นวนิยาย: กาบแก้วบัวบาน (๔)

กาบแก้วบัวบาน (๔)
ทางอีศาน ฉบับที่๔ ปีที่๑ ประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕
คอลัมน์: นวนิยาย
Column: Novel “Karb Kaeo Bua Baan” (Glassy Lotus Petals)
ผู้เขียน: ณรงค์ฤทธิ์ ศักดารณรงค์


หลายวันแล้วที่เหมราชใช้ชีวิตเป็นชาวเมืองศรีโคตรบูร รุ่งเช้าของทุกวันเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ให้หมดไปกับการเดินเล่นในสวนดอกไม้ เขาเดินจนทั่วสวนแล้วออกไปถนนใหญ่ด้านหน้าเรือนรับรองเมื่อสบโอกาสจึงพยายามหาตู้โทรศัพท์สาธารณะแต่ไม่พบ ตามถนนหนทางมีแต่ผู้คนเดินพลุกพล่านถามหาตู้โทรศัพท์จากชาวบ้าน ไม่มีใครรู้จัก แถมยังมองด้วยแววตาสงสัย เขาเดินหาเกือบทั่วเมืองเดินจนเหงื่อโชกแต่ไม่เห็นมีแม้แต่ตู้เดียว จึงแปลกใจเพราะยิ่งเดินไปไกลเท่าไร ถนนก็เริ่มหายกลายเป็นต้นไม้ในป่าใหญ่ ยิ่งเดินไปไกลป่าก็ยิ่งลึกและทึบมากขึ้น ด้วยความแปลกใจจึงเดินไปหยุดยืนใต้ต้นประดู่ใหญ่ หายใจลึกยาวแล้วนั่งพักเอาแรงบนชะง่อนหิน ค่อย ๆ เงยหน้าทอดสายตามองไปข้างหน้า สิ่งที่เห็นเป็นน่านน้ำกว้างใหญ่ ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นแต่น้ำจรดฟ้า

ทั้งที่ตั้งใจเดินหาตู้โทรศัพท์สาธารณะ กลับกลายเป็นหลงทางมาอยู่กลางป่าลึก ป่าแห่งนี้มีน่านน้ำกว้างใหญ่ ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงอีกต่างหากสิ่งที่ต้องการคืออยากติดต่อนาฏนภางค์ให้ได้เร็วที่สุด เพื่อคุยกับน้องสาว หรือไม่ก็ได้แจ้งข่าวกับคุณยาย ตลอดทั้งคุณพ่อคุณแม่ อดแปลกใจไม่ได้ที่เมืองทั้งเมืองไม่มีตู้โทรศัพท์สาธารณะ เดินหาอยู่ดี ๆ กลายเป็นหลงทางมาอยู่กลางป่าลึกนอกจากป่าแล้วยังเต็มไปด้วยภูเขาสูงผุดโผล่กลางน่านน้ำ

ไม่อยากเชื่อแต่ต้องเชื่อ เพราะทุกอย่างประสบพบเห็นด้วยตัวเอง จึงได้แต่ถอนหายใจแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้า คิดอะไรต่อมิอะไรเงียบ ๆ ลมเย็น ๆ เพลินใจดี

เมื่ออยู่คนเดียวเงียบ ๆ ถึงจะเพลินใจมากเพียงใดก็อดคิดเป็นห่วงงานในความรับผิดชอบไม่ได้ คุณพ่อเป็นผู้บริหารสูงสุดของบริษัทก็จริง แต่เมื่อไม่มีเขาอยู่ช่วยอีกแรง งานบางอย่างของบริษัทใหญ่และบริษัทในเครือคงยุ่งยากน่าดู ป่วยการคิดเพราะทำอะไรไม่ได้ จึงได้แต่ถอนหายใจ นั่งมองภูเขากลางสายน้ำ เห็นบัวหลากสีแย้มบานทั่วชายฝั่ง ปลาล่าเหยื่อตีน้ำดังจุ๋มจ๋ำ เมฆสีขาวลอยตัวเหมือนปุยนุ่นว่อนลม นั่งปล่อยใจกินลมจนเหงื่อแห้ง เริ่มรู้สึกสดชื่นจึงลุกขึ้นเดินตั้งใจจะกลับเรือนรับรอง ยิ่งเดินก็ยิ่งหลงทางเข้าป่ารก ขณะเดินมาถึงพุ่มไม้ข้างโขดหิน ทั้งพุ่มไม้ทั้งกอหญ้ายวบยาบไหว เริ่มไหวเบา ๆ แล้วแรงขึ้นเรื่อย ๆ

