ขอโทษ…พ่อบ่เห็นอีหลี !
ความเป็นไม้เบื่อไม้เมาระหว่างพ่อเฒ่ากับลูกเขยนั้น มันมีอยู่ทั่วไปในสังคม “ทางอีศาน” เพราะลูกเขยมักจะต้องถูกบีบบังคับด้วย “ฮีตคอง ประเพณี” มาตามยุคตามสมัยแต่พ่อเฒ่ากับลูกเขยคู่นี้ มีความผิดแผกจากคู่อื่น ๆ เพราะพ่อเฒ่าเป็นผู้มีศีลธรรมประจำใจ “ฮู้ผิด ฮู้ถืก” ไม่ถือสาในการกระทำของบักลูกเขยเท่าใดนัก แม้บางครั้งบักลูกเขยมันแสดงออกนอกลู่นอกทางบ้าง พ่อเฒ่าก็ทำที “เอาหูไปนา เอาตาไปไฮ่” เสีย เพราะถือว่า “มันเป็นผัวลูกสาว” ถ้าขืนไปยุ่งจุก ๆ จิก ๆ มากไป เกิดมันป๊ะมันทิ้งลูกสาวแกไปลูกสาวแกก็จะเป็น “แม่ฮ้าง” ก็จะขายหน้าไทบ้านจึงต้องทนข่มใจทำใจ
การเดินทางสู่โลกของชาวนา ก้าวแรกที่บ้านกระพี้
แม้สังคมทั่วไปในช่วงนั้นจะมองภาพของสังคมชาวนา/ชนบทในมิติเดียวด้วยทัศนะที่คับแคบ โดยสร้างวาทกรรมขึ้นพูดกันติดปากทั่วไปโดยเฉพาะจากคนของภาครัฐฯว่า “โง่ จน เจ็บ” ทั้ง ๆ ที่ลึก ๆ แล้วบรรดาข้าราชการอำมาตย์ทั้งหลายก็มีสภาพโง่/จน/เจ็บไม่แพ้ชาวนาเลย แถมหลาย ๆ คนมีการศึกษาขั้นโงหัวลืมตาอ้าปากชุบตัวผ่านระบบการศึกษาเล่าเรียนมาได้ ก็ด้วยหยาดเหงื่อแรงงานของพ่อ-แม่ที่เป็นชาวนา/เป็นเกษตรกรมาทั้งนั้น!
ฮีต-คอง : อิ่มแล้ว…พาน้องไปเล่นวัด
อิ่มแล้ว...พาน้องไปเล่นวัด ประโยคนี้ให้สิ่งที่เป็นคุณค่าแก่คนอีสานมากกว่าอรรถหรือพยัญชนะ อิ่มแล้ว โดยอรรถหมายถึง อิ่มจากการรับประทานมื้อเย็น ซึ่งเป็นมื้อที่เย็นจริง ๆ คือ ข้าวไม่ร้อน เพราะยังไม่ถึงเวลาอุ่นข้าวเนื่องจากยังไม่เย็นมาก ... ยังไม่ถึงยามแลง-ยามงาย เป็นช่วงที่พ่อ-แม่ยังวุ่นอยู่กับงาน ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องหุงหาอาหาร เป็นการกินเพื่อรองท้อง มากกว่าจะกินเอาอิ่มเอาออกและสะท้อนให้เห็นว่า ภารกิจนำน้องไปวัดนั้นต้องใช้เวลา และใช้พลังงานมาก จึงต้องรองท้องให้มีแรงก่อน
“ด้ำ แถน กำเนิดรัฐไท” เป็นการสาวรกรากต้นตอคนไท|ไต|ลาว|สยาม|ไทย ผ่าน “สัญญปริศนา”
“ด้ำ แถน กำเนิดรัฐไท” เป็นการสาวรกรากต้นตอคนไท|ไต|ลาว|สยาม|ไทย ผ่าน “สัญญปริศนา” ในภาพชุดประติมากรรมบนฝากลองมโหรทึกและหม้อใส่เบี้ยของอาณาจักรเตียนในยูนนาน โดยอาศัยแนวคิดทฤษฎี “อรรถปริวรรตกรรม”
การปรากฏตัวของนักการเมืองคนกล้า กับฉากอำลาตำแหน่งนายกฯ ของพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา (๕)
ก่อนจะพูดถึงบทบาทของ ส.ส. อีสานรุ่นที่ ๒ จากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง และเป็นกลุ่มนักการเมืองที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองอีสาน และของประเทศไทย ควรจะทำความเข้าใจบทบาทชีวิตทางการเมืองของพันเอกพระยาพหลฯ นายทหารนักประชาธิปไตย เพื่อจดจำรำลึกถึงคุณูปการของท่านเพิ่มเติมจากที่เขียนไว้ในบทที่สี่
ฝันเห็นกบ แปลเป็นเลข ๓๒
หลาน... “งวดนี้ เจ้าฝันว่าจั่งได๋น้อ พ่อใหญ่...”
พ่อใหญ่... “กูฝันเห็นกบ...มันโตนน้ำ...”
หลาน... “เจ้าแปลจั่งได๋ พ่อใหญ่ ฝันเห็นกบเจ้าจั่งแปลเป็นเลข ๓๒ เว้าเบิ่งดู้...”





