โลกหลังประชาธิปไตย (4)
โดย… “เสรี พพ”
การเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบใหม่
เคอร์ติส ยาร์วิน เป็นนักทฤษฎีการเมืองที่เกี่ยวข้องกับขบวนการ “เรืองปัญญามืด” (Dark Enlightenment) นั้น เสนอแนวคิดที่ไม่เหมือนใครเกี่ยวกับรูปแบบการปกครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เขาเรียกว่า “ ราชาธิปไตยเทคโน” หรือ “Neo-cameralism” ซึ่งเป็น “การปกครองโดยผู้นำอำนาจเด็ดขาดเหมือนกษัตริย์” ที่ดำเนินการเหมือนซีอีโอบริษัทที่มีประสิทธิภาพสูง เขามีแนวคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบนี้ดังนี้
1. การแทนที่ประชาธิปไตยแบบดั้งเดิม
ยาร์วินวิจารณ์ประชาธิปไตยแบบดั้งเดิมว่าไม่มีประสิทธิภาพและมักถูกครอบงำด้วยกลุ่มผลประโยชน์หรือการจัดการที่ไม่เหมาะสม เขาสนับสนุนระบบที่การปกครองมีลักษณะเหมือนการบริหารบริษัท ซึ่งมีผู้นำที่มีความสามารถ (เปรียบเสมือนซีอีโอ) ที่บริหารรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องอาศัยการสนับสนุนจากประชาชนผ่านการเลือกตั้งเป็นระยะ ๆ
2. การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤต
ยาร์วินเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแบบรุนแรงมักเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตที่ระบบประชาธิปไตยล้มเหลวในการจัดการกับปัญหาใหญ่ ๆ ทางสังคม เศรษฐกิจ หรือการเมือง ผู้คนอาจมองหารูปแบบการปกครองที่มีเสถียรภาพและมุ่งเน้นผลลัพธ์มากกว่า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้นำแบบ “ราชาธิปไตยเทคโน” อาจก้าวขึ้นมา
3. การนำโดยกลุ่มองค์กรหรือบุคคลที่มีอิทธิพล
ในโมเดล Neocameralism รัฐจะดำเนินการเหมือนบริษัทเอกชน โดยมีผู้ถือหุ้นและซีอีโอ ผู้นำในระบบนี้จะถูกเลือกจากความสามารถและประสิทธิภาพในการทำงานแทนการเลือกตั้งโดยประชาชน
วิธีการที่ผู้นำเหล่านี้อาจก้าวขึ้นมาได้รวมถึง (ก) กลุ่มเทคโนโลยี ผู้มีอิทธิพลในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอาจสร้างรูปแบบการปกครองใหม่ขึ้นมาเป็นทางเลือก (ข) การก่อตั้งรัฐต้นแบบ รัฐชาติใหม่หรือโครงสร้างการปกครองที่ยึดตามหลักการของยาร์วินอาจค่อย ๆ สร้างความชอบธรรม (ค) การทดลองด้วยเทคโนโลยีแบบกระจายอำนาจ การใช้เทคโนโลยี เช่น บล็อกเชน อาจช่วยสร้างรูปแบบการปกครองใหม่ที่ไม่ต้องพึ่งพารัฐแบบดั้งเดิม
4. การเปลี่ยนแปลงโดยสมัครใจจากรัฐบาลที่มีอยู่
ถึงแม้จะเกิดขึ้นได้ยากในมุมมองของยาร์วิน แต่เขาเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่ระบบประชาธิปไตยในปัจจุบันจะยอมมอบอำนาจให้กับ “ราชาธิปไตยเทคโน” โดยสมัครใจ หากระบบดังกล่าวสามารถแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่ดีกว่าผ่านโครงการนำร่องหรือโมเดลการปกครองที่แข่งขันกัน
5. ไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่ไม่จำเป็นต้องกดขี่ ยาร์วินชี้ให้เห็นว่า “ราชาธิปไตยเทคโน” จะไม่ดำเนินการผ่านกระบวนการประชาธิปไตยแบบดั้งเดิม แต่จะเน้นการสร้างความพึงพอใจให้กับ “ลูกค้า” (ประชาชน) คล้ายกับบริษัทที่บริหารงานอย่างดี ผู้นำจะมีแรงจูงใจที่แข็งแกร่งในการสร้างเสถียรภาพ ความมั่นคง และความมั่งคั่งเพื่อรักษาความชอบธรรมและหลีกเลี่ยงการก่อกบฏหรือความไม่สงบ