งูใหญ่ตัวหนึ่งผงกหัวชูคอสูงขึ้นเหนือพุ่มไม้ทำเสียงขู่ฟู่ ๆ แลบลิ้นแผ่พังพานเหมือนจะพุ่งเข้ามาฉก เหมราชตื่นตะลึงยืนมองอยู่กับที่ ทั้งกลัวทั้งแปลกประหลาด ทำไมพบงูใหญ่บ่อยครั้ง แต่ละครั้งที่พบเห็นตัวใหญ่โตเท่าต้นไม้ข้างทาง เมื่อนึกได้ว่าตัวเองอยู่ในป่าลึก จึงไม่แปลกอะไร สิ่งต้องทำคือพาตัวหนีให้รอดจากภัยอันตราย

งูใหญ่ยกหัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ จึงมองเห็นถนัดตามันเป็นงูขนาดใหญ่ลำตัวสีเขียว ท้องสีขาว ตาสีแดง แลบลิ้นอ้าปากเขี้ยวแหลมโง้ง ขู่เสียงฟู่ ๆ แรงเหมือนลมพัดป่า ถ้ามันพุ่งเข้ามาทำร้ายเขาคงกลายเป็นเหยื่อไม่มีทางรอด ถึงจะตกใจกลัวมากเพียงใด ก็พยายามแข็งใจข่มความรู้สึกไม่ให้ลนลาน ในวินาทีหน้าสิ่วหน้าขวาน สิ่งที่ทำได้คือนิ่งให้มากที่สุด เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น งูใหญ่ค่อย ๆ ลดหัวต่ำลงจนถึงพื้นดิน แล้วเลื้อยหายเข้าไปในพุ่มไม้หลังโขดหิน

เขาไม่รอช้า รีบเดินผ่านไปรวดเร็ว เดินไปได้ไม่ไกลเท่าไร เจ้าเชียงรุ้งโผล่ออกมาจากป่าไม้ข้างหน้า ทั้งที่ยังไม่หายตกใจกลัว แต่ก็แข็งใจถาม

“เจ้าเชียงรุ้ง มาทั้งทีทำไมเงียบนัก”

“เช้านี้อากาศแจ่มใส ข้าตั้งใจจะพาสหายไปเดินเล่นชมเมือง”

“ข้าออกมาเดินหาตู้โทรศัพท์ ขออภัยที่ไม่บอกให้รู้”

“ไปกันเถิดสหาย” เจ้าเชียงรุ้งเปลี่ยนเรื่องพูดท่าทางและน้ำเสียงเหมือนไม่ใส่ใจตู้โทรศัพท์ตามคำพูดของเหมราช “เราไปเดินเล่นชมเมืองด้วยกัน”

เหมราชรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันที การได้พบเจ้าเชียงรุ้งแบบไม่คาดคิด อย่างน้อยก็ช่วยทำให้หายกลัว เกือบจะพลั้งปากเล่าเรื่องงูใหญ่ ใจหนึ่งฉุกคิดว่าควรปกปิดเป็นความลับ เพราะตัวเองต้องการตู้โทรศัพท์สาธารณะมากที่สุด ขืนบอกความจริงให้รู้อาจมีปัญหา

“อากาศสดชื่นดีมาก มองทางไหนเห็นแต่น้ำจรดฟ้า ภูเขาโผล่ขึ้นทั่วน่านน้ำ ตะวันสีทองส่องฟ้าสีคราม เมฆสีขาวลอยปกคลุมหุบเขา กิ่งไม้ใบหญ้าไหวลม” เหมราชเป็นฝ่ายเปลี่ยนเรื่องพูด ท่าทางและคำพูดเหมือนตัวเองอยู่ในความฝัน “มองไปข้างหน้า โค้งภูเขาสูงเหมือนกำแพงเมือง ไม่มีที่ไหนสวยงามเท่ากับที่นี่”

“จริงหรือ”

“จริง”

“ถ้าเช่นนั้น” เจ้าเชียงรุ้งเน้นเสียงหนัก “เจ้าจงบอกข้า สัญญากับข้า เจ้าเป็นชาวเมืองศรีโคตรบูร และจะอยู่ศรีโคตรบูรตลอดชีวิต”

“แน่นอน ข้าเป็นชาวเมืองศรีโคตรบูร” เหมราชพูดโดยไม่คิด มองไปยังพุ่มไม้เพื่อความแน่ใจจ้องมองกระทั่งมั่นใจไม่มีงูใหญ่อยู่ในนั้น ค่อย ๆ กวาดสายตามองสำรวจไปทั่ว เมื่อเห็นทุกอย่างกลับสู่ปกติ จึงผ่านสายตาไปมองดูดอกบัวบานเหนือสายน้ำ ตกอยู่ในความเงียบชั่วครู่แล้วพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “ข้าให้สัญญา ข้าเป็นชาวเมืองศรีโคตรบูรตลอดชีวิต”

“สัญญาที่เจ้าให้ ถือเป็นสัจจะลูกผู้ชาย”

