นิทานนางตันไต (ตอนที่ ๒) ปริวรรตจากฉบับภาษาลาวของ มหาสิลา วีระวงส์

นิทานนางตันไต (ตอนที่ ๒)

ปริวรรตจากฉบับภาษาลาวของ มหาสิลา วีระวงส์

เรื่องงัวนันทะกะกับราชสีห์

มูลเหตุเบื้องต้น

แต่ปางก่อน ยังมีนครหนึ่งชื่อ อุทัยะนะมหานคร บริบูรณ์ไปด้วยสมบัติพัสถาน ทุกอย่างปานดั่งทิพย์สมบัติในเมืองฟ้า พระมหากษัตริย์ทรงพระนามว่า วิมะละจักพรรติราช เสวยราซะสมบัติอยู่ในนครนั้น พระองค์ทรงเดชานุภาพสูงสุดมีอาณาเขตแผ่กว้างไพศาลไปเกือบทั่วชมพูทวีป บ้านเมืองของพระองค์ในสมัยนั้นเจริญยิ่งหนักหนาอาณาประซาราษฎร์อยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากข้าเศิกศัตรูมาราวี พระวิมะละ มีพระอนุซาอยู่องค์หนึ่ง นามว่าวีระเสน เป็นที่เสน่หาฮักแพงของพระองค์ยิ่งนัก พระองค์จึงทรงตั้งท้าววีระเสนนั้นให้ไปเสวยราซะสมบัติอยู่ในนครหนึ่งอันไกลจากอุทัยะนะมหานคร

อยู่มาหลายปี พระยาวิมะละมีความคิดฮอดพระอนุซา จึงแต่งอามาตย์เป็นราชทูตไปเชิญให้มายาม ท้าววีระเสนได้ทราบดั่งนั้นก็ดีพระทัยจึงตกแต่งกระบวนทัพ ยกออกจากพระนคร มาตั้งผามไชยอยู่นอกพระราชวัง ใกล้กับผามไชยของราชทูต เถิงเวลากลางคืนเมื่อเสวยโภชนาหาร และสนทนากับราชทูตของพระเชษฐาพอสมควรแล้วพระองค์ก็เสด็จกลับคืนเข้าไปในพระราชวังแต่ผู้เดียว เพื่อลาพระมเหสีที่พระองค์ฮักแพงยิ่งอีกเทื่อนึ่ง เมื่อเสด็จขึ้นไปเถิงผาสาทก็เสด็จเลยไปส้วม (ห้องบรรทม) พระมเหสี โดยตั้งพระทัยว่าจะได้เห็นนางแสดงความเสน่หาอาลัยในตนดั่งแต่ก่อน แต่เหตุการณ์บ่ได้เป็นดั่งคึดไว้ พระองค์กลับได้เห็นพระนางนอนอยู่ในวงแขนของมหาดเล็กที่มีร่างกายก่ำดำ กำลังกอดจูบกันอยู่ในเตียงคำ พระราชาวีระเสนตกสะเง้อเกือบบ่เซื่อสายตาตนเองพอตั้งสติได้จึงฮ่ำเพิงในใจว่า “อือ นางที่กูหลงฮักสุดใจ หนีไปบ่ทนม้มคืนก็มาเป็นจั่งซี้ไปได้ เฮ็ดให้เสียหน้าเสียสกุล กูพระองค์ยิ่งนัก” ฮ่ำเพิงได้ท่อนี้ก็ถอดพระขรรค์ออกฟันคอคนทั้งสองขาดตายอยู่กับบ่อน แล้วเสด็จออกจากพระราชวัง ยกไพร่พลโยธาไปทางนครอุทัยะนะแต่ในคืนนั้น

เมื่อเสด็จไปใกล้นครอุทัยะนะ พระยาวิมะละจักพรรติราช พร้อมด้วยเสนาอามาตย์ก็เสด็จออกมาฮับต้อนด้วยความยินดี ทั้งสองศรีกษัตริย์ถามข่าวความทุกข์ความสุขของกันแล้วก็เสด็จเข้าไปในนคร ท้าววีระเสนมาเห็นพระเซษฐาแล้วแทนที่ซิมีความชื่นชมยินดี กลับมีความทุกข์โศกทวีขึ้น เนื่องจากคิดถึงเรื่องมเหสีของตนหลิ้นชู้แต่บ่กล้าเว้าสู่พระเซษฐาฟัง ฝ่ายพระเซษฐาเห็นอาการพระอนุซาโศกเศร้า ก็ส้อถามและหาทางให้พระอนุซาชื่นใจอยู่เสมอ แต่พระอนุซา ก็ยังบ่บอก และบ่หายความอุกอั่งทั่งเทได้

อยู่มามื้อนึ่ง พระยาวิมะละจักพรรติราชเสด็จออกเที่ยวป่าเพื่อเซิดเนื้อ เป็นหนทางไกลจากพระนครประมาณ ๒ คืน และได้ชวนท้าววีระเสนไปนำ แต่ท้าววีระเสน เบี่ยงบ่ายบอกว่า บ่สำบายขออยู่ในพระราชวัง ผาสาทบ่อนท้าววีระเสนอยู่นั้น ซื่อกับผาสาทของพระมเหสีในระหว่างกลางผาสาทสองหลังนี้ มีอุทยานอันประดับประดาไปด้วยต้นดอกไม้ต่าง ๆ เถิงยามแลงมีลมหอบพัดเอากลิ่นดอกไม้เข้ามาทางเบ็งซร จนหอมกลุ้ม และมีนกต่าง ๆ ฮ้องซว่าแซว

ในตอนนั้นท้าววีระเสน นั่งอยู่แคมเบ็งซรปิ่นหน้าไปทางสวน เพื่อทอดพระเนตรสิ่งต่าง ๆ ให้หายโศก ทันใดนั้นก็เห็นฝาผักตูผาสาทของพระมเหสีแห่งพี่ซายทางก้ำสวนไขออก พระนางเทวีผู้ทรงโสมอันงามเสด็จลงมาในสวน พร้อมด้วยสาวใซ้ ๒๐ คน เพราะเวลานั้น พระนางเข้าใจว่า ท้าววีระเสนเสด็จไปเซิดเนื้อนำพระสามีของตนแล้วคึดสนุกในใจว่าจะบ่มีผู้ใดมาเห็น จึ่งพากันลงมาหลิ้นสนุกสุขสำราญอยู่ในสวน ใกล้กับบ่อนอยู่ของท้าววีระเสน

