ดอกขะเจียวจากโคกขี้แลน ตอนที่ 6

ดอกขะเจียวจากโคกขี้แลน ตอนที่ 6

เมื่อจารย์บุญจารย์แก้วจะขอเป็นศิษย์ครูเพียกมมะแดง ทั้งสองก็จัดทำขันหมากเบ็งใส่คายขึ้น ขันนี้ทำจากใบกล้วย นำมาตัดและเย็บ ขึ้นเพื่อใส่เครื่องเบญจ์ มีดอกไม้ห้าดอก ธูปห้าดอก เทียนห้าเล่ม ข้าวตอกแตกห้าจอก เงินห้าเหรียญสตางค์แดง ครั้นแล้วเขาก็เย็บซวยเป็นรูปปากกว้างก้นแหลม นำดอกไม้และเทียนเพื่อใช้สักการะคุณครูเหน็บลงไปในซวยนั้น เมื่ออาบน้ำชำระสะสรงสะอาดแล้วจารย์ทั้งสองก็นุ่งผ้า โสร่งผืนใหม่เอาผ้าแพรอีโป้พาดเฉียงบ่า ต่างถือเอาขันหมากเบ็งขึ้นไปกราบครูขอเป็นศิษย์ต่อไป เมื่อครูรับศิษย์แล้วก้มกราบอีกครั้ง เป็นอันเสร็จพิธี

คราวนั้น เพียกมมะแดงก็ได้ถ่ายทอดวิชาอาคมแก่ศิษย์ทั้งสอง โดยจำแนกเป็นมนต์ดำมนต์ขาว มนต์อำมหิตและมนต์พิษฐาน เป็นต้น ยอดวิชาเวทย์มนต์เหล่านี้เป็นศาสตร์ เป็นศิลป์ และเป็นไสย เมื่อเสกเป่าเพื่อหวังผลอย่างที่ต้องการต้องมีจิตที่สะอาดเป็นกุศล แม้ว่ายามเป่ามนต์อำมหิต จิตก็ต้องการให้เขาฉิบหายตายไปต่อหน้า แต่ความตายของมันคือผลประโยชน์ของอาณาประชาราษฎร์ ถือว่าผู้เสกเป่ามนต์มีจิตเป็นกุศลได้

สุดยอดวิชามนต์ดำ คือมนต์ที่จะทำให้ศัตรูมีอันเป็นไปในอาการพอประมาณ เพื่อให้มันได้รู้จักสำนึกดีงามบ้าง และเมื่อสำนึกแล้วจะแก้ให้โดยเสกเป่ามนต์ขาว หากว่าศัตรูยังไม่รู้จักคิดจะทำความดี ถ้าเอาถึงตายก็ใส่มนต์อำมหิต แต่เพียกมมะแดงก็ได้บอกศิษย์ทั้งสองว่า มนต์พิษฐานจะเป็นมนต์ที่สำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรมาก เนื่องเพราะว่าได้มนต์นี้ไปแล้วสามารถช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากได้รับความสบายใจและหายจากทุกขเวทนาไป เช่น ผู้ป่วยเป็นโรคต่าง ๆ ผู้ได้รับบาดเจ็บจากศาสตราวุธ จากอุบัติเหตุเภทภัย จากอสรพิษ เป็นต้น ทั้งมนต์นี้ยังเป็นไปทางมหานิยม แต่ผู้ใช้มนต์จะต้องประกอบด้วยเมตตาและพรหมวิหาร มนต์พิษฐานอันสำคัญเป็นมนต์ที่จะใช้สำหรับชีวิตประจำวัน ยืน เดิน นั่ง นอน กินอาหาร ทำไร่ทำนา ปลูกพืชผัก ทำเกษตร ท่านให้พิจารณามนต์เสกเป่าเสียก่อน กิจวัตรต่าง ๆ จึงจะเป็นไปด้วยดี เช่น มนต์ปลูกพืชให้งาม ท่านว่าให้ตั้งจิตพิษฐานเสกมนต์ 3 จบแล้วเป่าลงในน้ำที่ใช้รดต้นไม้พืชผักที่ปลูกนั้น มนต์นั้นว่าดังนี้

“สัทธา พีซัง ตะโปวุฏฐิ ปัญญาเม ยุคนัง คะลัง หิรี อีสา มะโนโยตตัง สติเม ผลาปะนัง กาย คุตโต วจีคุตโต อาหาเร อุทเร ยโต วิริยังเม ธุรโธ รัยหัง โยสกะ เขมาชิวานังฯ”

เมื่อได้เวทย์มนต์แล้ว ครูก็ได้สั่งสอนว่าต้องประพฤติปฏิบัติตนให้ตั้งอยู่ในความสำรวมทุกเมื่อ ทั้งจะต้องละเว้นจากสิ่งคะลำ ทั้งหลายอันคะลำถือว่าห้าม ถ้ากระทำลงไปก็เป็นผิดเรียกว่าผิดมนต์ ซึ่งจะนำมาซึ่งความเสื่อม หมดความขลัง เช่นว่า อย่าเดินลอดราวผ้า อย่ากินต้มฟัก อย่าอวดตนว่ามนต์ข้าสุดยอด มันไม่เรียกอย่าขาน ไม่วานอย่าช่วย หากจะช่วยต้อง พิจารณา…