“ลมพัดผิวน้ำ ฟังเสียงแล้วเพลินดี เหมือนคนกำลังพูดคุยกัน คล้ายเสียงหัวเราะ เหมือนกำลังสนุกสนาน บางครั้งฟังเหมือนเสียงร้องไห้” เหมราชพยายามเปลี่ยนเรื่องพูด กวาดสายมองไปรอบ ๆ แล้วพูดต่อ “ทั้งเสียงพูด เสียงหัวเราะ เสียงร้องไห้ ดังระงมน่านน้ำ มหัศจรรย์มาก”

“ใช่แล้ว มหัศจรรย์มาก”

“ความเห็นของข้า ถ้าทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวและโปรโมทให้ดี” เหมราชยืดอกพูดในมาดนักธุรกิจ “นักท่องเที่ยวจะแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน”

“โปรโมทรึ ทำอย่างไร” เจ้าเชียงรุ้งตีสีหน้าฉงน “นักท่องเที่ยวเป็นใคร ทำไมแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน”

“ข้าหมายถึงประชาสัมพันธ์ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว” เหมราชพูดด้วยความมั่นใจของนักธุรกิจที่หายใจเข้าออกเป็นธุรกิจการค้า “ข้ามั่นใจมาก ที่นี่เป็นสวรรค์การท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวจะแห่กันมาชมความงามหุบเขาสายน้ำ”

“ข้าไม่เข้าใจ”

“ศรีโคตรบูรมีแต่สิ่งสวยงาม ไม่ปรุงแต่ง ยิ่งจิตใจด้วยแล้ว งามล้ำค่า ล้วนแต่จุดขายทั้งนั้น” เหมราชพูดด้วยความมั่นใจสูง “ข้ายินดีโปรโมทศรีโคตรบูร ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ถ้าสหายเห็นด้วยข้าพร้อมปฏิบัติทันที”

“ความปรารถนาดีของเจ้า ข้าได้แต่ขอบใจ”เจ้าเชียงรุ้งพูดหนักแน่น มองหน้าเหมราชแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ศรีโคตรบูรเป็นภพภูมิของข้าขอเพียงบ้านเมืองสงบสุข ชาวเมืองอยู่ดีกินดี ไม่มีภัยรุกราน นี่คือปรารถนาของข้า”

เจ้าเชียงรุ้งปฏิเสธอย่างนุ่มนวล เหมราชได้แต่ยิ้มอย่างจืดเจื่อน เสียดายนักที่ลูกชายเจ้าเมืองไม่เห็นด้วย จึงได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายเหมือนจะค้นหาอะไรบางอย่างที่อยู่ลึกเข้าไปข้างใน เจ้าเชียงรุ้งออกเดินนำหน้าไปก่อน เหมราชเดินตามไปเรื่อย ๆ กระทั่งเดินมาถึงชะง่อนหินที่ชะโงกออกมาจากหน้าผาสูง ทั้งสองหยุดยืนบนชะง่อนหิน เงียบชั่วครู่แล้วเจ้าเชียงรุ้งจึงชี้ให้ดูคุ้งน้ำที่อยู่ข้างหน้า

“น่านน้ำสีทันดร พรมแดนของสามเมืองระหว่างศรีโคตรบูร เวียงวารินทร์ และมหานครกาบแก้วบัวบาน”

“พรมแดนของสามเมือง” น้ำเสียงของเหมราชเต็มไปด้วยความสงสัย “นอกจากศรีโคตรบูรยังมีเมืองอื่นอยู่อีกรึ”

“แน่ละ เจ้าฟังแล้วต้องสงสัย” เจ้าเชียงรุ้งพูดขณะเดินลงจากชะง่อนหิน แล้วเดินคู่กันไปเรื่อย ๆ จนถึงหาดทรายเนียนขาวที่สะท้อนแสงวับวาวอยู่กลางแดด ลูกชายเจ้าเมืองยืนเงียบเหมือนกำลังครุ่นคิด แล้วพูดเสียงหนัก “ศรีโคตรบูรเป็นหัวเมืองฝ่ายใต้ เวียงวารินทร์เป็นหัวเมืองฝ่ายเหนือ มหานครกาบแก้วบัวบานเป็นอาณาจักรหลวง”

เหมราชมองหน้าเจ้าเชียงรุ้งด้วยแววตาสงสัยเจ้าเชียงรุ้งเหมือนรู้ใจ จึงขยายความเป็นมายืดยาวหนุ่มนักเรียนนอกผู้กลายมาเป็นสหายลูกชายเจ้าเมืองศรีโคตรบูร ถึงไม่เข้าใจแต่ทำเป็นเข้าใจ ฟังแล้วยิ่งสงสัยมากขึ้น ศรีโคตรบูร เวียงวารินทร์ มหานครกาบแก้วบัวบาน เมืองทั้งสามอยู่ส่วนใดของประเทศไทย เกิดมาตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยได้ยินชื่อเมืองเหล่านี้ อุตส่าห์เรียนจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐอเมริกา แต่กลับมาอับจนอยู่ที่ศรีโคตรบูร แถมยังถูกตัดขาดติดต่อใครไม่ได้ วัน ๆ ได้แต่เดินชมสวนดอกไม้ นั่ง ๆ นอน ๆ จนแสนจะเบื่อหน่าย อยากหนีไปให้พ้นแต่มองไม่เห็นทาง