ฝ่ายท้าววีระเสนลอบเบิ่งทางเบ็งซร ก็ได้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ทุกประการ ทำอิดพระองค์คึดว่าแม่นสาวสนมทั้ง ๒๐ คน แต่พอพวกนั้นปลดเครื่องแต่งกาย และผ้าคลุมหัวออกแล้ว เลยเห็นเป็นซาย ๑๐ คน เป็นญิง ๑๐ คน ครบคู่กันพอดี ฝ่ายนางเทวีเงยหน้าขึ้นไปทางต้นไม้ พร้อมกับตบมือเรียกว่า “เทวัต เทวัต” สองเทื่อ ทันทีนั้น ซายคนนึ่งรูปร่างแข็งแรง ล่ำสัน ก็ไต่ง่าไม้ลงมาหานางต่อจากนั้นนางเทวีและสาวสนม ก็เข้าคู่กับคู่ฮักของใผลาว พากันหลิ้นสนุกสุขสำราญ หยอกใยกัน แล้วก็เข้าไปยังพุ่มไม้เป็นคู่ ๆ เหิงสมควรแล้วซายซื่อเทวัต หมู่ซายซู้ของนางสาวใซ้ทั้ง ๑๐ คนนั้น ก็พากันแล่นออกทางผักตูสวน แล้วปีนข้ามกำแพงหนีไป

เหตุการณ์ที่เห็นเป็นมาต่อหน้าดั่งนี้ พาให้ท้าววีระเสนได้สติ และคิดฮ่ำเพิงอยู่ในพระทัยว่า “อือ หน้าหน่ายแท้ ที่กูมามัวคึดเป็นทุกข์ว่ากูเป็นคนมีเคราะห์ฮ้ายแต่ผู่เดียว ทุกข์กองนี้ ทุกข์แบบนี้ ต้องเป็นสิ่งที่หนักอกของผู่ซายผู่เป็นสามีทั่วไปเป็นคักแน่ เบิ้งดู้ พระมหากษัตริย์องค์เป็นพี่ซายของกู เซิ่งเป็นใหญ่ยิ่งแก่ประเทศราชทังหลายก็ยังบ่พ้นไปได้ ซาหยังกับตัวกูผู่มีอำนาจน้อยจะห้ามบ่ให้เมียนอกใจได้ สะนั้น กูจะมาเป็นทุกข์ด้วยเรื่องนี้บ่ใซ่การ เซาทุกข์เสียเถิด เซา ๆ ต่อแต่นี้ไป ตัวกูจะระวัง บ่ให้เรื่องดั่งนี้มากวนใจอีก”

ฮ่ำเพิงดั่งนี้แล้วก็มีพระทัยซื่นบาน ตรัสสั่งให้มหาดเล็กยอพาเสวยมาให้ วันนั้นพระองค์เสวยได้หลาย และฟังเสียงดนตรีก็เป็นที่ออนซอนยิ่งนักพระพักตร์ก็เบิกบานเหมือนแต่ก่อน

พอได้ทราบข่าวว่า พระเซษฐาเสด็จกลับจากการเซิดเนื้อมาเถิงแล้วก็เสด็จไปเฝ้า พระเซษฐาบ่ทันได้สังเกตเห็นอาการเปลี่ยนแปลงของพระอนุซาก็ตรัสปราศัยว่า โฮ ม่วนหลาย แต่เสียดายที่น้องบ่ได้ไปม่วนนำ ฝ่ายพระอนุซาได้ฟังก็ปราศัยนำด้วยความสนุกสนานเบิกบานใจ ฝ่ายพระเซษฐาได้เห็นอาการของพระอนุซาซื่นซมดั่งนั้นก็ดีพระทัย แต่สงสัยว่าเหตุใดจึงมาเป็นดั่งนี้ แล้วตรัสว่า “อ้ายขอขอบคุณเทวดาฟ้าดิน ที่มาปั่นดลให้เจ้าหายโศกเศร้าได้ ในเวลาที่อ้ายบ่อยู่เพียงสองวันอ้ายดีใจหลาย แต่อ้ายมีความสงสัย ขอถามเจ้าจักหน่อยแด่ คาดว่าเจ้าคงบ่อำพรางอ้าย คือตั้งแต่วันน้องมาเถิงนครของอ้าย อ้ายเห็นหน้าเจ้าดูโศกเศร้า หม่นหมองใจ อ้ายก็ได้พยายามซักซวนเหล้นสนุกหลายอย่าง เพื่อให้ซื่นใจ ก็สังเกตเห็นเจ้าโศกเศร้าลงกว่าเก่า ครันจะส้อถามหาเหตุหลายกะย้านเป็นที่กวนใจ แม่นเจ้าคึดฮอดพระมเหสีบ้อหรือถ้ามีความอุกอั่งแนวใดอ้ายก็บ่ฮู้ มามื้อนี้ เห็นหน้าน้องแจ่มใส ความทุกข์ใจของเจ้าคงสูญหายไปแล้วอย่างคักแน่ อ้ายอยากให้น้องเว้าสู่ฟังว่า เหตุใดมาเป็นดั่งนี้”