เมื่อได้เรียนศาสตร์เกี่ยวกับมนต์ทั้งหลายแล้ว ครูก็หันมาสอนเรื่องการใช้ศาสตราวุธต่าง ๆ เช่น มีด ดาบ หอก ตาว หลาว แหลน กระทั่งวิธีการทำลูกดอกอาบยางน่อง ส่วนว่าจะเดินดงลงเขา จะหลีกหลบสัตว์ร้ายเสือสิงห์สมิงป่าอย่างไร แม้สองจารย์ไม่ได้ร่ำเรียนโดยตรง ก็รู้เองโดยธรรมดาสามัญในการอยู่บนภูไพร บนที่ราบสูงบริเวณนั้น

วันหนึ่ง, พวกเขาก็ได้นำเชือกปอจากป่ามาถักเป็นตาข่ายสำหรับดักจับกระต่าย หมูป่า อีเก้ง เป็นต้น เรียกว่า ซิง อันซิงพวกนี้เขาจะทำหลาย ๆ อันและนำไปดักไว้รอบ ๆ ป่า ตีเป็นวงเข้ามา จากนั้นคนสิบยี่สิบคนจะเดินอ้อมไปไกล ๆ แล้วกะระยะห่างกันพอเห็นตัว ตั้งแถวหน้ากระดาน ส่งเสียงโห่ ตีเกราะเคาะไม้ไล่ให้สัตว์ตื่นเพื่อมันจะได้วิ่งไปติดกับติดซิง จับเอามาเป็นอาหาร ถ้าเป็นอีเก้งหรือกระต่ายป่าไม่ต้องใช้อาวุธทิ่มแทง แต่ถ้าเป็นไอ้หมูป่าต้องใช้มีดหอกหลาวแหลนทิ่มแทง ซึ่งพวกเขาชำนาญมากการโฮะป่าแบบนี้ได้ทั้งความสนุกสนานและอาหารไว้กิน

พอแดดกล้าตะวันบ่าย กำลังโฮะป่าล่าสัตว์อยู่นั้น พลันก็เกิดเสียงกะลอรัวเร่งดังขึ้นจากหมู่บ้าน ทุกคนต่างรู้ว่าเสียงเกราะเคาะรัวนี้เป็นเสียงเตือนภัย ให้รีบเร่งไปชุมนุมที่ลานกลางบ้านโดยด่วน ต้องละจากหน้าที่การงานทุกชนิด คราวนั้นเพียกมมะแดงหัวหน้าหมู่บ้านก็แจ้งข่าวสำคัญให้ทุกคนได้ฟัง

“กองสอดแนมรายงานขึ้นมาว่า เวลานี้ศัตรูที่เป็นฝรั่งกำลังมุ่งหน้าขึ้นมาทางนี้ พร้อมด้วยพวกลูกสมุนที่เป็นเวียดนามจำนวนสามสิบขึ้นไป”

“ข้าขออาสาเข้าตี” ไอ้หนุ่มข่าผู้เหี้ยมหาญตะโกนขึ้นอย่างแค้นเคียด

“เอ้อ, ดี…แต่ข้ายังพูดไม่หมด” เพียกมมะแดงห้าม “การศึกจะวู่วามไม่ได้ ฟังให้ดี ฝรั่งพวกนี้มีอาวุธปืนยาวและปืนสั้น ตัวหัวหน้ามันมียศนายร้อย ตัวนายใหญ่ถือกล้องส่องทาง ถือแผนที่ กองสอดแนมบอกว่า พวกมันมีการจดบันทึกอะไรไว้ด้วย แล้วเก็บใส่กระเป๋าหนังที่มันสะพายบ่ามิให้ห่างตัวเลย ต้องเป็นของสำคัญแน่เท่าที่ข้ารู้ พวกฝรั่งมักนิยมของเก่าพื้นเมืองจำพวกพระพุทธรูป เครื่องปั้นดินเผา เครื่องเงิน เครื่องทอง ดาบตาวหลาวเหล็กและเหล็กไหลพวกมันจะยึดจะขอเอาไปดื้อ ๆ ถ้าไม่ให้ก็จะปล้นแม้กระทั่งเขี้ยวเขานองาของค้ำคูณมันก็แย่งยึดไปเสียดื้อ ๆ บ้างพาลฆ่าเจ้าของทิ้งในเรือนแล้วจุดไฟเผา เป็นอย่างนี้”

ผู้มีอาวุโสของข่าท่านหนึ่งถามขึ้นว่า “บัดนี้พวกมันเดินทางมาถึงที่แห่งใด?”