“หัวเมืองฝ่ายใต้ หัวเมืองฝ่ายเหนือ เมืองอาณาจักรหลวง” ยิ่งคิดเหมราชยิ่งสับสน จึงได้แต่ถามตัวเองในใจ “มันอะไรกันแน่ มหานครกาบแก้วบัวบาน”

“ที่เจ้าไม่เข้าใจยังมีอีกมาก” น้ำเสียงเจ้าเชียงรุ้งเข้มขึ้นกว่าเดิม เหมราชสะดุ้งด้วยคาดไม่ถึงลูกชายเจ้าเมืองจะล่วงรู้ความคิดของตน “สามเมืองอยู่ในน่านน้ำเดียวกัน ผู้ใดก็ตามเดินทางสู่เมืองใดเมืองหนึ่ง ระหว่างศรีโคตรบูร เวียงวารินทร์มหานครกาบแก้วบัวบาน ต้องผ่านน่านน้ำสีทันดร”

“สามเมืองเป็นเรื่องจริงรึ”

“เรื่องจริง” เจ้าเชียงรุ้งย้ำหนักแน่น “นอกจากสามเมือง ยังมีภูเขาอีกหลายเทือก ภูเขาสูงที่มองเห็นข้างหน้า ชื่อสุวรรณคีรี เป็นภูเขาประจำศรีโคตรบูร ชาวเมืองเรียกชื่อภูเขาทอง เป็นภูเขาแบ่งสายน้ำ”

“ภูเขาแบ่งสายน้ำ”

“ใช่แล้ว สุวรรณคีรีเป็นภูเขาแบ่งสายน้ำ” เจ้าเชียงรุ้งตอบ “แม่น้ำสองสายไหลไปต่างทิศทางแม่น้ำสายแรกที่เจ้าเห็นน้ำสีเขียวมรกต ไหลไปตามหุบเขา เป็นเส้นทางสู่มหานครกาบแก้วบัวบาน โน่น…หุบเขาด้านซ้าย สายน้ำสีทอง เส้นทางสู่อาณาจักรอื่น” ทอดสายตามองไปยังภูเขาสูงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนัก “ภูเขาสูงใหญ่ที่เห็นอยู่ข้างหน้าชื่อจุฬามณีศรีบรรพต เป็นต้นกำเนิดแม่น้ำสองสี แม่น้ำแต่ละสายไหลไปบรรจบกันที่น่านน้ำสีทันดร จุฬามณีศรีบรรพตเป็นกำแพงเก้าโค้ง ล้อมรอบมหานครกาบแก้วบัวบาน” หยุดหายใจแล้วพูดต่อ “จุฬามณีศรีบรรพต ต่างจากภูเขาอื่น คือเป็นกำแพงเมือง ใครก็ตามหากเดินทางสู่มหานครกาบแก้วบัวบาน ไม่ใช่ไปได้โดยง่าย ต้องผ่านหุบเขาแบ่งสายน้ำ ผ่านน่านน้ำสีทันดร และต้องผ่านกำแพงภูเขาเก้าโค้ง”

“ทำไมเส้นทางลำบากนัก”

“ไม่เพียงลำบากเท่านั้น ทั้งลึกลับ และซับซ้อนที่สุด” น้ำเสียงของเจ้าเชียงรุ้งเข้มขึ้นเรื่อย ๆ “ระหว่างทางมีอันตรายที่ยากจะป้องกัน”

“อันตรายที่ยากจะป้องกัน?”

“ใช่แล้วสหาย” น้ำเสียงเจ้าเชียงรุ้งทุ้มกังวาน “สักวันหนึ่งข้าจะไปที่นั่น”

“ไปทำอะไรกัน”

“มหานครกาบแก้วบัวบาน เป็นศูนย์กลางอำนาจและการปกครองสูงสุด”

“ยิ่งฟัง ข้าก็ยิ่งไม่เข้าใจ และทำไม…” เหมราชถามด้วยอยากรู้ “สักวันหนึ่ง เจ้าเชียงรุ้งจะไปที่นั่น”