ท้าววีระเสนได้ฟังดั่งนั้นก็นั่งคึดอยู่คราวนึ่งแล้วทูลพี่ซายว่า “ขอเดซะ พระองค์เป็นพี่ซายของข้าพเจ้า และเป็นนายของข้าพเจ้าก็จริง แต่เรื่องนี้เป็นความลับในใจของใผลาว ยากที่จะกราบทูลได้ขอพระองค์อย่าบังคับให้เว้าเลย” พระยาวิมะละได้ฟังแฮ่งเกิดความสงสัยหลาย จึ่งตรัสว่า “น้องฮักของอ้าย น้องอย่าอำอ้ายเลย จ่งเว้าให้อ้ายฟังเทาะ อ้ายบ่ติโทษถือภัยอย่างใด อภัยให้เจ้าทุกอย่าง” ท้าววีระเสนขัดบ่ได้ก็ทูลว่า เมื่อพระองค์มีประสงค์อยากฮู้เรื่องแท้ น้องก็จะเว้าสู่ฟัง บ่ขีนพระทัย แล้วก็เล่าเรื่องพระมเหสีของตนให้พี่ชายฟังทุกประการ สุดแล้วจั่งทูลว่า เหตุผลดั่งกล่าวมานี้ พาให้น้องเป็นทุกข์หลาย ขอพระองค์จั่งสันนิษฐานเบิ่งว่า เป็นข้อที่น้องควรซิโศกเศร้าหรือบ่

พอพระยาวิมะละได้ฟังดั่งนั้นก็มีพระทัยสงสารพระอนุซาเป็นอันยิ่ง จึ่งตรัสว่า “น้องฮักของอ้ายเอย เรื่องที่เจ้าเว้ามานี้เป็นน่าเสียใจเหลือที่สุด อ้ายบ่มีความสงสัยอีกแล้ว อ้ายฟังเจ้าเว้าด้วยความฮ้อนใจหลาย เพราะอยากฮู้กกปลายบัดนี้ควรแล้วที่เจ้าได้ข้ามันตายทังสองคน ถืกต้องตามทำนองครองธรรมดีแล้ว จะบ่ข้าแต่เพียงสองคนท่อนั้นดอก ฟาดมันตั้งพันคนพุ้น จั่งจะสมความเคียด อ้ายเห็นแล้วว่าความทุกข์ของเจ้านั้นใหญ่หลวง ฮ้ายแฮงยิ่งนัก และเชื่อว่าคงมีแต่เจ้าผู่เดียวท่อนั้นที่ได้ประสบทุกข์ในทำนองนี้ บัดนี้เทวดาฟ้าแถนได้บันดาลให้เจ้าสว่างทุกข์แล้ว แต่เพิ่นได้บันดาลแนวใดจึ่งพาให้เจ้าสว่างทุกข์นั้นได้จ่งเว้าให้อ้ายฟัง ในข้อนี้ด้วย”

ท้าววีระเสนอึดอัดอยู่ในใจหลายเติบ ครันจะบ่เว้า พระเซษฐาก็อยากฮู้ และทังบังคับให้เว้าจนได้ จึงทูลว่า “เมื่อพระองค์อยากฮู้ก็จะเล่าถวายแต่ว่าเมื่อพระองค์ได้ฟังแล้ว พระองค์ก็จะเศร้าโศกพระทัยบ่ใซ่หน้อย ดั่งนั้นขอพระองค์ได้โปรดประทานอภัยโทษให้ข้าพเจ้าด้วย ในการที่จะทำให้พระองค์ต้องเศร้าโศก” พญาวิมะละตรัสว่าที่เจ้าเว้าจั่งซี้แฮ่งพาให้อ้ายอยากฮู้หลายขึ้นกว่าเก่าเว้าให้อ้ายฟังไว ๆ เทาะ เรื่องเป็นอย่างใด อ้ายจะขอฟัง

ท้าววีระเสนบ่สามารถจะอำบังพี่ซายไว้ได้จึ่งเล่าเรื่องเอื้อยใภ้กับนางสาวใซ้ ประพฤติอนาจารหลิ้นซู้อยู่ในอุทยานให้พี่ซายฟัง แล้วซ้ำทูลว่า เมื่อข้าพเจ้าได้เห็นเหตุการณ์อันแสนซั่ว อย่างนี้แล้วจึ่งคิดในใจว่า ผู่ญิงทังหลายคงจะมีนิสัยเนิ้งไปทางซั่วมัวเมาอยู่ในราคะตัณหา บ่สามารถห้ามความมักมากในทางกามให้น้อมไปทางดีได้ ข้าพเจ้าคึดว่า ผู่ซายเฮานี้บกเบาหลาย ที่มามัวหลงใหลใฝ่ฝันอยู่ในความบ่ซื่อสัตย์ของสัตตี ด้วยความคิดดั่งนี้ข้าพเจ้าจึ่งตัดความทุกข์ใจในเรื่องนี้ได้

พญาวิมะละได้ฟังดั่งนั้น มีพระทัยเคึยดแค้นเหลือกำลัง จึงตรัสว่า “เออดีนอ นางมเหสีราชเทวีผู่มียศอันยิ่งใหญ่ ซ่างมีหัวใจซั่วซ้า ประพฤติอนาจารได้เถิงปานนี้ เรื่องนี้เฮาต้องพิสูจน์ให้เห็นจริงด้วยตาตนเอง” พระอนุซาทูลว่า เมื่อพระองค์อยากเห็นจริงก็ให้ทรงสงบอารมณ์ไว้ก่อน แล้วจึงสั่งให้จัดการออกประพาสป่าเพื่อหาล่าเนื้ออีก และข้าพเจ้าก็จะตามเสด็จไปด้วย เมื่อกลางวันเฮาพักเซาอยู่ในป่า เถิงเวลาค่ำจึ่งกลับมาลอบเบิ่งที่บ่อนข้าพเจ้าอยู่ คงจะได้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ตามที่ข้าพเจ้าได้ทูลมา พญาวิมะละเห็นดีนำจึ่งตรัสสั่งให้เสนาจัดการเสด็จประพาสป่าตามที่เคยมา ฮุ่งเซ้ามาพระกษัตริย์ทังสองก็เสด็จออกจากพระนครพร้อมด้วยบริวาร ได้พักเซาอยูผามไซยที่ในป่า พอเวลาคำตรัสสั่งเป็นความลับ ให้อามาตย์ผู่ใหญ่อยู่เฝ้าผามไซยแทนตัว และระวังกวดกา อย่าให้ผู่ใดออกไปจากผามไซย จนเฮาพระองค์กลับมา

