ดอกขะเจียวจากโคกขี้แลน ตอนที่ 3
ยามเย็นเมื่อตะวันใกล้ลาลับขอบทุ่ง สองจารย์หนุ่มซึ่งเพิ่งจะมีอิสรภาพ ก็ให้รู้สึกคันคายขี้กะหลืนบนเนื้อหนังมังสายิ่งนัก ยิ่งหลายวันในการเดินทางเข้ามาแดนข่า ผมเผ้าบนศีรษะก็ยาวขึ้น หนวดเคราก็ชักจะงอกงาม จึงต้องตัดต้องโกนออกเสียบ้าง เมื่อจะชำระสระสรงร่างกาย สองสหายจึงมุ่งไปที่หนองน้ำเบื้องใต้หมู่บ้านข่านั่นทีเดียว หาได้บอกใครไม่ ในระหว่างทางพบต้นหนามแท่งขึ้นเป็นกลุ่มมากมาย จึงปลิดลูกเขียวกลมเท่ากำปั้นนำไปสระผม
ขณะเดินอยู่นั้น จารย์แก้วก็เข้ามาสะกิดจารย์บุญ ให้มองกลุ่มอีสาวข่ากำลังหาบครุตักน้ำไปที่บ่อหรือส้าง ทางเดียวกับที่จะไปหนองน้ำ จารย์แก้วกระซิบกับเพื่อนว่า สาวบ้านนี้พอจะดูได้อยู่หลายนาง แต่ที่เห็นแล้วรู้สึกกระทบใจคือคนนั้น พลางบอกอาจารย์บุญว่า นางคนที่นุ่งซิ่นดำ เสื้อสีสิ้ว ทัดดอกชบาขาวที่ข้างหู จารย์บุญไม่ร่ำไรกับเพื่อนเพราะใจยังสมาธิอยู่กับการแสวงหา จึงเดินล่วงหน้าลงหนอง มิไยจารย์แก้วจะขอให้พาเดินเข้าไปทักทายสาวก็ตาม ท่าชะเง้อชะแง้ของจารย์แก้วยังกะกระทิงจะเข้าวิ่งขวิดอีสาวก็ไม่ปาน แต่แล้วก็วิ่งไล่จารย์บุญไปให้ทันจนได้ จารย์บุญจึงปรามเพื่อนว่า อย่าลืมจุดมุ่งหมายของเรา เมื่อจะต้องอยู่ที่นี่กับพวกเขาอีกนาน อีสาวบ้านนี้ก็ไม่ได้ไปไหน ก็ไม่ควรจะเร่งร้อน ควรดูเหนือดูใต้ให้ดีเสียก่อน วันข้างหน้าถ้าทำตนไม่ให้คนเขาดูถูกได้ อีสาวคนใดจะตัดรอน จารย์บุญพูดพลางก็ถ่ายโซ้งเอาผ้าแพรอีโป้มานุ่งแทน แล้วเดินลุยลงหนองโดยไม่ลืมที่จะทุบลูกหนามแท่งให้แตกออกเสียก่อน เพื่อนำไปขยี้ผมสระขี้หัวออกไป
เชียงแก้วผัดผ้าขะม้าตามลงไปในน้ำด้วยติด ๆ จารย์บุญ เห็นได้ว่าน้ำในหนองใสสะอาดดี ตรงน้ำตื้นมีบัวแบ้และใบแพงพวยขึ้น ตรงน้ำลึกกลางหนองมีบัวสายบัวทองดอกบานอยู่สะพรั่ง หนองน้ำนี้เป็นหนองใหญ่ดูกว้างแต่ชาวบ้านไม่เรียกว่าบึง เพราะลึกเข้าไปในทุ่งเพียงยังมีบึงธรรมชาติ กว้างกว่าหนองน้ำนี้มากมาย ขณะที่ทั้งสองกำลังชำระร่างกาย ขัดสีฉวีวรรณเพลิน ๆ ไป ก็มีความรู้สึกว่ามีตัวอะไรมาไต่ยั้วเยี้ยจากฝ่าตีน ปลีน่อง โคนขา สะดือท้องน้อยกระทั่งหน้าอกหน้าใจ ตามระดับความลึกของน้ำที่แหวกลุยลงมา