“สำหรับเจ้า ยากที่จะเข้าใจ” เจ้าเชียงรุ้งทอดสายตามองยอดสุวรรณคีรีที่เห็นเงาราง ๆ อยู่ไกลถอนหายใจลึกยาวแล้วพูดเสียงหนัก “มหานครกาบแก้วบัวบานเป็นที่ตั้งหอคำหลวง และหอคำหลวงเป็นศูนย์กลางอำนาจปกครองสูงสุด” มองหน้าเหมราชแล้วทอดสายตามองน่านน้ำ นิ่งชั่วครู่แล้วพูดขึ้นอีก “ผู้ใดครอบครองหอคำหลวง ผู้นั้นเป็นเจ้าเมืองมหานครกาบแก้วบัวบาน ทรงอำนาจปกครองสูงสุด” น้ำเสียงของเจ้าเชียงรุ้งทั้งกร้าวทั้งเข้ม ขณะพูดแววตาเป็นประกาย สีหน้าฉายฉานความหวัง “ที่นั่นเป็นอาณาจักรแห่งใหม่ของข้า”

เหมราชฟังแล้วถึงกับนิ่งอึ้ง เจ้าเชียงรุ้งยืนเงียบสงบ ทอดสายตามองไปยังจุฬามณีศรีบรรพตที่สูงทะมื่นอยู่ข้างหน้า ท่าทางเหมือนกำลังคิดหนักหลังจากเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เจ้าเชียงรุ้งพูดเสียงห้าว

“ข้าจะยกศรีโคตรบูรให้เจ้า”

“เป็นไปไม่ได้”

“ข้าหมายถึงอนาคต” เจ้าเชียงรุ้งหันหน้ากลับมามองสบตาเหมราชแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ถึงเวลาเมื่อไร เจ้าอย่าปฏิเสธ”

เหมราชเป็นฝ่ายเงียบ สถานการณ์นี้ไม่มีอะไรดีเท่ากับเงียบ เพราะเจ้าเชียงรุ้งสะท้อนตัวตนแท้จริงออกมาจนได้ ลูกชายเจ้าเมืองศรีโคตรบูรเปลือกนอกดูเงียบขรึม สงบเสงี่ยม แต่ภายในทะลักล้นด้วยความทะเยอะทะยาน หวังก้าวสู่ศูนย์กลางอำนาจการปกครองสูงสุด ทั้งที่ไม่อยากเชื่อแต่ได้ยินถนัดหูทุกคำพูด

“ข้าโดนกองทัพเวียงวารินทร์บุกจู่โจมทำร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้ารอดมาได้เพราะเจ้าช่วยชีวิต”

เหมราชสว่างวาบขึ้นในใจ นั่นก็แสดงว่าเหตุการณ์ที่ลานวัดริมโขงคืนนั้น มันเป็นการต่อสู้ระหว่างเจ้าเชียงรุ้งและกองทัพเวียงวารินทร์ ขณะหลงทางอยู่กลางป่า เขาได้ยินเสียงเหมือนการสู้รบของกองทัพ ได้ยินเสียงช้างเสียงม้าและเสียงฟันดาบ ล้วนแต่เป็นเหตุการณ์สู้รบระหว่างศรีโคตรบูรและเวียงวารินทร์ แล้วหญิงสาวชุดดำเข้ามาเกี่ยวข้องได้อย่างไร เธอเป็นใครและอยู่ที่ไหนขณะนี้เป็นตายร้ายดีอย่างไร เกือบจะหลุดปากถามเจ้าเชียงรุ้ง คำพูดของศรีอ้วยล้วยผุดขึ้นมาสะกิดเตือนจึงปิดปากเงียบ

“ข้าหลั่งเลือดปกป้องศรีโคตรบูร”

“นั้นเป็นหน้าที่ของเจ้าเชียงรุ้ง”

“ข้ารอดชีวิตมาได้ก็เพราะเจ้าช่วยข้าได้ทันท่วงที ข้าและเจ้าดื่มน้ำสวามิภักดิ์ สาบานเป็นคนเดียวกัน” หยุดหายใจแล้วมองลึกเข้าไปในดวงตาเหมราช จากนั้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ข้ามอบศรีโคตรบูรให้เจ้า ก็เพื่อต่อไปข้างหน้า เจ้าจะได้สืบทอดภารกิจ”

“ข้าไม่ใช่ทหาร ไม่เคยออกทัพจับศึก” เหมราชยกเหตุผลขึ้นมาปฏิเสธ “ข้าสู้รบกับใครไม่เป็นอีกอย่าง…เรื่องที่ข้าฟังเจ้าพูด ฟังเท่าไรก็ไม่หายสงสัย เจ้าพูดถึงกองทัพ พูดถึงการสู้รบ ทำไมกองกำลังเวียงวารินทร์ถึงได้ลอบจู่โจมทำร้ายศรีโคตรบูร”