“ดอยเขาแลน” เพียกมมะแดงบอก “พวกมันมีช้างบรรทุกห้าเชือก ภายในวันสองวัน คงเดินเข้าไปในช่องเขากะลืม เพื่อขึ้นไปทางต้นน้ำเซกอง แล้วตัดตรงไปออกทะเลที่เมืองกวางงาย ดังนั้นหากพวกเราจะเข้าตี ข้าเห็นว่าบริเวณช่องเขากะลืม ภูมิประเทศสองข้างทางเป็นป่าดงขึ้นตามหน้าผาลาดชันนักรบเราควรไปดักรอซุ่มโจมตี คงสามารถเอาชนะได้… เอ้อ, เกือบลืมไปว่า บริเวณแถบนี้มีชาวเขาเผ่ากะลืมเป็นเจ้าของพื้นที่ จำเป็นที่เราจะต้องตั้งกองเจรจาขึ้นไปขออนุญาตใช้พื้นที่ของพวกมัน ข้าคิดว่าให้ขุนสามมะเฮงนำคนไปสามคน มีไอ้เขียว ไอ้ห้อ ไอ้ไว ให้ชวนเอาจารย์บุญจารย์แก้วไปช่วยเวียกงานอันนี้มีผู้ใดจะคัดค้านแผนการทั้งหมดที่ข้ากับกรมการบ้านได้วางไว้อย่างที่บอกไปนี้หรือไม่?”

การซุ่มโจมตีที่ช่องเขากะลืม ทำให้ชาวฝรั่งเศสและชาวเวียดนามตายและบาดเจ็บจำนวนมาก ที่รอดชีวิตก็แตกกระเจิงเข้าป่าเข้าดง นักรบข่าผู้ที่ยิงลูกดอกอาบยาพิษแม่น ๆ เป่าลูกดอกจากพุใส่ทหารฝรั่งก่อน จากนั้น กองตะลุยที่ฮึกหาญก็กระโจนเข้าไล่ฟันไล่แทงทั้งฝรั่งทั้งเวียดนาม พวกนั้นมันไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะถูกจู่โจมก็เป็นอันทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยิงปืนไร้เป้าหมายเข้าใส่ แต่ไม่มีผลอะไร เสียงโห่ร้องของนักรบข่าจำนวนมากที่พุ่งเข้ามาทุกทิศทางทำให้ขวัญข้าศึกหนีดีฝ่อ ไม่คิดสู้ คิดแต่จะเอาตัวรอดคราวนั้นยึดได้ช้างบรรทุกข้าวของมีค่าห้าเชือกปืนยาวสิบกระบอก ปืนสั้นแปดกระบอก มีดพร้าสัมภาระอีกจำนวนหนึ่ง

เมื่อจารย์ทั้งสองได้มนต์ ได้เพลงดาบเพลงอาวุธช่ำชองตามสมควรแล้ว อยู่ต่อมา หมอผีชาวบ้านเผ่าข่าก็มาทำพิธีสัก ลงยันต์ เป่าเสกอาคมบนเนื้อหนังร่างกาย ซึ่งพวกมันเชื่อว่าจะอยู่ยงคงกระพัน แทงไม่เข้า ยิงไม่ออก หมอผีเอาว่านป่ามาผสมกับว่านปลูก ผสมกับข่าขิง ติ่งหีแลนคำบดตำ ให้ละเอียด เอาดอกไม้ทั้งห้ามีดอกสะเลเต ดอกจำปาแดง ดอกจิก ดอกฮัง ดอกคัดเค้า อย่างละห้าดอกอัน ตากหมอกตากน้ำค้างตากแดดอย่างละห้าคราว บดตำให้ละเอียด นำเขม่าไฟจากคึไฟแม่หญิงออกลูกเข้ากรรม เป็นสีดำแทนหมึกลงละลายในเลือดอสรพิษเห่าหรือจงอางดงผสมสัดส่วนเลือดหมี เลือดเสือดาว เลือดผู้สาวพรหมจรรย์ คะรนเข้าคลุกเข้ากับของที่บดตำแล้วนั้น ปากก็พลางบ่นคาถามหามนต์ เสกคาถามหาพุทธัง พลังจิตกล้า ปากก็ว่าคำเรียกผี โอม…สหายะกะตัง เสกมนต์ขลังป้องโรคห่า เสกมนต์ป่าป้องโรคภัย เสกเข้าไปคาถามหานิยม จ่มเข้าไปคาถามหาเสน่ห์ โอม…สัทธา มหาเสน่ห์โอม…อีแม่ปังเปเสระติยัง มนต์กูขลังผีลูกน้อยโอม… แมงปังโตปากคอแดง แมงแคงโตปากฮ้อน โอม…คอทั่งมั่งคอลาย โอม…มีดด้ามเหล็กมีดด้ามทอง ขอให้ใจกูวอง ยิ่งกว่าปีศาจฮ้าย กูสิย่ายคาถาแวดล้อมเนื้อหนังมังสา โอม…กัดสะหะ ยถาวริวโห ปูโร สัพพะกำลังพุทธังฯ

จากนั้นหมอผีก็แทงเหล็กสักอันแหลมเข้าเนื้อ ฉึก-สะดุ้ง แล้วหมอผีก็เอาเหล็กแหลมไปจุ่มหมึกอันผสมอย่างถูกสัดส่วนแล้วนั้น สักลงยันต์ลงรูปพร้อมกับเสกคาถาต่าง ๆ ระหว่างสักไปด้วย จนกระทั่งสำเร็จเสร็จสิ้นภายในวันเดียว วันต่อมาเวรจารย์แก้ว พอหมอผีสักเหล็กแหลมฉึก-สะดุ้ง ปากก็ร้องลั่น