จารย์แก้วแหกปากร้องขึ้นด้วยสัญชาตญาณว่า ปลิงดูดเลือด และตะลุยตะกายขึ้นน้ำตื้น กระโดดเข้าฝั่งยังกะหนีตาย ผ้าขะม้าเกือบหลุด ปกล่ามปลายตีน ถุยลุยลงลากขี้ดินเต็มก้น จารย์บุญถึงแม้จะสุขุมกว่าแต่ก็กระโดดหย๋อย ๆ ไวปานเก้ง ทั้งสองเห็นตัวปลิงดูดเลือดอยู่ตามขา ตีนน่อง ท้องน้อยจนถึงหัวนม เป็นตัวปลิงสีดำเมี่ยมเขียวมรกตตัวเท่าโป้ตีนก็มี ขนาดลูกเด็กเล็กแดงปลิงตัวเท่านิ้วก้อยก็มาก ร่างกายของจารย์แก้วสั่นอยู่เทิ้ม ๆ ปากก็ร้องโหวกเหวก ไม่กล้าปลดปลิงออก ส่วนจารย์บุญกลั้นหายใจสะอิดสะเอียนสัตว์ดูดเลือดยิ่งนัก แต่ก็ใช้มือดึงมันออกทิ้งเป็นตัวเป็นตัวไป
“พุทโธ ธัมโม สังโฆ ตั้งแต่ออกจากท้องแม่มา ข้าก็เพิ่งจะเห็น ปลิง…ปลิง ปลิงทั้งนั้น นับร้อยนับพัน” จารย์แก้วเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
“แกะมันออกไว ๆ” จารย์บุญเตือน “ขืนชักช้ามันจะดูดเลือดหมดจากหัวใจเอ็ง”
ทั้งสองก้มหน้าก้มตาดึง แกะ ปลดตัวปลิงพัลวัน ถ้าไม่ให้ลื่นก็เอามือคลุกดินเสียก่อน เมือกเหนียวเหลวจะได้หนืด จึงสามารถแกะตัวปลิงแล้วดึงออกไปจากตัว กว่าจะได้ก็ยากเย็น เวลานั้น อีสาวภูปูที่หาบครุออกมาตักน้ำส้างเดินเข้ามามุงดูจารย์ทั้งสองแกะปลิงดูดเลือด แล้วนางก็ชี้บอกว่าปลิงอยู่ตรงนั้น ปลิงอยู่ตรงนี้ ทำเอาจารย์ทั้งสองแทบจะมุดดินหนีด้วยความอาย จนจารย์แก้วพูดขึ้นว่าไอ้ปลิงควายตัวนี้เป็นตัวสุดท้าย พลางขว้างออกไปสุดแรง บนร่างกายของทั้งสองมีบาดแผลเลือดไหลซึมเป็นหย่อม รอบปากแผลที่ปลิงดูดปรากฏเป็นรอยซีด ๆ จารย์แก้วนั้นลืมมองดูตรงสะดือบุ๋มตนเอง จนอีสาวนางหนึ่งทักขึ้นว่า ปลิงยังอยู่อีกตัวในสะดือ ทำให้อาจารย์สะดุ้งโหยง อาการนั้นก็สร้างความขบขันแก่อีสาวจนหัวเราะคิกคัก จารย์ยังไม่ประสีประสาในมารยาหญิงก็พาลโกรธจนหน้าแดง หันไปต่อว่าเข้าให้ แต่เสียงหัวเราะก็ดั่งจงใจจะให้ดังขึ้นไป จารย์แก้วก็จึงทำเสียงเอ็ดว่า คนเขาตกอยู่ในอันตราย หน้าไม่อายมาหัวเราะเยาะอยู่ได้
