ่อของฉันอย่างสุดกำลัง มือของฉันกอดรับพ่อแน่น
ฉันพูดว่า “ปู่ตายอีหลีบ่พ่อ”
พ่อฉันตอบว่า “อย่าฮ้องไห้ ให้ปู่เพิ่นเป็นห่วงเลย เพิ่นไปเป็นเทวดาเทิ่งสวรรค์แล้ว”
ประโยคนั้นทำให้ฉันคลายเครียดลงได้ ฉันพยายามกลั้นเสียงร้องไห้แต่ยังสะอึกสะอื้น และไม่ร้องไห้อีก
เหตุการณ์นั้นทำให้ฉันรู้ว่าชีวิตคนเราไม่จีรังยั่งยืน การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา อายุขัยของแต่ละคนถูกกำหนดโดยเวรกรรมที่ต้องชดใช้ ไม่มีสิ่งใดบนโลกใบนี้ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับศีลธรรมที่อยู่ในตัวมนุษย์
ตอนนี้เมื่อฉันหันกลับไปมองตนเองตอนนั้น ฉันอยากจะบอกตนเองว่า ปู่ไม่ได้จากฉันไปไหน ปู่ยังคงอยู่ในใจฉันเสมอ
มนุษย์ทุกคนเกิดมามีทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกัน เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน เมื่อเกิดมาก็มาแต่ตัว เมื่อตายลงก็ตายแต่ตัว คุณงามความดีที่เคยทำไว้ ความรักความห่วงใยยังคงสถิตอยู่ในใจลูกหลานไม่เคยลืมเลือน.