สั่งแล้ว พระกษัตริย์ทังสองก็ขึ้นม้ากลับมานคร เข้าลี้ซ่อนอยู่ในที่ประทับของท้าววีระเสนแล้วพากันบรรทมอยู่ที่นั้นตลอดคืน พอจวนแจ้งสองกษัตริย์จึ่งเข้ามาลี้อยู่แคมฝาเบ็งซรบ่อนท้าววีระเสน เคยเห็นเทื่อก่อน ในขณะที่ทังสองกษัตริย์จอบมองอยู่ ก็ได้เห็นผักตูไขออก นางเทวีลงมาในสวนพร้อมด้วยสาวใซ้ ๑๐ คน และซายซู้ ๑๐ คนเมื่อนางเทวีตบมือเอาซายซื่อเทวัตมาแล้ว ต่างคนก็ต่างเข้าคู่กัน ต่อจากนั้นเหตุการณ์ทังหลายก็เป็นไปเหมือนดั่งท้าววีระเสนได้เห็นมาแล้วทุกประการ

เวลานั้นพญาวิมะละเสียพระทัยเกือบเป็นลมล้มลง พอยั้งสติได้จึ่งตรัสว่า เอ้อ หน้าอับอายเหลือล้นพ้นประมาณแล้ว เบิ่งดู้มเหสีของกูผู่เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ยังมาเป็นไปได้เถิงปานนี้ หน้าหน่ายเป็นที่สุดเหลือเกิน เอ้อ เมื่อเหตุการณ์เป็นดั่งนี้ ซายใดในโลกจะเว้าอวดอ้าง ว่าตนมีความสุข ว่าแล้วก็หันหน้ามาเว้ากับน้องซาย ว่า น้องเอย เฮามาพากันสละราซะสมบัติเสียเทาะ เพราะว่าสมบัติทังหลายในโลกนี้บ่มีสิ่งใดจะเที่ยงแท้แน่นอนเลย ซ้ำบ่หนำความซื่อสัตย์สุจริต ต่อกันก็บ่มีท่อปีกฮิ้น เมื่อความสัตย์บ่มีต่อกัน หรือหากมีก็มีเพียงยามนึ่งยามเดียว พอปานงูแลบลิ้น บ่เป็นของหมั้นคงแนวใด ทังความที่ได้เป็นเจ้าเป็นจอม ในดินแดนแคว้นเขตอันกว้างใหญ่ไพศาลเถิงปานนี้ ก็บ่มีอำนาจอันใดพอจะบังคับให้สัตตีซื่อสัตย์ต่อเฮาได้ พาให้เฮาได้รับความอับอายขายหน้า อย่างเหลือล้นดั่งนี้แล้ว เฮาจะอยู่ในราซะสมบัติเพื่อประโยชน์อันใด แหนงสู้เฮามาสละความซื่นม่วนอันเป็นของบ่เที่ยงนี้เสียแล้วหนีเข้าป่า ไปหาลี้ซ่อนอยู่ในพงไพรไกลเขตมนุษย์ คงจะมีความสุขดีกว่า ทังจะได้อำบังความเจ็บอายขายหน้าของเฮานำอีก เจ้าจะเห็นดีนำบ่

ท้าววีระเสนบ่เห็นดีนำความคิดของพี่ซายแต่คึดเห็นว่าเวลานี้ พี่ซายกำลังเศร้าโศกอยู่ จึ่งพิติเว้าโลมตามใจว่า ข้าพเจ้าก็เห็นดีดั่งเดียวกัน แต่เหตุการณ์อันนี้คงจะเป็นด้วยเคราะห์เข็ญเวรกรรมของเฮา เพราะสะนั้นถ้าจะไปแท้ข้าพเจ้าขอคำหมั้นสัญญาไว้ข้อ ๑ คือว่า ถ้าเฮาไปพ้อคนที่มีเคราะห์ฮ้ายกว่าเฮาแล้ว ขอให้พระองค์พาให้ข้าพเจ้าเสด็จกลับคืนพระนคร ย้อนว่าสัตตีภัยอันใหญ่หลวงนี้บ่มีแต่เฮาสองคนท่อนี้ ความจริงต้องเกิดมีแก่คนซายทั่วไปดั่งเดียวกัน

พญาวิมะละตอบว่า พี่ยอมให้สัญญาตามที่เจ้าร้องขอ แต่พี่เซื่อแน่ว่า เฮาคงซิบ่ได้พบพ้อคนที่มีเคราะห์ฮ้ายยิ่งกว่าเลย ว่าแล้วกษัตริย์ทั้งสองก็หนีออกจากพระราชวัง หันหน้าเข้าป่าไปอีกทางนึ่ง บ่แม่นทางไปหาผามไซย ทังสองได้ดำเนินไปเลี่ยงหนทางยืดยาว คราวไกล ครันค่ำลงก็อาศัยนอนใต้ฮ่มไม้ ฮุ่งเซ้ามากะพากันเดินต่อไป ได้สองราตรีจึงไปเถิงทุ่งหญ้าแห่งนึ่งอยู่ใกล้ฝั่งทะเล และเลาะแคมทะเลนั้นมีป่าไม้ใหญ่เลียนซ้ายล้ายแคมฝั่ง กษัตริย์ทังสองพากันเข้าไปพักเซาอยู่ใต้ฮ่มไม้ใหญ่นั้น เมื่อพากันหาน้ำมาดื่มพอเซาเมื่อยแล้วก็สนทนากันเถิงเรื่องความซั่วซ้า อาสัตย์ของมเหสีทังสอง