เสียงหัวเราะของพวกอีนางจึงหยุดไป แต่มีเสียงหญิงหนึ่งพูดขึ้นว่า เราไปตักน้ำมาให้อ้ายจารย์แก้วอาบก่อนเถอะ เมื่อหันไปตามเสียงก็เห็นใบหน้าอันงามของนางคนที่นุ่งซิ่นดำ เสื้อสีสิ้ว ทัดดอกชบาข้างหูที่จารย์แก้วใฝ่ฝันอยู่พอดี จารย์แก้วจึงว่า น้องอย่าได้เป็นภาระเลย อ้ายจะเดินไปอาบที่บ่อน้ำเอง การทำใจโกรธให้หายไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้เป็นจารย์แก้วทำได้ เป็นบุคลิกพิเศษอยู่ หญิงสาวจึงกล่าวขึ้นว่า เป็นความผิดของพวกเราที่ไม่บอกให้อ้ายรู้ว่าหนองน้ำมีปลิงชุม แล้วยังมาหัวเราะคนย้านปลิงอีก จารย์บุญจึงกล่าวขึ้นว่า ถ้าพวกอ้ายได้ล่วงเกินพวกน้องอย่างไรก็ขออภัยด้วยเถิด แต่หญิงสาวบอกว่าไม่มีใครได้ล่วงเกินใคร แล้วทั้งหมดก็พากันเดินไปที่บ่อน้ำส้าง ขณะนั้นเองหญิงสาวก็หันไปบอกจารย์แก้วว่า ปลิงดูดเลือดอยู่ตรงสะดือยังแกะไม่ออกเลย เป็นเหตุให้จารย์แก้วสะดุ้งโหยง ตายละหวาพบผู้หญิงเป็นไม่ได้ ลืมไปเลยว่ายังไม่ทันดึงมันออก จึงแกะออกอย่างขยะแขยงเต็มกลืน
ขณะนั้นเอง แม่นางคนเดิมก็พูดขึ้นว่า หนองบ้านเรามีปลิงมาก แสดงว่าเป็นบุญของชาวบ้าน จารย์แก้วเถียงว่าเป็นบุญได้อย่างไร อย่าว่าแต่คนจะลงหนองน้ำไม่ได้ สัตว์เลี้ยงก็ลงไม่ได้ ลงไปต้องถูกปลิงดูดเลือดตาย ก็ได้รับคำตอบว่า ธรรมดาปลิงอยู่ในน้ำ ทั้งคนทั้งสัตว์อาศัยน้ำ น้ำที่หนองนี้ไม่เคยแห้งขอด แถนบนฟ้าไม่โกรธ ทำให้น้ำเต็มหนองอยู่ทุกยาม เราจึงได้ใช้น้ำนำไปรดผัก ขุดฮ่องขุดเหมืองให้ไหลขึ้นไปเข้านา ข้าวปลาก็อุดมสมบูรณ์ พอถึงวันไหว้ผี หมอลำสะเนิดตังหวายก็บอกให้หมู่เฮาเชือดไก่ เชือดหมูทิ้งลงน้ำให้ปลิงปู่เจ้าได้ดื่มเลือดสด ๆ
จารย์แก้วนั้นกลัวเป็นที่สุดคือปลิงดูดเลือด ครางเสียงอ่อย ๆ ว่า ถ้าหากว่ารู้เช่นนี้ ก็จะไม่ขอเหยียบมาถึงฝั่งหนองเป็นแม่นมั่น แต่แม่นางกลับบอกว่า เป็นการดีแล้วที่อ้ายทั้งสองได้เหยียบน้ำลงหนอง สละเลือดให้ปลิงปู่เจ้า ปู่เจ้าคงพอใจ ไม่เช่นนั้นก็คงบันดาลให้เป็นไป มีหลายคนที่พอจะสะเดิดขึ้นจากหนอง ก็ถูกปู่เจ้าดึงเท้าลงลึกจนสะอึกสะอักจมน้ำตาย จารย์แก้วฟังความแม่นางแล้วขนหัวลุกอยู่ซู่ ๆ