“โอ้ย ข้าเจ็บ”

“นั่นแล้ว นั่นแล้ว ผีปอบผีพรายมันจะตายร้องขอชีวิต” หมอผีไม่ฟังเสียง สักเหล็กแหลมไปเรื่อย ๆ

“โอ้ย ๆ ๆ ข้าเจ็บปวดเอง ผีปอบผีพรายที่ไหน”

“แม่นแล้ว ๆ ๆ” หมอผีร้องและเร่งลงเหล็ก

“ต่อแต่นี้ไปร่างกายจิตใจ กระหังตัวใดก็ไม่อยู่ ผีตัวใดก็ไม่สู้ หนีออกไปเหลือไว้แต่คงกระพัน”

“โอ้ย ๆ ๆ ไม่ไหวแล้ว ๆ ข้าไม่อยากคงกระพันดอก” ในเวลาที่ร้องขึ้นคราใด เหงื่อพรายก็ผุดขึ้นเต็มใบหน้า เลือดแดงก็ซึมออกมาตามรอยสัก ร่างของจารย์แก้วยึกขึ้นจนอาการเป็นสั่นเทิ้ม ๆ เมื่อเม็ดเหงื่อหยดลาดใบหน้าลงไป เหงื่อเม็ดใหม่ก็ผุดแทน นับแสนนับหมื่นเท่าที่เหล็กแหลมทิ่มแทงเนื้อ

ถึงคราวได้ลองวิชาใช้อาวุธต่อสู้จริง ทั้งจารย์บุญจารย์แก้วก็ได้ออกซุ่มโจมตีเคียงข้างนักรบเผ่าข่าอื่น ๆ เป็นที่ลือชาในเพลงดาบอยู่ไม่น้อย พวกฝรั่งเศสนั้นได้หลั่งไหลเข้ามาหลายด้านหลายทาง หวังจะยึดเอาหัวเมืองลาวสองฝั่งโขงให้ได้ กองสอดแนมข่าได้ขึ้นมารายงานอยู่มิได้ขาดว่า พบกองทหารฝรั่งเศสและทหารเวียดนามบุกเข้ามาจำนวน 300 บ้าง 500 บ้าง ยกข้ามภูเขาอ้ายลาว ลงมาตามลำเซซำซอน เข้ายึดเอาเมืองพิณ เมืองนอง ยึดเอาค่ายบ้านตังหวาย ค่ายภูกะใดแก้ว ยึดเมืองสองคอนดอนดง และตั้งค่ายอยู่ที่บ้านท่าประชุม ตรงข้ามกับเมืองเขมราฐ นักรบข่าออกไปซุ่มโจมตีในครั้งต่อ ๆ มา ได้เพียงแต่ซุ่มยิงลูกดอกอาบยาพิษ หรือลอบยิงด้วยปืนที่ยึดมาได้ แต่ไม่อยู่ปะทะนาน เพราะกำลังน้อยกว่ามาก และการระแวดระวังของพวกนี้ก็เข้มงวดกวดขันยิ่งนัก เพียกมมะแดงมองสถานการณ์นี้ด้วยความวิตก

ด้วยเหตุที่หมู่บ้านข่าบนที่ราบบริเวณ เป็นเป้าหมายการทำลายของกองทหารฝรั่งเศสด้วยเมื่อกองสอดแนมขึ้นมาบอก เพียกมมะแดงจึงสั่งให้อพยพ หนีขึ้นไปหลบภัยบนดอย ฝ่ายผู้หญิงลูกเล็กเด็กแดงได้รับความลำบากเป็นที่สุด ไหนจะหนีการตามล่าของพวกฝรั่ง ไหนจะขาดแคลนเสบียงอาหาร ต้องอาศัยการขุดหัวมันป่ากินแทนข้าว หลุมมันป่านั้นหลุมใหญ่เท่า ๆ กับขุดบ่อน้ำหัวมันทั้งยาวทั้งใหญ่เท่าลำต้นกล้วยทะนีก็มี เท่าต้นมะพร้าวก็มี หลุมเหล่านี้เมื่อต่อมากลายเป็นหลุมขวาก พรางไว้ให้ศัตรูผู้ไล่ล่า ตกถลำตำร่างตายก็มี

ในคืนอันระทมตรมตรอม เมื่อไม่มีข่าวศึกขึ้นดอยไล่ล่ามา เพียกมมะแดงก็สั่งให้อีแพงลูกสาว จัดหาอาหารการกินตามสภาพที่หาได้พลางเรียกสองจารย์หนุ่มเข้ามาหา แล้วพูดว่า

“ข้าเห็นสองคนพวกเอ็ง เป็นคนอดทนเป็นศิษย์ที่ดีของครู บัดนี้นับว่าสำเร็จวิชาทุกอย่างที่ข้าถ่ายทอดให้ ไม่มีในพุงในไส้อีกต่อไปจึงให้มากินอาหารและคุยกันอย่างศิษย์กับครู”

“ครูไม่มีของดีที่จะให้ข้าอีกแล้วหรือ?”