ในเวลากำลังผารภเถิงความทุกข์อันเกิดแต่สัตตีภัยอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงดังคึกคักขึ้นในพื้นทะเลบึดนึ่งก็ได้ยินเสียงคือคนฮ้องไห้ฮ่ำไฮเป็นที่วั่งเว พาให้สองกษัตริย์ตกใจ ทันใดนั้นก็เห็นน้ำในทะเลอันกว้างใหญ่เกิดเป็นวงเวียนสวดขึ้น แล้วก็แตกแยกออกโดยไว สองกษัตริย์ตกซะเง้อจนตัวสั่น เบิ่งอยู่บึดเดียวก็เห็นฮูปประหลาดดำเป็นลำพ้นขึ้นเป็นลำดับ ตั้งจึ้งพึ้งสูงเทียมฟ้า ทังสองบ่กล้าเบิ่งอยู่เหิงได้ ก็พากันปีนขึ้นกกไม้ ก็พากันฟ้าวปีนขึ้นไปลี้อยู่ระหว่างง่าผากของต้นไม้ใหญ่ บึดนึ่งฮูปดำใหญ่เป็นลำนั้นก็มืยออกเป็นยักษ์ตัวนึ่ง ลอยผาด ๆ เข้ามาหาฝั่ง สองกษัตริย์ทังย้านทังอยากเห็น พากันจอบเบิ่งอยู่คราวนึ่งก็เห็นยักษ์ตัวนั้น อันมีอูปแก้วยักษ์ใหญ่ทูนหัวย่างขึ้นมา อูปแก้วนั้นมีกะแจใหญ่ ๔ หน่วยใส่อ้อมไว้ แล้วยักษ์ตัวนั้นกะย่างเข้ามาเซาใต้ต้นไม้ใหญ่ ที่สองอ้ายน้องลี้อยู่นั้น สองอ้ายน้องแม่นจะย้านปานใดก็เห็นว่าจะหนีไปบ่พ้น จึ่งจำใจอดลี้อยู่เทิงง่าผาก เหมือนบ่ย้าน

ยักษ์ปลงอูปใหญ่ลงแล้วก็นั่งลงข้างอูปไขกะแจปืดฝาอูปนั้นออก ทันใดนั้นก็เห็นนางงามฮูปฮ่างน้อยคนนึ่งลุกออกมาจากอูปแล้วนั่งลงยักษ์ก็โยบกายนั่งลงข้างนาง ตาเสือดใส่นางด้วยความฮัก แล้วเล่าโลมว่า “นี้นะนางผู่งามเลิศ ย้อนความฮักเจ้า พี่จึ่งได้อุ้มเจ้า มาแต่ในวันวิวาหะ ความฮักที่พี่มีต่อเจ้าตั้งแต่นั้นมาฮอดวันนี้ แม่นจะได้หลายเดือนหลายปีแล้วก็ตามก็ยังบ่บกเบาลงเลย บัดนี้พี่เมื่อยหลาย จะนอนให้สำบายอยู่ใต้ต้นไม้จักหน่อยก่อน” ว่าแล้วก็เอาหัวหนุนตักนางนอน เหยียดขาไปจนเถิงฝั่งน้ำ บ่นานก็หลับ เสียงกรนก้องปานเสียงลมพัดน้ำเป็นฟองดังโทด ๆ

ในขณะยักษ์หลับอยู่นั้น นางแหนหน้าขึ้นไปเทิงต้นไม้ ได้เห็นสองกษัตริย์ลี้อยู่บ่อนง่าผาก ก็เกิดความฮักขึ้นในทันที จึ่งกวักมือเป็นสัญญาให้สองกษัตริย์ลงมาหา สองกษัตริย์อ้ายน้องบ่คิดว่านางมีความเสน่หาอันจ้อจั้นได้เถิงปานนี้ คิดว่านางจะปลุกยักษ์ขึ้นมากินก็มีความย้านเป็นกำลัง จึ่งพยายามบอกให้เป็นสัญญา อ้อนวอนนางขอให้นางเมตตา พอได้ลี้อยู่ง่าไม้ต่อไป ทันใดนั้นนางเจ้ามายาก็ค่อย ๆ เอามือซ้วนหัวยักษ์ออกจากตักของตน วางลงไว้กับหน้าดิน แล้วลุกย่างไปโลมสองกษัตริย์ด้วยเสียงกระซิบกระซาบว่า “เซิญลงมาเทาะนา บ่เป็นหยังดอก ข้าพะเจ้าจะบ่ปลุกยักษ์ออกมา”

สองอ้ายน้องบ่เซื่อใจ พยายามบอกนางอยู่อย่างนั้นเป็นเหิงนาน แต่นางบ่ฟังเสียง เว้ายืนคำเป็นซงบังคับว่า “ลงมาเทาะนา ลงมาไว ๆ ถ้าขืนซ้าอยู่บ่ลงมา จะปลุกยักษ์ขึ้นให้กินเสียเทิงสองคนนี้แหละ” สองอ้ายน้องฝืนใจขอวอนนางอีก ลางเทื่อนางเมตตา แต่กงกันข้ามนางกลับแสดงสีหน้าเคียดแค้น ทำท่าจะปลุกยักษ์ขึ้นอิหลี แล้วเว้าเป็นคำสุดท้ายว่า “ดีแล้ว ถ้าบ่ลงมา ก็เห็นว่าฮูปฮ่างของท่านทังสองที่อ้อนแอ้นงามคือผู่สาวนั้น จะบ่พออิ่มท้องของยักษ์ตัวนี้ได้”

สองกษัตริย์เห็นนางบ่สงสารแท้แล้วก็ตัดสินใจลงมาหาแต่โดยดี แต่ยังสั่นเทา ๆ อยู่ นางย่างเข้ามาดีงเอาแขนสองอ้ายน้องแล้วพาลัดเข้าไปในพุ่มไม้ แสดงความเสน่หาต่อสองกษัตริย์ ในขั้นต้นสองกษัตริย์บ่กล้าปฏิบัติตาม ความปฏิพัธของนางนางก็เลยใซ้มายาบังคับ โดยอ้างอำนาจของยักษ์เหมือนดั่งเก่า สองกษัตริย์หมดปัญญาจำเป็นต้องปฏิบัติตามความประสงค์ของนาง พอสำเร็จแล้วนางเหลือบเห็นแหวนในนิ้วมือของอ้ายน้อง จึ่งขอไว้เบิ่งตางหน้าคนละวง แล้วนางไขตลับหยิบพวงแหวนอยู่ในตลับนั้นมาให้เบิ่ง พร้อมกับถามว่า “นี้แม่นหยัง ท่านทังสองฮู้บ่” สองอ้ายน้องบอกว่า “บ่ฮู้ ขอเซิญนางบอกให้ฮู้ด้วย”