ทั้งสองสหายมารู้เรื่องบ่อน้ำส้างอีกว่า ธรรมดาเมื่อปลิงดูดเลือด แม้แกะตัวปลิงออกก็ยังมีเลือดไหลซึมผิวหนังเป็นรอบวงสีซีด ๆ แล้วให้รู้สึกคัน ต้องเกาอยู่ร่ำไป แต่เมื่อได้อาบน้ำจากบ่อนี้แล้ว อาการทั้งหลายก็จะหายไป น้ำในบ่อคงจะมีแร่ธาตุบางอย่างอยู่ แต่ในเวลานั้นนับเป็นเรื่องอัศจรรย์ใจ เชื่อไปทางอิทธิฤทธิ์ของผีปู่เจ้า แม่นางซึ่งได้บอกนามของตนแก่จารย์ทั้งสองชื่อ อีแพง กล่าวถึงอดีตเมื่อครั้งพวกโจรจากเมืองลุ่มขึ้นมาปล้นหมู่บ้าน แต่ถูกนักรบข่าผู้กล้าหาญสังหารทิ้งจำนวนมาก พวกที่รอดก็วิ่งหนีไปตกเหวตาย หรือถูกเสือหมีปีศาจเจ้าไพรฆ่า บรรดาศพก็ได้โยนทิ้งลงหนองเป็นเหยื่อปูปลา บรรดาเชลยมีชีวิตก็มัดมือมัดเท้าโยนลงให้ปลิงดูดเลือด พูดมาถึงตรงนี้อีแพงก็หันมาทางสองจารย์แล้วว่า ขึ้นมาถึงแดนข่า ถ้าอ้ายคิดบ่ซื่อ ปลอมตัวมาสอดแนมหาข่าว เพื่อหวังจะตรงไปบอกไทลุ่มขึ้นเขามาปราบภายหลัง ระวังจะต้องมีชะตากรรมแบบนั้น
“ข้าทั้งสองคนไม่ได้เป็นสายให้กับผู้ใด” จารย์บุญยืนยันหนักแน่น “แม่นางเชื่อได้เลยว่า มาดีผีคุ้มแม้จะมาจากเมืองลุ่มก็ซื่อเชื่อถือได้”
อีแพงเปลี่ยนเรื่องไปถามบ่าวทางไกลว่า “บ้านเมืองของอ้าย ฝนดีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์หรือ?”
“น้ำฟ้าไม่ตามฤดู” จารย์บุญบอก “แต่แม้นว่านาน้ำไม่อุดมสมบูรณ์ ก็พากันอยู่ไปตามยถากรรม”
“คนเมืองลุ่มมีไทแก่ตัว” อีแพงพูดแบบน้อยเนื้อต่ำใจ “ค่าหัวข้า อย่างดีก็แค่สักเลกไว้นับจำนวนรอมาเกณฑ์แรง นอกนั้นจะไปเป็นทาส อ้ายว่าอยู่ตามยถากรรม ฝ่ายน้องก็อยู่ตามยถากรรมเหมือนกัน แต่เป็นยถากรรมคนละแบบ แบบน้องฝูงข่าทุกเผ่าพันธุ์ทุกข์ทรมานกว่ามาก”
จารย์ทั้งสองฟังน้ำคำอีแพงแล้วก็ให้รู้สึกสะท้อนสะท้านหัวใจเป็นอันมาก ก่อนจะเดินทางมาที่นี่ ข่าวการไล่จับข่ามาขายก็ดี การตั้งกองเกลี้ยกล่อมให้เข้ามอบตัวกับทางการบ้านเมืองก็ดี ข่าวการลุกขึ้นต่อสู้กับทางราชการของพวกข่าแจะที่ซำเหนือ ในเมืองหมัดเขตสิบสองจุไท ข่าเมืองเปิน ข่าม้อยในเขตเชียงแมน เขตเมืองซุย เมืองซำใต้ ล้วนเกิดขึ้นอยู่มิได้ขาด จารย์บุญรู้ดีว่า จำนวนพลเมืองข่ากว่าสามแสนคน ถูกไล่ล่าฆ่าฟันลงเหลือไม่ถึงหมื่น และขยายจำนวนเพิ่มขึ้นอีกไม่ได้ มีแต่จะลดจำนวนลงไปหรืออาจจะสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ ยิ่งมีพวกฝรั่งเศสเดินเรือเข้ามายึดโคชินไชน่าได้แล้วยกเข้ามายึดเอาเขมร พวกเจ้าเมือง