โลกหลังประชาธิปไตย (3)
โดย… “เสรี พพ”
ราชาธิปไตยเทคโนแบบยาร์วินกับเจ้าผู้ปกครองแบบมักเกียเวลลี
แนวคิดของยาร์วินกับมักเกียเวลลีมีอะไรหลายอย่างที่คล้ายและแตกต่างกัน ขบวนการ “เรืองปัญญามืด” และแนวคิดเรื่อง “ราชธิปไตยเทคโน” ของยาร์วินเน้นการวิจารณ์ประชาธิปไตยและเสนอระบบการปกครองแบบรวมศูนย์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งคล้ายกับการบริหารบริษัทเทคโนโลยี แนวคิดเหล่านี้สามารถเปรียบเทียบกับผลงานทางการเมืองคลาสสิกของมักเกียเวลลี อย่าง “เจ้าผู้ปกครอง” (The Prince) ดังนี้
ความคล้ายที่ 1 อำนาจรวมศูนย์
ยาร์วินสนับสนุนแนวคิดที่ว่าผู้ปกครอง (เปรียบเสมือน CEO) ควรมีอำนาจรวมศูนย์และควบคุมอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับการบริหารบริษัทที่มีประสิทธิภาพ
มักเกียเวลลีเห็นว่าผู้ปกครองที่แข็งแกร่งจำเป็นในการรักษาความสงบเรียบร้อยและเสถียรภาพ ซึ่งควรมีการรวมศูนย์อำนาจไว้ในมือของผู้ปกครองเพียงคนเดียว
ความคล้ายที่ 2 ความเป็นจริงมากกว่าอุดมคติ
ทั้งสองต่างยึดหลักปฏิบัติที่เน้นความเป็นจริง มากกว่าจะยึดในอุดมการณ์ ยาร์วินวิจารณ์ประชาธิปไตยว่าไม่มีประสิทธิภาพและเต็มไปด้วยความวุ่นวาย มักเกียเวลลีเน้นว่าผู้ปกครองต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และให้ความสำคัญกับสิ่งที่ได้ผล แม้ว่าจะต้องทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องทางศีลธรรมก็ตาม (การเมืองกับศีลธรรมสำหรับเจ้าผู้ปกครองเป็นสองอย่างที่ต่างกัน ไม่เอามาปนกัน)
ความคล้ายที่ 3 แนวคิดชนชั้นนำ
ยาร์วินโน้มเอียงไปทางชนชั้นนำ โดยมองว่าการปกครองควรถูกจัดการโดยบุคคลที่มีความสามารถสูงสุด เช่น ผู้บริหารหรือผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี มักเกียเวลลี สนับสนุนผู้ปกครองที่มีคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างจากประชาชนทั่วไป เช่น ความชาญฉลาดและการตัดสินใจที่เด็ดขาด (เป็นทั้งสิงโตและหมาจิ้งจอก)
ความคล้ายที่ 4 การควบคุมข้อมูล
ยาร์วินให้ความสำคัญกับการควบคุมเรื่องราวหรือข้อมูล ซึ่งเปรียบได้กับวิธีที่บริษัทเทคโนโลยีจัดการภาพลักษณ์สาธารณะ มักเกียเวลลีกล่าวถึงความสำคัญของการจัดการภาพลักษณ์และชื่อเสียง โดยชี้ให้เห็นว่าผู้ปกครองต้องใส่ใจกับการรับรู้ของประชาชน (ให้พวกเขากลัวดีกว่าให้เกลียด โดยไม่จำเป็นต้องให้รัก)
ความคล้ายที่ 5 ความสงสัยในธรรมชาติมนุษย์
ยาร์วินมองว่าระบบประชาธิปไตยมีข้อบกพร่องเพราะความไร้เหตุผลของมวลชน มักเกียเวลลีมองว่ามนุษย์มีความเห็นแก่ตัวโดยธรรมชาติ และผู้ปกครองต้องตระหนักถึงความจริงข้อนี้ในกลยุทธ์ของพวกเขา
ความแตกต่างระหว่างยาร์วินกับมักเกียเวลลี
ประการที่ 1 บริบททางประวัติศาสตร์และการประยุกต์ใช้ มักเกียเวลลีอยู่ในบริบทของยุคฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม (Renaissance) ในอิตาลี โดยมุ่งเน้นการต่อสู้ทางการเมืองของรัฐและการใช้กำลังทหาร ส่วนยาร์วิน คนของยุคนี้ ที่มีแนวคิดสมัยใหม่ที่ได้รับอิทธิพลจากบริษัทเทคโนโลยี การพัฒนาเทคโนโลยี และการวิจารณ์ประชาธิปไตยในยุคปัจจุบัน
ประการที่ 2 เป้าหมายสุดท้าย มักเกียเวลลีมุ่งเน้นไปที่การรักษาเสถียรภาพและการอยู่รอดของรัฐ ยาร์วินให้ ความสำคัญกับการออกแบบระบบการปกครองรูปแบบใหม่ที่เขาเชื่อว่าจะมีประสิทธิภาพและก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากกว่าประชาธิปไตย
ประการที่ 3 บทบาทของศีลธรรม มักเกียเวลลีแนะนำให้ผู้ปกครองทำสิ่งที่ผิดศีลธรรมเมื่อจำเป็น แต่ยังคงต้องรักษาภาพลักษณ์ของความมีคุณธรรม (อย่าให้ถูกมองว่าเป็นคนเลวร้าย) ยาร์วินเน้นที่การออกแบบโครงสร้างระบบมากกว่าคุณธรรมส่วนตัวของผู้ปกครอง (อาจทำตัวว่า “ศรีธนญชัย” ได้ถ้าจำเป็น)
ประการที่ 4 กลไกของอำนาจ มักเกียเวลลีเห็นว่าพลังอำนาจส่วนใหญ่มาจากกำลังทหารและความฉลาดทางการเมือง ยาร์วินเชื่อว่าพลังอำนาจในยุคปัจจุบันมาจากเทคโนโลยี การบริหารที่มีประสิทธิภาพ และการควบคุมข้อมูล
มีข้อสังเกตว่า แม้ยาร์วินจะไม่ได้อ้างถึงมักเกียเวลลีโดยตรง แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาได้รับอิทธิพลแนวคิดของมักเกียเวลลีด้วย ความคล้ายคลึงในมุมมองเรื่องอำนาจ ความเป็นจริง และการปกครอง แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงทางปรัชญา แม้ว่าแนวคิดของยาร์วินจะมีความล้ำยุคและได้รับอิทธิพลจากเทคโนโลยีมากกว่า
อย่างไรก็ตาม อิทธิพลหลักของยาร์วินมาจากนักคิดคนอื่น เช่น Thomas Carlyle (ผู้สนับสนุนแนวคิดเรื่องผู้นำที่กล้าหาญ) Hans-Hermann Hoppe (นักอนาธิปไตยที่เชื่อในระบอบกษัตริย์) และการวิจารณ์แนวคิดในยุคเรืองปัญญา (Enlightenment)
25 มกราคม 2024