มีข้อสังเกตว่า การทำรัฐประหารทางทหารอาจเป็นเส้นทางหนึ่งที่นำไปสู่การจัดตั้งระบบราชาธิปไตยเทคโนได้ในทางทฤษฎี แต่จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขเฉพาะหลังการทำรัฐประหารและความเต็มใจของผู้นำทางทหารที่จะเปลี่ยนผ่านอำนาจไปสู่ระบบที่มีลักษณะเทคโนแครต (ดังกรณีของรสช.กับรัฐบาลอานันท์ 2534-2535)
ยาร์วินมองว่า รัฐประหารทางทหารเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา การทำรัฐประหารมักเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความไม่พอใจอย่างกว้างขวางต่อรัฐบาลที่มีอยู่ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีวิกฤตหรือความไม่มั่นคง
หลังจากยึดอำนาจแล้ว ผู้นำทางทหารอาจรักษาอำนาจไว้โดยตรง โดยใช้การควบคุมแบบเผด็จการ สร้างความชอบธรรม ด้วยการปรับโครงสร้างรัฐบาลใหม่เป็นระบบที่ให้คำมั่นถึงความมั่นคงและประสิทธิภาพอย่าง “ราชาธิปไตยเทคโน”
อย่างไรก็ดี ยาร์วินมองว่า การทำรัฐประหารที่จะนำไปสู่ “ราชาธิปไตยเทคโน” ผู้นำทางทหารจำเป็นต้อง ยอมรับข้อจำกัดของตนเอง ในการบริหารประเทศ และมองหาวิธีแก้ปัญหาด้วยระบบแบบเทคโนแครตหรือแนวทางคล้ายบริษัท โดยแต่งตั้งผู้นำเทคโนแครต หรือ “ซีอีโอของรัฐ” โดยพิจารณาจากความเชี่ยวชาญแทนที่จะพึ่งพาพันธมิตรทางการเมือง และมอบหมายหน้าที่บริหารให้ผู้เชี่ยวชาญ โดยกองทัพยังคงมีบทบาทเป็นผู้ประกันความมั่นคง แต่ไม่ใช่ผู้ปกครองโดยตรง
มีคำถามถึงความเป็นไปได้ เพราะเส้นทางนี้อาจเป็นไปได้ในทางทฤษฎี แต่มีความท้าทายที่สำคัญมีข้อดีอยู่หลายประการ
(๑) โอกาสในการเริ่มต้นใหม่ของระบบ การทำรัฐประหารสามารถรื้อถอนสถาบันที่ไม่มีประสิทธิภาพและสร้างพื้นที่สำหรับรูปแบบการปกครองใหม่
(๒) อำนาจทางทหารช่วยรักษาเสถียรภาพในเบื้องต้น ระงับการต่อต้านในช่วงการเปลี่ยนผ่าน
(๓) ศักยภาพในการบริหารที่มีประสิทธิภาพ: หากดำเนินการได้ดี รัฐบาลแบบเทคโนแครตอาจให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าประชาธิปไตยที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง
แต่ก็มีปัญหาและความท้าทายหลายอย่าง เช่น ขาดความไว้วางใจในรัฐบาลทหาร ประชาชนอาจมองว่าระบบที่เกิดจากการทำรัฐประหารไม่มีความชอบธรรมและเป็นเพียงเครื่องมือของกองทัพ การต่อต้านจากกลุ่มผลประโยชน์เดิม ข้าราชการ กลุ่มการเมือง และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ อาจต่อต้านการเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้
ปัญหาความยั่งยืน ระบบราชาธิปไตยเทคโนต้องการโครงสร้างสถาบันที่มั่นคงและการยอมรับจากสาธารณะ ซึ่งอาจยากต่อการสร้างหลังการทำรัฐประหาร ความเสี่ยงต่อการเป็นเผด็จการ กองทัพอาจเข้ามาครอบงำระบบเพื่อรวบอำนาจไว้กับตนเองแทนที่จะถ่ายโอนไปยังผู้นำเทคโนแครต
คำถามสำคัญ คือ กองทัพจะยอมสละอำนาจหรือไม่ ปัจจัยสำคัญคือความเต็มใจของผู้นำทางทหารที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบราชาธิปไตยเทคโนและก้าวลงจากอำนาจ ในกรณีส่วนใหญ่ในประวัติศาสตร์ กองทัพมักไม่ยอมสละอำนาจหลังการทำรัฐประหาร แต่เลือกที่จะปกครองแบบเผด็จการต่อไป
26 มกราคม 2025