นายกอง ตาแสงและนายบ้านในที่ลุ่ม ตำแหน่งตั้งแต่ขุนแปด ขุนสี่ เพีย ขุน ท้าว จนถึงพระยา กลายเป็นเครื่องมือรับใช้นายฝรั่งเศสไปหมด ได้อาวุธทันสมัยเป็นปืนไฟ ปืนกล ปืนใหญ่ยกกันออกมาไล่ฆ่าไล่ตีล้มหายตายลงจนจบท่วมท้นแผ่นดิน เลือดแดงไหลนองจนสายน้ำเป็นสายเลือด ซากศพอืดตันกองก่ายเต็มทุ่งและหุบเขา
ในค่ำคืนนั้น หัวหน้าข่าผู้มีนามว่า เพียกมมะแดง ก็เรียกประชุมชาวข่าเพื่อจะรองรับสองจารย์เข้าเป็นพวก ต่อมาจารย์ทั้งสองจึงรู้ว่า อีแพงเป็นลูกสาวของเพียกมมะแดง เกิดจากแม่ซึ่งเป็นเมียใหญ่ของหัวหน้าหมู่บ้านที่มีเมียน้อยอีกจำนวนหลายคน ตามประเพณีที่ยึดถือกันมา หัวหน้ามีเมียได้หลายคน แต่ก็ต้องสู่ขอเสียผีให้แก่พ่อแม่ของฝ่ายหญิงตามที่ตกลงกัน
คราวนั้น เมื่อชาวบ้านได้มารวมกัน ณ ลานกว้างพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว เพียกมมะแดงก็ประกาศด้วยเสียงอันดังว่า คืนนี้เรามารวมกันเพื่อจะรับเอาจารย์บุญและจารย์แก้ว ผู้เดินทางมาจากที่ราบลุ่มแม่น้ำมูลแดนไกล เพื่อหวังว่าจะเข้าเป็นหมู่เป็นพวก มันผู้ใดจะคัดค้านก็จงทำเสียแต่ตอนนี้ ต่อไปภายภาคหน้าจะมาขอค้านย่อมมิใช่วิสัยนักรบข่า เมื่อได้รับเอาเข้าเป็นหมู่เป็นพวกแล้ว…หัวหน้าหมู่บ้านหยุดไปเพียงชั่วครู่ สายตากวาดไปรอบ ๆ ลาน ซึ่งไฟจากขี้ไต้ขี้กระบองส่องกระทบใบหน้าพวกมันเป็นเงาเข้ม ส่วนใบหน้าของเพียกมมะแดงยามนี้ก็ดุดันคมขับกับแสงไต้เป็นมันวาว ยามนั้นบังเกิดเสียงอึกทึกขึ้นจากเบื้องหลังผู้นั่งประชุมอยู่ที่ลาน แล้วมีชายชาวข่าล้วนฉกรรจ์จำนวนนับสิบถือดาบกวัดแกว่งแหวกทางเข้ามาประชิดตัวจารย์ทั้งสองอย่างที่ไม่ทันจะตั้งตัว ขุนข่ากวัดแกว่งดาบชี้เข้าไปตรงคอหอยจารย์บุญจารย์แก้ว แล้วร้องประกาศว่า คนลุ่มทั้งสองนี้เป็นไส้ศึกถูกใช้มาสืบหมู่บ้านเรา
เพียกมมะแดงเห็นเหตุการณ์นี้ แต่จะร้องห้ามก็หาไม่ ฝ่ายจารย์แก้วคนขี้ย้านผุดลุกขึ้น ก็ถูกดาบจ่อฝ่ามือแข็งข่มไหล่เอาไว้ ทำให้ล้มลงไปกับพื้นดิน จารย์บุญนั่งนิ่งอยู่กับที่ รู้สึกสับสนว่ามันจะลงเอยประการใด สู้ตั้งสติหาทางออกเอาไว้ ขุนข่าคนเดียวกันนี้ประกาศไปต่อหน้าชาวข่าทั้งหลายว่า โทษทัณฑ์ของพวกศัตรู