“แถนฟ้าลือเกิดมากระหายสงคราม ด้วยหวังจะสร้างอาณาจักรแห่งใหม่ ทำสงครามเพื่อยึดครองมหานครกาบแก้วบัวบาน” น้ำเสียงของเจ้าเชียงรุ้งดุดัน “กองทัพเวียงวารินทร์เข้มแข็งเชี่ยวชาญการรบ ทุกหัวเมืองขยาดกลัว”

“ก็ทำไมไม่ผนึกกำลังกันสู้”

“ผนึกกำลังกันสู้ เป็นไปได้ยาก ศรีโคตรบูรเป็นเมืองเล็ก นักรบของเรามีไม่มาก” เจ้าเชียงรุ้งพูดเสียงต่ำในลำคอ “เวียงวารินทร์เป็นเมืองใหญ่แถนฟ้าลือวางแผนยึดศรีโคตรบูรเป็นเมืองขึ้น จากนั้นก็จะขยายอำนาจยึดครองมหานครกาบแก้วบัวบาน”

“กาบแก้วบัวบานไม่คิดสู้เลยรึ”

“สู้” น้ำเสียงเจ้าเชียงรุ้งเหือดหาย “…แต่คงยาก”

“ข้าไม่เข้าใจ ทำไม…”

“แตกแยกสูง ไม่ปรองดองสมานฉันท์” เจ้าเชียงรุ้งมองท้องฟ้าแล้วลดสายตาลงมองระลอกน้ำซัดสาดฝั่ง เงียบเหมือนกำลังครุ่นคิดแล้วพูดเสียงเฉียบขาด “มหานครกาบแก้วบัวบานเป็นอาณาจักรหลวง ทั้งที่เป็นศูนย์กลางอำนาจปกครองสูงสุด ทว่าแตกเป็นก๊กเป็นฝ่าย แย่งชิงอำนาจกันเอง เจ้าเมืองคนปัจจุบันแย่งชิงเมืองจากเจ้าเมืองคนก่อน เมื่ออำนาจการปกครองสูงสุดอยู่ในมือกลับแตกแยก จึงอ่อนแอ ปกครองหัวเมืองอื่นไม่ได้ อีกไม่นานคงล่มสลาย”

“แล้วทำไมต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย” เหมราชมองสบตาเจ้าเชียงรุ้งแล้วให้ความเห็น “ศรีโคตรบูรโดนลอบโจมตี ก็น่าจะวางแผนป้องกันตัวเองให้ดี เรื่องของมหานครกาบแก้วบัวบาน ควรปล่อยให้พวกเขาดูแลตัวเอง”

เจ้าเชียงรุ้งตกเป็นฝ่ายเงียบ ทั่วบริเวณพลอยเงียบตาม สายลมเท่านั้นพลิ้วผ่านน่านน้ำ ลูกชายเจ้าเมืองทอดสายตามองไปยังยอดเขาจุฬามณีศรีบรรพต เขม็งตาจ้องมองเหมือนจะค้นหาอะไรบางอย่าง เหมราชไม่กล้าเอ่ยปากพูด ปล่อยให้เจ้าเชียงรุ้งยืนเงียบอยู่นาน หลังจากนั้นเขาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ข้าอยากชมความงามของศรีโคตรบูร”

“ข้ารับปากเจ้าแล้ว อย่างไรเสียก็ต้องพาเจ้าชมเมือง” เจ้าเชียงรุ้งพูดเสียงหนัก “แต่ข้ามีเรื่องขอร้องเจ้า และเจ้าต้องทำ”

“ไม่ว่าทำอะไร ข้าพร้อมเสมอ”

“ข้าให้เจ้าฝึกอาวุธ”

“ฝึกอาวุธ” เหมราชพูดเสียงดังด้วยความฉงน “ทำไมข้าต้องฝึกอาวุธ”

“เจ้าเป็นทหาร”

“ไม่” เหมราชรีบปฏิเสธ “ข้าไม่เป็นทหาร”

“เจ้าพูดแล้วไม่ใช่รึ เจ้าพร้อมเสมอ รับปากแล้วทำไมยังปฏิเสธ” เจ้าเชียงรุ้งมองหน้าเหมราชด้วยสายตาผู้มีอำนาจเหนือกว่า “ทหารที่ดีต้องมีวินัย เชื่อฟังคำสั่งเจ้านาย ข้าสั่งให้ฝึกอาวุธ หน้าที่ของเจ้าคือปฏิบัติตามคำสั่ง การขัดคำสั่ง โทษหนักถึงประหารชีวิต”

“เป็นไปได้อย่างไร โทษหนักถึงประหารชีวิต”