จารย์แก้วถามเบา ๆ

“ของดีอะไรอีก” เพียกมมะแดงขึ้นเสียงขึงขัง

“จำพวกตระกรุด ปลัดขิก เขี้ยวเขานองาน้ำมันพรายอะไรอย่างนี้”

“ทุก…” ครูถ่มน้ำลายไปทางหนึ่ง เมื่อเวลาอยู่กินด้วยกัน ออกศึกด้วยกันนานวันเข้า ครูกับศิษย์ก็มีความรักผูกพันเป็นกันเอง เพียกมมะแดงจึงว่า “ข้าถือว่าวิชาเป็นของดี ของดีต้องอยู่ที่ใจมันติดตัวเราไปทุกหนทุกแห่งอยู่แล้ว จะต้องไปห้อยไปแขวนสิ่งใดอีก”

 

ระหว่างนั้น อีแพงและสาวบ้านข่าจำนวนหนึ่งก็ยอพาข้าวเข้ามา ข้าวเหนียวร้อน ๆ ซึ่งตามธรรมดาจะฝังซุกซ่อนไว้ตามหลุบไหล่ไพรภู หากไม่จำเป็นจะไม่นำออกมานึ่ง สั่งให้หามันหากลอยหาหน่อไร่หน่อหวายกินกันไปก่อน แต่คืนนี้เป็นกรณีพิเศษ อาหารและข้าวจึงพิเศษ จารย์แก้วมองแล้วใจหาย กลืนน้ำลายลงคอ มองเห็นเป็นของคะลำต่อมนต์ที่เรียนมาทั้งสิ้น ยกเว้นก็เฉพาะพริกตำกะเกลือเท่านั้น

 

“อ้าว ลงมือกินข้าวกันเถิด ข้าชักหิว”

เพียกมมะแดงกล่าวเชื้อเชิญสองจารย์หนุ่มกระเถิบเข้ามาใกล้ ๆ ล้อมวงกินข้าว เพียกมมะแดงหยิบเอาบ่วงหอยกาบ ตักแกงกระต่ายป่าขึ้นซดฮืดฮาด ๆ สองจารย์มองตาละห้อย อีแพงดันไปใส่ผลฟักที่ปลูกไว้ตามรอยไฟสุมขอน เก็บมาแกง หันไปทางแกงไก่ป่า ใบชะพลูป่า ข่าดงก็ลอยอยู่ ท่านห้ามเพราะคะลำทั้งนั้น จึงได้แต่ปั้นข้าวเหนียวจ้ำแหมะลงไปที่ถ้วยพริกตำกะเกลือ ยกใส่ปากเคี้ยวและกลืนลงคออย่างฝืด ๆ

 

“กินแกงกระต่าย แกงไก่มั่งซี อีแพงแกงตั้งหม้อใหญ่” เพียกมมะแดงแกล้งหันมาบอกตัวครูเองเอร็ดอร่อยจริง ๆ เป็นเหตุให้ทั้งสองอึก ๆ อัก ๆ พูดไม่ออก เมื่ออีแพงยกหม้อแกงมาเติมแกง ก็ถามขึ้นว่า

“อาหารบ่ถูกปากอ้ายหรือ จึงบ่กินสักกะหน่อย?”

“นั่นซี” เพียกมมะแดงว่า “มึงแกงบ่นัวปากละมั้งอีแพง”

 

ครูได้สั่งสอนสองจารย์ไว้ว่า เมื่อเขาถามขึ้นจะไปบอกว่า ข้าเรียนมนต์มากินไม่ได้ผิดมนต์คะลำ อย่างนี้บอกไม่ได้ ถ้าบอกเขาก็จะรู้ว่ามีมนต์ จำต้องเก็บกำไว้มิดชิด ปิดมนต์มิให้ใครรู้แต่จารย์แก้วกล้าถามเอากับครูขึ้นว่า

“เห็น ๆ อยู่ว่าของมันคะลำ กินไม่ได้ ทำไมครูจึงตักซดเอา ๆ”

อีแพงเห็นอาการจารย์แก้วถูกครูตาเขียวใส่หัวเราะคิก ๆ เดินออกไป เพียกมมะแดงจึงว่า

“มีผูกก็ต้องมีแก้”

“นโมสามจบ ขอขมาต่อสิ่งที่จะทำให้คะลำมันน่าเข่นกบาลตนเองยิ่งนัก ที่ไม่จดจำคำครูบาอาจารย์” จารย์แก้วบ่นออกดัง ๆ แล้วตักแกงไก่ป่า แกงกระต่ายขึ้นซดบ้าง

“ของทุกอย่างไม่ตายตัว” เพียกมมะแดงบอก “ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ได้มีวิชาคือมีสติ มีความรู้ตัว รู้จักพิจารณาว่าอะไรควรและไม่ควร ป้องกันไม่ให้กระทำการใดอย่างบุ่มบ่าม ยามกินก็ไม่มูมมาม ไม่ประมาททุกเมื่อ”

 

จารย์แก้วได้แต่บอกอาจารย์ว่า เขาจะไม่มีวันลืมบทแก้คะลำในเวลาจะกินข้าวอย่างเด็ดขาด

 