มีอยู่ทางเดียวคือต้องตายเซ่นผีที่หนองน้ำปลิงดูดเลือด คราวนั้นอาจารย์แก้วได้ฟังว่าจะต้องถูกนำตัวไปทิ้งลงหนองปลิงดูดเลือดลืมคิดถึงชีวิต เพราะกลัวปลิงยิ่งกว่ากลัวตาย ก็แหกปากโวยวายขึ้นมาไม่เกรงดาบที่จ่อคอหอยอยู่ว่า ถ้าจะเอากันถึงตาย ขอตายด้วยคมหอกคมดาบเถิดวะ ขุนข่าได้ฟังก็กล่าวเสียงอันดังว่า นั่นเห็นแล้วไหมล่ะ ยอมรับแล้วว่าเป็นข้าศึก จารย์แก้วก็ร้องขึ้นว่า ไม่ใช่โว้ย ข้าขอเอาคอเป็นประกันว่าข้ามาดีไม่ได้มาร้าย แต่ถ้าจะต้องตายก็ยอม ถ้าไม่เชื่อว่าข้าล่าย มดเท็จเข็ดขี้ แต่ข้าขอร้องเถิด อย่านำข้าไปทิ้งให้ปลิงดูดเลือดเลย…
จารย์บุญเห็นเพื่อนดิ้นรนจนปัญญา จึงได้แต่กล่าวเตือนออกไปว่า… เซื้อซาดจ่อง คันจ่องยังกะหุบ ซาตาหลุบหลูบลงคือจ้อง ยามเมื่อซาตาขึ้น ขวางเป็นขอนก็ยังล่อง คาดสิล้ม มือหยุ้มหญ้ากะบ่พัง เสี่ยวเอย… จารย์แก้วคิดได้ฉับไวสมกับเป็นผู้สามารถแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ก็กล่าวท้าชายฉกรรจ์เหล่านั้นว่า จงมาพิสูจน์กัน ข้าขอท้าสู้กับพวกเอ็ง เพื่อให้เห็นว่าผู้มีสัจจะย่อมไม่ตาย ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ขุนข่างุนงงไปชั่วอึดใจด้วยไม่คาดว่าไอ้จารย์ขี้ย้านมันจะเกิดใจเด็ดกลับเป็นขี้ท้าขึ้นมาได้ จึงว่า มึงจะเอาอะไรมาสู้กับกู จารย์แก้วก็ว่า มึงจะสู้แบบใดเล่า? อ้าว, อยู่ ๆ ก็ท้าสู้ขึ้นมา นักรบข่าหรือจะถอยให้หยาม จึงบอกให้จารย์แก้วลุกขึ้นมา พลางถอยห่างไปชั่วก้าว ทำหน้าถมึงทึงใส่จารย์แก้ว ๆ กลัวจนขากรรไกรสั่นกระตุก ดีแต่ข่มความกลัวเอาไว้ เหงื่อหลายเม็ดผุดขึ้นมาเต็มใบหน้า สู้อุตส่าห์ลุกขึ้นยืนประจัญ ได้ยินเสียงเพียกมมะแดงบอกให้นักรบข่าคนหนึ่งส่งดาบให้จารย์แก้ว พอเอาดาบมากำด้ามไว้ มือไม้บ้าบอคอคางก็สั่นเป็นผีเข้า เสียงฟันกระทบฟันดังอยู่กั๊ก ๆ ตอนนั้นเกิดมีเสียงขำขันดังขึ้นทั่ววงทั่วลาน บ้างก็ปล่อยก๊าก ออกมาอย่างไม่เกรงใจ
จารย์แก้วจึงข่มใจพูดว่า จะเย้ยก็เย้ยไปเถิด ข้าจะขอสู้ไว้ลาย พลางร้องท้าว่ามาเข้ามาบักข่าพุงดำ กูจะทำให้มึงได้อายคราวนี้ มึงชนะเพลงดาบกูได้แน่ แต่กูพ่ายเพราะยังไม่ทันได้เรียนจากครู ถึงชนะได้ความภูมิใจยังจะเกิดได้ดอกหรือ?