น้ำเสียงของเหมราชแข็งกร้าวขึ้นทันที นิสัยนักธุรกิจเริ่มออกลายให้เห็น สิ่งใดก็ตามถ้าดูแล้วประโยชน์ไม่คุ้มค่าก็จะถูกปฏิเสธ ไม่นำมาตัดสินใจดำเนินการ คำพูดของเจ้าเชียงรุ้งเหมือนขู่บังคับคนระดับด็อกเตอร์จากเมืองนอกมีหรือจะยอมจำนน จึงทั้งรั้นและขัดขืน ความเป็นตัวของตัวเองกลับมาในฉับพลัน เขม็งมองหน้าเจ้าเชียงรุ้งแล้วแล้วพูดเสียงดัง

“จะโทษหนักยังไงก็ตาม ข้าไม่ได้เป็นทหารอยู่ ๆ ก็จะสั่งบังคับ ข้าไม่ยอมเสียอย่าง ทำไมข้าต้องฝึกอาวุธ”

“เจ้าต้องฝึกอาวุธ” เจ้าเชียงรุ้งพูดเหมือนออกคำสั่ง เขม็งมองหน้าเหมราชด้วยอำนาจที่เหนือกว่า แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “เจ้าเป็นชาวเมืองศรีโคตรบูร และเป็นทหารข้า เราสองคนดื่มน้ำสวามิภักดิ์เป็นคนเดียวกัน หน้าที่เจ้าคือทำตามคำสั่งข้า”

“ข้าไม่เข้าใจ ทำไมข้าต้องเป็นทหาร และทำไมต้องฝึกอาวุธ”

“ดูหลังฝ่ามือขวาเจ้าอีกครั้ง มีรอยแผลเป็นปรากฏให้เห็น มันเกิดจากหลังมือเจ้าเป็นแผลจนเลือดไหล เลือดข้าผสมเลือดเจ้าที่แผลนั้น ตัวตนของเจ้ามีเลือดข้าผสมอยู่ข้างในก็ที่รอยแผลนั้นเจ้ารู้ทุกอย่างระหว่างข้าและเจ้า เราสองคนเป็นคนเดียวกัน ต้องสุขทุกข์ด้วยกัน”

เหมราชยกหลังมือขวาขึ้นดูถึงกับอึ้ง รอยแผลเป็นเล็ก ๆ เห็นราง ๆ ปรากฏตรงกลางหลังมือขวาตามคำพูดของเจ้าเชียงรุ้ง ภาพเหตุการณ์ผุดขึ้นในความจำซ้ำอีกครั้ง เขามองเห็นเหตุการณ์วันก่อนขณะแบกร่างเจ้าเชียงรุ้งไว้บนบ่า จำได้ว่าตัวเองเสียหลักเซปะทะโขดหิน และจำได้อีกว่าหลังมือครูดหินเป็นแผลเลือดไหล ยกหลังมือขึ้นมาดูสี่ห้าครั้งเพื่อให้แน่ใจ ดูอย่างไรก็เห็นรอยแผลราง ๆ อยู่หลังมือ ทั้งยังรู้สึกปั่นป่วนไปทั่วทั้งร่าง ร้อนวูบ ๆวาบ ๆ อยู่ภายในร่างกายแล้วก็หาย

“เจ้าเป็นสหายข้า และเป็นทหารคู่ใจข้า เจ้าต้องฝึกอาวุธ” เจ้าเชียงรุ้งลดท่าทีแข็งกร้าวลง “อินทรกนกก็เป็นสหายข้า เขาเป็นขุนพลรักษาวังเคียงข้างอยู่กับข้ามาตลอด จงเรียนรู้จากเขา ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป อินทรกนกจะฝึกเจ้าทุกกระบวนท่าอาวุธมันเป็นคำสั่งข้า”

“ข้าอยากกลับบ้าน”

เหมราชพูดเสียงเบาแต่หนักแน่น ความเงียบแผ่คลุมไปทั่วบริเวณ เงียบกระทั่งป่าและน่านน้ำเจ้าเชียงรุ้งเงียบขรึมอยู่นาน ไม่มีคำพูดหลุดผ่านปากออกมาอีก ยืนเงียบ ๆ แล้วกวาดสายตามองชะง่อนหิน หน้าผาและภูเขา มองไปเรื่อย ๆ แม้กระทั่งระลอกน้ำที่กำลังซัดฝั่ง ถอนหายใจแล้วเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มเมฆบนท้องฟ้า ทายาทเจ้าเมืองคิดอะไรในใจยากจะรู้ แต่จู่ ๆ ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“เจ้ายังกลับบ้านไม่ได้ และเจ้าก็รับปากข้าแล้ว จะไม่ไปจากน้องข้า”

“ถึงไม่กลับบ้าน แต่ข้า…” น้ำเสียงเหมราชอ่อนลง คำพูดของเจ้าเชียงรุ้งปลุกให้ตื่นขึ้นมารับรู้คำมั่นสัญญาระหว่างเขาและเจ้าฟ้าคำหยาดสัญญาใจกลายเป็นความผูกพันลึกซึ้ง แต่ความแข็งขืนทำให้เขายืนกรานพูด “…ข้าไม่เป็นทหาร ไม่ฝึกอาวุธ”