เมื่อข้าวปลาอาหารตกท้องอิ่มกันทั่วหน้าแล้ว พวกเขาก็พากันนั่งสนทนา พลางมวนยาใบตองสูบตากลมเย็น ท้องฟ้ายามราตรีนั้นดาวพราว เสียงหึนของหนุ่มเหงาคนใดดีดลอยลมมาแว่ว ๆ หอมกลิ่นดอกไม้ป่า ส่ำแมลงกรีดปีกสรรพสำเนียงร่าร้องยินดี

ด้วยรู้ว่าเป็นเวลาของหนุ่มสาว เพียกมมะแดงและจารย์บุญลุกหลีกไปเงียบ ๆ ปล่อยจารย์แก้วไว้กับอีแพง ทั้งสองมิได้จุดไฟไต้กระบองอาศัยแสงดาวจากฟ้าคืนนี้ ใบหน้าอันงามตามธรรมชาติของอีแพงดูเนียนนักเมื่อแสงดาวขับจารย์แก้วรู้สึกหวิวหวั่นในหัวอก คิดจะฉุดอีสาวเสียในคืนนี้ดีไหมวะ? ตามประเพณีเผ่าข่าแล้วถึงพ่อแม่จะยกลูกสาวให้หนุ่ม ก็ยังจะต้องขึ้นฉุดพอเป็นพิธีและจะถูกขัดขวางน้อยกว่าการฉุดโดยทั่ว ๆ ไป พอจารย์แก้วคิดเรื่องฉุดสาว ใบหน้าของไอ้หองคนหมายปองอีแพงเช่นเดียวกันก็ปรากฏขึ้นในห้วงคำนึง ทั้งคู่เป็นศิษย์ครูคนเดียวแต่ในเวลาฝึกดาบ เมื่อใดเป็นคู่ฝึกกันและกัน ไอ้หองเป็นลงมือฟันแบบเอาเป็นเอาตาย เช่นนี้จารย์แก้วย่อมรู้โดยวิสัยชาย

“อ้ายแก้วคิดอะไรอยู่ จึงนั่งนิ่งยิ่งกว่าปู?” อีแพงถาม หยอกเอินตามนิสัยที่สนิทสนมกัน

“ความฮักอ้าย คือดั่งศรเสียบจ้ำ ตำทรวงคาอยู่

คือดั่งน้ำอั่งต้อน ไหลท่วมแม่นัทที

ความฮักอ้าย สุมอกฮ้อน คือดั่งไฟอูดกะฮอก

คันบ่ไขปากอ้า อกสิเป้ เปื่อยทลาย แพงเอ้ยฯ

 

ผะหยาของจารย์แก้วบอกสาวให้รู้ว่าอกจะแตกตายเพราะความรักมากมาย อีแพงจึงกล่าวขึ้นบ้างว่า

 

“ย้านแต่ติ แถลงเว้า เอาเงามาเป็นฮูป

เอาหินแฮ่ มาปั้นส้ม เอาลมเป็นตองห่อ

เอาแดดเฮ็ดตอกกิ้ว สิไปมั่นบ่อนใด?”

 จารย์แก้วแก้ผะหยาว่า

“แนวนามเซื้อ ซายเซ็งสมซ่า

ปากว่าแล้ว มายม้างบ่เป็นฯ”       

อีแพงว่า

“คันอ้ายฟันเฮือไว้

ประสงค์แจวข้วมฝั่ง

ปลูกครั่งไว้

ประสงค์ย้อมเครื่องไหม

สานไซไว้

ยามฝนสิมาฮอด

ฮักน้องไว้

ประสงค์แท้สิ่งใด?”

 

จารย์แก้วว่า “มาลานี้ดวงหอมฮสฮ่วงอ้ายผู้เข้าซม ดมแล้วบ่อยากหนี”

 

อีแพงว่า “ฮักฮักนี้ฮมอยู่ในอก

ตกไปหน้าไลลืมถิ่มปล่อย

บุญบ่ฮอด ยอดบ่เกี้ยว

แสนสิฝั้นก็เล่ามายฯ

 

จารย์แก้วว่า

“อ้ายขอพิษฐานตั้ง

ขอฝากพระไมมิตร

พันธนังติด

หมื่นปีบ่ไลน้อง

พี่นี้ จงจิตข้อง

หมายตายเกิดฮ่วม

ขออย่าคละคลาดแคล้ว

คำหมั้นขอดสาร แพงเอ้ยฯ

คำเกี้ยวว่าเป็นผะหยายังไม่ทันจะสิ้นเนื้อความดี ลูกดอกอาบยาพิษก็แหวกลมเข้ามาปักฉึกตรงต้นไม้ใกล้หนุ่มสาวนั่งอยู่ ต่างล้มตัวลงหลบด้วยความตกใจ การจู่โจมของมันเกินความคาดหมายจริง ๆ ตามมาด้วยเสียงโห่กึกก้องของเหล่าชายฉกรรจ์จำนวนนับสิบ กรูเกรียวกันเข้ามา ใบหน้าเหล่านั้นมิอาจจำได้ว่าเป็นใครบ้างด้วยแต้มแต่งขี้มิ่นหม้อ ในคืนนั้นจึงมองคล้ายเป็นฝูงผีม้อย แต่ละคนกวัดแกว่งดาบ คมดาบสะท้อนแสงดาวเป็นเงาวาว