นางจึ่งบอกว่า “ซายผู่ได้อุดหนุนความประสงค์ของข้าพเจ้า ได้แหวนเหล่านี้ไว้คนละวงในพวงนี้มีแหวนอยู่ ๙๘ วงแล้ว นี้แสดงว่าข้าพเจ้ามีคู่ฮักผ่านมาแล้วมี ๙๘ คน (นอกจากยักษ์ตัวนี้) ถ้าท่านสองคนให้อีกคนละวง ก็จะเป็น ๑๐๐ วงพอดี”

เมื่อสองกษัตริย์ได้ถอดแหวนให้แล้ว นางเว้าต่อไปว่า “เบิ่งเอาเดอท่าน เถิงแม่นว่า ยักษ์ตัวนี้มันเป็นผัวของข้าพเจ้า มันระวังฮักษาข้าพเจ้าไว้อย่างแข็งแฮง จนเอาข้าพเจ้าใส่ไว้ในอูปแก้ว อัดกะแจ แล้วเอาถ่วงลงไว้ใต้สายบือทะเลพุ้นก็ตามข้าพเจ้ายังสามารถลักลอบหลิ้นซู้ได้เถิง ๑๐๐ คนแล้ว ท่านจ่งเข้าใจไว้สาแต่เดียวนี้ว่า เมื่อสัตตีมีเจตนาซิเฮ็ดอันใดแล้ว เป็นต้องเฮ็ดได้สำเร็จจนได้ซายซู้หรือผัวบ่สามารถป้องกัน หรือม้างแปความโลภของผู่ญิงได้ด้วยความระวังฮักษา ซายทังหลายบ่ควรจะบังคับบัญซาผู่ญิงหลาย ย้อนว่าจะตัดความโลภของผู่ญิง ที่เกิดขึ้นแล้วให้เหือดหายไปด้วยการบังคับบ่ห่อนสำเร็จ ถ้าสัตตีใดมีใจจะฮักษาความบริสุทธิ์ของตนแล้ว ก็บ่จำเป็นต้องระวังฮักษาให้เสียเวลาเลย”

ว่าแล้วนางก็เอาแหวนสองวงนั้นฮ้อยเข้าใส่พวงนำหมู่ ย่างกับคืนไปหายักษ์ นั่งลงโจมหัวยักษ์ขึ้น ใส่ตักตามเดิม แล้วงวกหน้ามาบอกให้สองอ้ายน้องฟ้าวหนีไป

พญาวิมะละกับพระอนุซา ฟ้าวเสด็จกลับคืนนำทางเก่า พอพ้นสายตาของนางฮ้อยผัวมาแล้วจึ่งลมกับพระอนุซาว่า “เหตุการณ์ที่เกิดประจักษ์แก่ตาเฮานี้ น้องคึดว่าจั่งใด เบิ่งแม ยักษ์ผู่มีฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ เป็นที่ยำแยงของมนุษย์ทังหลายทั่วไปเถิงปานนี้ มันก็ยังหาเมียที่ซื่อสัตย์บ่ได้ เจ้าคึดเห็นบ่ว่า แม่นหยังก็บ่คือความถ่อยของสัตตีอ้ายเซื่อว่า คงบ่มีผู่ซายคนใดในโลก ที่จะใซ้อำนาจบังคับ ความมีใจโลเลของสัตตีได้”

ท้าววีระเสนทูลว่า “แม่นแล้วข้าน้อย และพร้อมกับเหตุการณ์ที่ได้เห็นนี้ ข้าน้อยขอทูลว่ายักษ์ตัวนั้นมีเคราะห์ฮ้ายกว่าเขาหลาย ถ้ามันจะจ่มว่า ได้รับภัยจากสัตตี มันก็คงมีเรื่องที่จะจ่มหลายกว่าเฮา เพราะสะนั้น ขอเซิญพระองค์เสด็จกลับคืนพระนครเทาะ เพราะพวกเฮาได้พบพ้อซายที่มีเคราะห์ฮ้ายในเรื่องสัตตีหลายกว่าเฮาแล้วต่อไปขอพระองค์อย่าได้ถือเอาความบ่มีสัตย์ของผู่ญิง มาเป็นอารมณ์ให้เกิดความหม่นหมองใจเลยส่วนมเหสีของพระองค์นั้นพระองค์จะใส่โทษสถานใดหรือบ่ใส่นั้น ก็สุดแล้วแต่พระองค์ เป็นแต่การจะอภิเษกกับญิงคนใหม่ และจะคึดป้องกันสถานใดนั้น ก็สุดแล้วแต่พระองค์อีก ส่วนข้าพเจ้าฮู้จักวิธีฮักษาความสุจริตของสัตตี ที่จะมาเป็นเมียนั้นได้แล้ว แต่จะบ่กราบทูลให้พระองค์ทราบในเวลานี้”

พญาวิมะละเห็นดีนำในการเสด็จกลับคืนพระนคร จึ่งพากันเสด็จกลับมาเถิงผามไซย ในเวลาค่ำของวันถ้วนสาม เถิงวันฮุ่งเซ้ามาก็เตินไพร่พลโยธา กลับคืนพระนครด้วยความเบิกบานใจ พอเสด็จเข้าไปในพระราชวัง ก็มีพระราชดำรัสให้ทหารมหาดเล็กไปจับนางมหาเทวี ผู่อาสัตย์นั้นมามอบให้มหาอำมาตย์เอาไปข้าถิ้มทันที มหาอำมาตย์รับพระราชโองการแล้ว ก็กุมเอานางอุบาทว์นั้นไปทุบหัวเสีย โดยบ่ฮู้ซ้ำว่านางมีโทษอย่างใด เมื่อให้ประหารพระมเหสีแล้ว พญาวิมะละก็ยังบ่หายเคียด เสด็จเข้าไปในผาสาท ฟันนางสาวใซ้ของพระมเหสีเสียทังหมด ตายกลิ้งเกลือกอยู่ในผาสาทนั้นทัง ๑๐ คน