“ขัดคำสั่งข้า โทษหนักถึงประหารชีวิต”

ในทันใดนั้น เสียงพระสวดมนต์กังวานมากับสายลม กระหึ่มเสียงฆ้องกลองดังตามมาเป็นทอด ๆ ลมอ่อน ๆ พลิ้วผ่านเย็นเฉื่อย เจ้าเชียงรุ้งยืนสงบจิตใจ ท่าทีแข็งกร้าวค่อย ๆ อ่อนลง จิตใจร้อนรุ่มเริ่มสงบเย็น เหมราชเองก็เหมือนกัน ความเร่าร้อนผ่อนคลายลง เขาคิดถึงน้ำใจไมตรีของศรีโคตรบูร คิดถึงพิธีสถาปนาให้เขาเป็นสหายเจ้าเชียงรุ้ง รวมทั้งพิธีดื่มน้ำสวามิภักดิ์ ภาพตัวเองจับคู่รำกับเจ้าฟ้าคำหยาดผุดขึ้นมาย้ำเตือน คำมั่นสัญญาพรั่งพรูขึ้นในความจำ คิดถึงดอกไม้ที่มอบให้เป็นสัญญาใจ ล้วนถลำลึกยากที่จะถอนตัว และฝังลึกในความรู้สึกที่ยากจะลืม

“สหายรัก” เจ้าเชียงรุ้งมองหน้าเหมราชแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ลดความแข็งกร้าวลงอย่างเห็นได้ชัด “ข้าผิดต่อเจ้ามาก คำพูดข้าแรงเกินไปข้าขอโทษ”

“ข้าเองก็เช่นเดียวกัน เด็ดเดี่ยวเกินไป” เหมราชพูดด้วยความรู้สึกสำนึกผิดต่อเจ้าเชียงรุ้ง “โปรดอภัยให้ข้าด้วย”

“ขอเพียงเจ้าหายโกรธข้า”

“ข้าเป็นทหารศรีโคตรบูร”

เสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อมกัน ความขึ้งโกรธและบาดหมางระหว่างคนทั้งสองยุติลง ความผูกพันระหว่างเพื่อนฟื้นคืนในฉับพลัน เสียงพระสวดมนต์ระคนเสียงฆ้องกลองพลอยเงียบหายยอดไม้ใบหญ้าสะบัดไหว สายลมพลิ้วพัดเหนือน่านน้ำ เจ้าเชียงรุ้งชี้ให้เหมราชหันไปมองกำลังพลที่กำลังเคลื่อนใกล้เข้ามา

“สหายรักของข้า จงมองไปทางโน้น พวกเขาพากันมาทั้งกองทัพเลยนะ”

“พวกเขามาทำไมกัน”

“ก็ข้ารับปากเจ้าแล้ว จะพาเจ้าชมเมือง” น้ำเสียงเจ้าเชียงรุ้งร่าเริง ฉุดมือเหมราชเดินตรงไปหากำลังพลที่กำลังเคลื่อนใกล้เข้ามา “เจ้าดูโน่นพลายฉัตรคำ ช้างศึกชั้นดีของศรีโคตรบูร ข้ามอบให้เจ้า พลายฉัตรชัยที่นำหน้ามาก่อน มันคือช้างศึกคู่ชีวิตข้า” กวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เราไปกันเถอะ เจ้าฟ้าคำหยาดมาโน้นแล้ว เจ้าน้องข้ามาบนหลังพลายฉัตรแก้ว อินทรกนกกำลังควบม้าตรงมา เขานำทัพมารับเราไปชมเมือง เจ้าจะได้ชมความงามของศรีโคตรบูร”

ช้างศึกในขบวนแต่งประดับเครื่องทรงสวยงาม อินทรกนกควบม้าสีน้ำตาลนำหน้าขบวนใกล้เข้ามา ศรีอ้วยล้วยและศรีคำบางควบม้าตามมากระชั้นชิด เหล่าทหารชุดแดงทั้งขี่ม้าทั้งเดินเท้าจนฝุ่นคลุ้ง เหมราชยืนเด่นสง่าอยู่ต่อหน้าเจ้าเชียงรุ้ง ทั้งสองมองประสานสายตาท่ามกลางเสียงโห่ร้องดังกึกก้องไปทั่วหุบเขาและน่านน้ำ.

 

(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)

Related Posts

เขาบอกว่า “เสี้ยวจันทร์” เป็น “นักปั้นซีไรต์”
ผญา ปรัชญากวี : สัตว์ใหญ่
จากแนวคิดวัฒนธรรมชุมชน สู่สังคมการปกครองตนเอง

Leave a Reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

WP2Social Auto Publish Powered By : XYZScripts.com