“เฮ้ย, ฉุดอีแพง” เสียงตะโกนสั่ง จารย์แก้วจำได้แม่นมั่นเป็นเสียงของไอ้หอง

“ข้ามศพกูไปก่อน” จารย์แก้วกระโดดเข้าขวาง ถองข่าหนุ่มด้วยลูกถีบจนมันล้มคลุกดินด้วยมิคาดว่าจะได้รับการต่อต้านเข้มแข็งอย่างนี้ จารย์แก้วตามลงไปหยิบดาบเล่มหล่นขึ้นมาพลันร่ายมนต์คาถามหาขลังตั้งพลังจิต เมื่อพวกมันโหมกรูกันเข้ามา ดาบก็ปะดาบ เกิดเสียงเหล็กเนื้อดีกระทบกัน ประกายไฟแตกเปรี๊ยะประ ฝ่ายไอ้หองมีกำลังพลมากกว่าหมายว่าจะเอาแพ้ จารย์แก้วให้ได้โดยเร็ว แต่ผิดคาด จารย์แก้วยามนี้กวาดดาบร่ายรำพลิ้วพลั่ง เงาดาบที่ติดตามดาบเดียวนับเป็นร้อยเป็นพัน

ฝีมือดาบนี้ อยู่ในคลองเนตรของจารย์บุญและเพียกมมะแดงทั้งสิ้น ก็พอจะพิสูจน์ได้อยู่บ้างว่า อันความรักที่มันมีต่ออีแพง ได้ทำให้ลืมเป็นลืมตายและต่อสู้สุดชีวิตเพื่อปกป้องคนรักจากพวกฉุดสาว

“หยุด หยุดต่อสู้” เพียกมมะแดงร้องห้ามเสียงดัง เสียงอันทรงอำนาจของหัวหน้าพวกมันทำให้ทุกคนหยุดการต่อสู้ ถอยออกไปจากจารย์แก้วคนละก้าวสองก้าว “พวกเอ็งที่ไม่เกี่ยวข้องกลับไปได้ ไอ้หองอยู่ก่อน” “ข้าได้พิสูจน์ฝีมือกับจารย์แก้วแล้วหัวหน้า” ไอ้หองบอกเพียกมมะแดง “ยามมันสู้จริงก็พอจะอาศัยปกป้องอันตรายได้อยู่ดอก”

“เอ้อ, ข้าเห็นแล้ว” เพียกมมะแดงบอกแล้วว่า “พวกเอ็งทั้งหลายเป็นศิษย์มีครู ข้าพอใจในฝีมือทุกคน แต่เมื่อไม่เป็นศัตรู รู้ลายไว้บ้างก็เพียงพอ และข้าขอให้ผูกพันมั่นหมายเป็นมิตรกันไปทุกยาม”

“นี่หมายความว่าอย่างไร?” จารย์แก้วหันไปถามจารย์บุญ

“หมายความว่า ครูกำลังสั่งสอนศิษย์”

“ข้ารู้ว่า ไอ้หองและเอ็งต่างมีความรักต่อ

ลูกสาวข้า” เพียกมมะแดงบอก “ธรรมดาประเพณีเผ่าเมื่อรักลูกสาวผู้ใดก็จับดาบขึ้นฉุดเอา แต่เรื่องนี้ต้องมีคนใดคนหนึ่งเสียสละ ข้าจึงขอให้ไอ้หองเป็นผู้เสียสละ เพราะมันยังมีภารกิจที่จะต้องจับดาบไปต่อสู้พวกศัตรูผู้รุกรานอยู่”

“ข้าเข้าใจดี” ไอ้หองพูด “ข้าจึงพร้อมที่จะเสียสละ เพื่อให้อีแพงได้สุขสบายในภายหน้า”

“ดีแล้ว” เพียกมมะแดงยกย่องไอ้หอง

“จิตใจอันสูงส่งสมกับเป็นลูกหลานเผ่าข่า ให้ข้าขอบใจเอ็งอีกครั้ง หวังว่าเอ็งจะเข้าใจความรักของข้าที่มีต่ออีแพงลูกสาวข้านะ”

เมื่อไอ้หองเดินจากไปแล้ว เพียกมมะแดงจึงหันมาถามจารย์แก้วว่า

“เอ็งเป็นไทไม่ใช่ข่า รักอีแพงเพราะเหตุใด?”