เมื่อประหารสัตตีอุบาทว์ ๑๐ คนนั้น สำเร็จแล้ว พญาวิมะละก็ทงตั้งพระทัยไว้ว่า ตั้งแต่นี้ไปเฮาจะหานางสาวมาเป็นเมีย คืนละคน แต่พอฮุ่งแจ้งขึ้น ก็จะให้ข้านางนั้นเสีย แล้วหาใหม่มานอนนำคืนละคน เป็นทำนองนี้เสมอไป และโดยอุบายอย่างนี้ เฮาจึ่งจะมีเมียที่เป็นผู่บริสุทธิ์ได้ เมื่อพระองค์คิดดั่งนี้แล้ว ก็ตั้งพระทัยได้อย่างหมั้นคงว่า จะต้องปฏิบัติตามความคึดนั้นตลอดไป

ฝ่ายพระอนุชา พักเซาอยู่นำพระเซษฐาพอสมควรแล้ว ก็เสด็จกลับคืนไปนครของตน เมื่อพระอนุซากลับคืนไปแล้ว พญาวิมะละก็ตรัสสั่งให้มหาอำมาตย์ เอาลูกสาวของนายพลคนนึ่งเข้ามาถวายมหาอำมาตย์ได้รับพระราซโองการแล้ว ก็ปฏิบัติตามพระราซประสงค์ พญาวิมะละนอนนำนางนั้นตลอดคืนแล้ว แจ้งมาก็บอกให้เอานางนั้นไปข้าเสียแล้วตรัสสั่งให้หานางใหม่มาให้ทุก ๆ วัน ถ้าหาบ่ได้ตัวมหาอำมาตย์และลูกเมียจะต้องได้รับโทษประหารหมดทั้งโคตร

เหตุการณ์เป็นดั่งนี้ มหาอำมาตย์ก็จำเป็นต้องจัดการตามพระราซประสงค์ คือคืนที่สองได้พาเอาบุตรีของนายทหารซั้นผู่น้อยเข้าไปถวาย ฮุ่งแจ้งมาก็ให้เอานางนั้นไปข้าถิ้มตามเคย คืนที่สามมา ได้พาเอาบุตรีของข้าราซการคนหนึ่ง เข้าไปถวาย คืนที่สี่ได้เอาบุตตีของพ่อค้า คืนที่ห้าได้เอาบุดตีของซาวเมือง เหตุการณ์เป็นดั่งนี้ต่อ ๆ ไปจนเกิดเป็นความเดือดฮ้อนข้อนกระหายต่อพลเมืองทั่วไป จากการทารุณกรรมของกษัตริย์นั้น

ตั้งแต่ก่อน ๆ มา อาณาประซาราษฎรทังหลาย มีความเคารพนบน้อมและฮักหุมพระมหากษัตริย์เป็นอันยิ่ง พากันเว้าสอระเสริญเยินยออยู่บ่ขาด ด้วยว่าพระองค์ทงพระเมตตา กรุณาต่อไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ดุจดั่งโอรสของพระองค์เอง มาบัดนี้ข่าวความโหดฮ้ายทารุณของกษัตริย์นั้นได้ลือซาผากฎไปทั่วพระนคร เสนาอามาตย์ราษฎรทังหลาย พากันสะดุ้งตกใจ กลัวขนหัวลุกทุกครัวเฮือนเหตุการณ์เป็นดั่งนี้ พวกอำมาตย์ราซปุโรหิตทังหลาย ก็บ่สามารถทูลคัดค้านได้ เพราะพระองค์ได้ตั้งพระทัยไว้อย่างแหน้นหนาแล้ว

บัดนี้จักกล่าวเถิงมหาอำมาตย์ผู่มีหน้าที่หานางสาวมาถวายพญา ท่านอำมาตย์ผู่นั้นมีลูกสาวอยู่สองคน ผู่เอื้อยซื่อนางตันไต ผู่น้องซื่อนางวิไลวรรณ นางตันไตนั้นเป็นผู่มีสิริลักษณะงามเลิศทังมีความฮู้และผญาปัญญาอย่างยอดยิ่ง ประกอบด้วยความกล้าหาญ และความเมตตากรุณาแก่คนทั่ว ๆ ไป ส่วนนางวิไลวรรณนั้นก็งามบ่ใซ่หน้อยเหมือนกัน ท่านมหาอำมาตย์มีความฮักแพงนางทังสองนี้ปานหน่วยตา

อยู่มามื้อนึ่งท่านมหาอำมาตย์คึดเถิงพระราซอาญาสั่งของพระเจ้าแผ่นดิน ในเรื่องให้หานางสาวไปถวาย และนางสาวทังหลายที่ไปนอนนำพระกษัตริย์นั้น ถืกข้าตายทุก ๆ วันด้วยมือของท่านเอง ท่านเลยเกิดความโศกเศร้าหม่นหมองใจบ่เป็นอันกินอันนอน เพราะเมื่อตนเองหาบ่ได้วันใด วันนั้นตัวเองก็ต้องตาย ถ้าหากหาได้เสมอไปทุก ๆ วัน กุลสัตตีทังหลายในนครอุทัยะนะก็จะดับสูญประซากร จะพากันเดือดร้อนเหลือกำลัง เหตุทังสองประการนี้พาให้ท่านอุกอั่งจนจ่อยผอมลง

นางตันไตได้เห็นบิดาโศกเศร้าหม่นหมองใจจึ่งเข้าไปหาพ่อ แล้วเว้านำพ่อว่า “ขอโทษนำญาพ่อ เดียวนี้ลูกสังเกตเห็นว่า พ่อคงมีความอุกอั่งหลาย ในเรื่องพระราซอาญาของพระเจ้าแผ่นดินสะนั้นเรื่องนี้ลูกขอรับอาสาตัดรากเหง้าของความซั่วฮ้ายของพระเจ้าแผ่นดินนั้นเสีย ญาพ่อจะเห็นว่าอย่างใด” มหาอำมาตย์ถามว่า “ลูกคึดเฮ็ดอย่างใด พ่อเห็นว่า ตามที่เจ้าจะรับอาสาหาทางตัดความซั่วฮ้ายของพระราชานั้น บ่มีทางจะเฮ็ดได้เลย” นางตันไตตอบว่า “แม่นพ่อบ่ เป็นเจ้าหน้าที่หาผู่ญิง เข้าไปถวายพระเจ้าแผ่นดินทุกวัน ถ้าดั่งนั้น วันต่อ ๆ ไป ก็ให้พ่อเอาลูกนี้ เข้าไปถวายเพิ่นก็แล้วกัน ด้วยวิธีนี้ท่อนั้น ลูกจะตัดรากเหง้าของความโหดร้ายของพระเจ้าแผ่นดินลงได้”