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ…” เสียงหัวเราะนี้เป็นเพียกมมะแดง หัวหน้าหมู่บ้านข่าเอง เมื่อเดินออกมาลานกว้างแล้วยกมือให้เหล่าชายฉกรรจ์ถอยกลับไป “เอาล่ะ, การทดสอบเบื้องต้น เอาไว้เพียงเท่านี้ก่อน”
จารย์ทั้งสองเต็มไปด้วยความแปลกแยก งุนงงจนไม่รู้จะทำประการใดดี ขุนข่าที่เอาดาบจ่อคอหอยจารย์แก้วและถูกจารย์แก้วท้าให้มาต่อสู้กัน เข้ามาคำนับจารย์ทั้งสอง กล่าวคำขอขมาที่ล่วงเกิน แล้วเดินหลีกไป
“ท่านทำอย่างนี้เพื่อวัตถุประสงค์ใด?” จารย์บุญตั้งสติได้แล้วหันไปถามเพียกมมะแดง
“ข้าขอออกความเห็นว่า” แทนที่จะตอบคำถาม เพียกมมะแดงกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดัง เพื่อให้ชาวข่าที่อยู่ ณ ที่นั่นได้ฟังได้ยินทั่วกันว่า “จารย์แก้วเก่งทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีพอใช้ จารย์บุญเป็นคนหนักแน่นไม่หวั่นไหวง่าย ๆ คงจะเก่งทางต่อสู้ด้วยอาวุธ”
“โถ่โท้…ท่านเพียกมมะแดงนะท่านเพีย ปล่อยให้ใจหายใจคว่ำ ที่แท้ก็ทดสอบ…” จารย์แก้วบ่น
“แก้วเอ้ย อย่าได้พูดเช่นนั้น ขอขมาท่านเพียกมมะแดงเสีย” จารย์บุญหันไปห้ามเพื่อนมิให้คะนองปากทำเป็นเล่นไปหมด แต่เพียกมมะแดงมิได้ถือสา แต่หันไปบอกสองจารย์ว่า บัดนี้ชาวข่าภูปูได้รับเจ้าสองคนเข้ามาเป็นหมู่เป็นพวกแล้ว ถือว่าเป็นชาวบ้านข่าภูสูงแห่งนี้อย่างสมบูรณ์แบบ ข้าจะให้พวกมันทั้งหลายสร้างกระท่อมเป็นเรือนพักในวันรุ่งขึ้น เจ้าทั้งสองคนจะต้องใช้ชีวิตแบบเดียวกับชาวบ้าน คือต้องช่วยกันทำมาหากิน เพราะเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่นี่แล้ว ส่วนการจะให้ข้าเป็นครูสั่งสอนวิชาใด ๆ ข้าจะค่อยพิจารณาวันหลัง คายครูบูชาคุณข้าก็จะเรียกเอาไม่เว้นตามประเพณีอันดีงาม
กล่าวจบลงไป ทันใดนั้นเสียงต่อยพิณ เป่าแคนก็ดังขึ้น มีเสียงร้องจากชาวบ้านให้คนเป็นหมู่เป็นพวกใหม่ ๆ ลำกลอนให้ฟัง ฝ่ายสาว ๆ ยกสำรับกับข้าวมาเรียงรายต้อนรับ บ่าว ๆ ส่งเสียงโห่แซวหยอกเย้าเป็นที่ครื้นเครง ทำให้จารย์บุญจารย์แก้วลืมเหตุการณ์ระทึกขวัญแล้วหันหน้าไปพบกับความสนุกสนานเป็นกันเองต่อไป