“เมื่อต่างเป็นคนก็ย่อมเสมอกัน ข้าบอกครูไม่ถูกว่าเพราะเหตุใดจึงรักมัน เพราะมันสวยเพราะชาติก่อนเคยทำบุญร่วมกันมา หรือว่าเพราะพ่อแม่มันอบรมมาดี จะด้วยเหตุนี้หรือเหตุใด ตอบไม่ได้”

“ข้าสงสัยว่าเอ็งจะรักจริง ๆ หรือรักเล่น ๆ”

“โธ่…ท่านเพียกมมะแดง ถึงข้าจะเป็นคนพูดจริงเป็นเล่น แต่ใจข้าไม่เท็จต่อตนเองและไม่เท็จกับใคร เอาชีวิตเป็นประกันได้”

“ดี” แล้วเพียกมมะแดงก็เรียกลูกสาวออกมา พลางพูดขึ้นต่อหน้าจารย์บุญ จารย์แก้วและอีแพงว่า “บ้านเมืองของข้าเคยรุ่งเรือง บัดนี้เหลือเพียงซาก เผ่าข่าต้องแตกหนีไปคนละทีปมาบัดนี้ยังมีฝรั่งเศส เจ้านายเกณฑ์ลูกสมุนแกวเข้ามาไล่ล่าฆ่าฟันอีก ภายหน้าไปจะเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ เมื่อข้าคิดได้ ข้าจึงจะยกอีแพงให้เป็นเมียของจารย์แก้ว แล้วบรรดาญาติพี่น้องของข้าผู้ใดสมัครใจเดินลงจากภูไพร ข้ามฝั่งของอพยพไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ราบดินเพียงก็ให้ไป ไม่ต้องอยู่แบบกระเสือกกระสนดิ้นรนอย่างทุกวันนี้”

แม้น้ำเสียงของเพียกมมะแดงจะราบรื่นแต่เศร้าสลด จนสองหนุ่มรู้สึกสงสารจับใจ จารย์แก้วหันไปทางอีแพง แล้วสาบานต่อหน้าเสี่ยวและพ่อครูว่า

“ข้าจารย์แก้วรับอีแพงเป็นเมียแต่งเมียตั้งขอให้พ่อครูวางใจเถิดว่า ข้าจะรักมัน ยกย่องมันให้สมฐานะ จะไม่ทำให้ลำบาก ถึงแม้ว่าข้าจะยากจนเป็นคนทำไร่ทำนาหากินอยู่กับทุ่งกับดอนแต่ข้าขอสาบานต่อหน้าเทพยดาฟ้าดิน ผีสางนางไพรในที่นี้ว่า ข้าจะรักอีแพงตลอดไป”

“เออ ๆ… เอ็งไม่ต้องสาบานให้มาก” เพียกมมะแดงห้ามไว้ “แต่เมื่อสาบานแล้วข้าก็จะถือเอาคำสาบานบอกลูกสาวข้า ว่าพ่อเบาใจและเมื่อเป็นคู่ผัวตัวเมียแล้ว หญิงก็ต้องมีหน้าที่ปรนนิบัติอย่าให้ขาดตกบกพร่องในหน้าที่แม่บ้านการเรือน หญิงจะต้องอดทนสร้างครอบครัวเคียงข้างพ่อบ้าน อยู่ด้วยกันหนักนิดเบาบ้างก็ช่างเถิด เหมือนลิ้นกับฟัน นะลูกนะ…”

เมื่อเพียกมมะแดงว่ากล่าวสั่งสอนอีแพงแล้ว ก็หันไปทางจารย์บุญว่า ข้าถ่ายเทสั่งสอนวิชาความรู้ให้ไปหมดแล้ว ก็นับว่าจารย์ทั้งสองเป็นศิษย์ชั้นดี จารย์แก้วข้ายกอีแพงให้แล้วจารย์บุญข้าจะขอยกดาบอันสำคัญยิ่งของเผ่าข่าให้เก็บไว้รักษาต่อไป พูดแล้วเพียกมมะแดงก็ยกห่อผ้าสีฟ้าอันห่อฝักดาบและดาบไว้ ยื่นมาต่อหน้าจารย์บุญ

เมื่อจารย์บุญรับห่อดาบไปถือไว้ เขาก็ประนมมือขึ้นโดยมีห่อดาบแนบอก แขนทั้งสองรองรับอยู่ กราบลงไปแทบตักของครู ครั้นแล้วจารย์บุญก็ได้แก้ห่อดาบออก ทำให้เขาตาลุกวาวด้วยความตื้นตันเป็นที่สุด เปล่งเสียงร้องออกมาว่า “ตาวฮางเซ็ง” แทบไม่เชื่อว่า ตนจะได้ครอบครองดาบต้นตระกูลเผ่าข่าอันลือชื่อทั้งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ยำเกรงที่สุดในหมู่ศัตรูนั้น

เพียกมมะแดงกล่าวว่า “จงรักษาดาบตาวฮางเซ็งเล่มนี้ไว้ให้ดี ถ้าดาบนี้อยู่ที่ข้า คงรักษาไว้ไม่ถึงวันที่เจ้าของดาบจะมาเอาคืนเป็นแม่นมั่นคงจะต้องเสียไปสักวันแน่ ๆ ข้าจึงตัดสินใจให้เอ็งเก็บรักษาไว้ และใช้ต่อสู้ในยามจำเป็น…”

(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)

Related Posts

นวนิยายเรื่อง “ดอกขะเจียวจากโคกขี้แลน” กำลังเข้มข้นในนิตยสาร “ทางอีศาน”
ดอกขะเจียวจากโคกขี้แลน ตอนที่ 11
ดอกขะเจียวจากโคกขี้แลน ตอนที่ 9
WP2Social Auto Publish Powered By : XYZScripts.com