มหาอำมาตย์ได้ยินลูกสาวเว้าดั่งนั้น ก็เว้าขัดขั้นในทันทีว่า “ลูกฮักของพ่อเอย เป็นหยังเจ้าจึ่งเว้าจั่งซี้ บ่แม่นลูกเป็นบ้าแล้วหวะ การที่เจ้าขันอาสาเข้าไปทำการคราวนี้ เจ้าบ่ฮู้หรือว่า พระกษัตริย์เพิ่นได้ตั้งพระทัยไว้แล้วว่า จะมีเมียนอนฮ่วมแต่เพียงคืนเดียวท่อนั้น ครันแจ้งมาเพิ่นให้เอาไปข้าถิ้ม เสียแล้วหาเอาใหม่ พระองค์บ่ยอมนอนกับญิงคนเดียวสองคืนเป็นอันขาด เรื่องนี้เจ้าก็ฮู้อยู่เต็มอกแล้ว เหตุใดเจ้าจึ่งมาขันอาสาเข้าไปหาไฟ จ่งฮ่ำฮอนเบิ่งให้ดีก่อน”

นางตันไตเลยว่า “ลูกฮ่ำฮอนเบิ่งดีแล้วฮู้ว่าอันตรายอย่างใหญ่หลวงนั้น จะเกิดลามมาเถิงลูกคือกัน แต่ว่าความย้านกลัวต่อภัยอันตรายใหญ่หลวงนี้ บ่สามารถขัดขวางความคึดของลูกได้ ลูกจะต้องเฮ็ดตามที่คึดไว้จนได้ ถ้าว่าตายก็ได้ซื่อว่าตายอย่างสมเกียรติยศอย่างแท้จริง ถ้าแม่นทำการสำเร็จก็จะได้ซื่อว่า เป็นผู่ได้ทำคุณอันใหญ่ยิ่งแก่ประเทศซาติของตน”

มหาอำมาตย์เว้ายืนคำว่า “บ่ได้ บ่ได้ ในเรื่องนี้ เถิงเจ้าจะเว้าอย่างใด พ่อก็บ่ยอมอนุญาตให้เจ้าเฮ็ดตามความตั้งใจของเจ้าได้ พ่อจะปละเจ้าให้ตกอยู่ในอันตรายอย่างขนหัวลุกนั้นบ่ได้เป็นอันขาด โอ ให้ลูกคึดเบิ่งคัก ๆ ตี้ว่า เมื่อเวลาพระกษัตริย์ตรัสสั่งให้พ่อเองเป็นผู่ข้าเจ้า พ่อจะขัดคำสั่งได้หรือ เถิงแม่นเจ้าจะบ่สะท้านย้านต่อความตายก็ตาม แต่ลูกต้องคึดเห็นแด่ว่า หน้าเวียกของพ่อนี้หนักพอปานใด พ่อจะต้องเป็นผู่ข้าลูกที่สุดฮักดั่งดวงใจด้วยดาบของตนเอง พ่อจะฝืนใจอดทนต่อความสยองอย่างแสนสาหัสนั้นได้อย่างใด”

ฝ่ายนางตันไตได้ยินพ่อห้ามดั่งนั้นก็บ่ยอมยังขืนไหว้วอนพ่ออยู่ ขอให้พ่อฟ้าวพาไปถวายพระเจ้าแผ่นดินจนได้ มหาอำมาตย์คดเคียดขึ้นจิ่งเว้าต่อลูกสาวว่า “เจ้านี้ดื้อหลาย อ้อนวอนอยู่บ่เซา เว้าให้ฟังท่อใดแฮ่งหม้น คนแนวนี้ ดีแต่ฆ้อนใส่หลังจักสองสามบาด ปานกันกับเมียพ่อนานั้นแหละ มันจิ่งจะเซาอ้อนวอน” นางตันไตถามพ่อว่า “เมียพ่อนาเป็นอย่างใด” มหาอำมาตย์ตอบว่า “เจ้าจ่งฟัง พ่อจะเว้าให้ฟังเดียวนี้”

(จบตอนที่ ๒)

ขอบคุณภาพจาก เฟสบุ๊ก Dulyapak Preecharush – ดุลยภาค ปรีชารัชช. สะบายดี : ลูกสาวหล่า “มหาสิลา วีระวงส์”

คอลัมน์ คองอีศาน นิตยสารทางอีศาน ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๑๐๔ | ธันวาคม ๒๕๖๓

อ่านตอนที่ ๑ นิทานเรื่องนางตันไต หรือปัญจะตันตระ (ตอนที่ ๑)

.
ราคาเล่มละ ๑๐๐ บาท
สมัครสมาชิก ครึ่งปี ๖๐๐ บาท
หนึ่งปี ๑,๑๐๐ บาท
ตลอดชีพ ๙,๕๐๐ บาท (ได้รับหนังสือย้อนหลัง)
.
สั่งซื้อ// ชำระเงิน // สอบถามเพิ่มเติม ได้ทาง
inbox หนังสืออีศาน m.me/166200246799901
line id : @chonniyom (มี@) คลิก https://lin.ee/amxqtvW
shopee : https://shp.ee/ji8x6b5
LnwShop : https://www.thaibookfair.com/seller/chonniyom-eshann
โทร. 086-378-2516
บริษัท ทางอีศาน จำกัด
244/539 รามอินทราซอย 5 แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กทม. 10220

Related Posts

มณีในเอกสารโบราณ สมุดไทย ใบลานวัดบ้านม่วงน้อย
ส่งท้าย ปี ๒๕๖๓
WP2Social Auto Publish Powered By : XYZScripts.com