นวนิยาย : กาบแก้วบัวบาน (๕)
กาบแก้วบัวบาน (๕)
ทางอีศาน ฉบับที่๕ ปีที่๑ ประจำเดือนกันยายน ๒๕๕๕
คอลัมน์: นวนิยาย
Column: Novel “Karb Kaeo Bua Baan” (Glassy Lotus Petals)
ผู้เขียน: ณรงค์ฤทธิ์ ศักดารณรงค์
พลายฉัตรชัยอยู่หัวขบวน เจ้าเชียงรุ้งอยู่บนหลังเป็นผู้นำทัพ ขนาบซ้ายด้วยเจ้าฟ้าคำหยาดนั่งบนหลังพลายฉัตรแก้ว เหมราชขนาบขวาอยู่บนหลังพลายฉัตรคำ ตามด้วยขบวนม้า ทหารแต่ละคนทะมัดทะแมง สะพายดาบไขว้หลัง ม้าแต่ละตัวย่องย่างสง่างาม ทหารเดินเท้าถือทวนอยู่ตรงกลางพลดาบอยู่ด้านซ้าย พลหอกอยู่ด้านขวา หลังสุดเป็นพลธนูกรูเกรียวมาอย่างล้นหลาม อินทรกนกขุนพลแห่งศรีโคตรบูรควบม้านำหน้าไปก่อน ทิ้งช่วงห่างพลายฉัตรชัยของเจ้าเชียงรุ้งประมาณเจ็ดช่วงแขน ผู้คนหลั่งไหลมาร่วมพิธีต้อนรับแน่นขนัดใจกลางเมือง
เหมราชตื่นตาตื่นใจในความยิ่งใหญ่ของศรีโคตรบูร ถนนหนทางแน่นขนัดด้วยชาวเมือง มองไปทางไหนเห็นแต่ความอลังการ บ้านเรือนทรงโบราณเรียงรายเต็มไปหมด ดอกไม้หลากสีระย้าบาน น้ำในลำธารไหลผ่านใจกลางเมือง รายล้อมด้วยกำแพงภูเขาสูง กลุ่มเมฆสีขาวรางชางบนท้องฟ้า ฝูงนกกาถลาบินระเบงเสียง ยอดปราสาทต้องแดดสะท้อนแสงวับวาว
เมืองศรีโคตรบูรไม่มีอาคารสูงเหมือนกรุงเทพมหานคร ไม่มีรถยนต์วิ่งผ่านไปมา ไม่เห็นเสาไฟฟ้าและตู้โทรศัพท์สาธารณะ ไม่มีใครพกพาโทรศัพท์มือถือ และมองไม่เห็นใครสวมใส่นาฬิกาข้อมือ ผู้หญิงแต่งกายนุ่งผ้าซิ่นสีเขียวเข้ม ใส่เสื้อแขนยาวสีเดียวกัน ไหล่ซ้ายพาดสไบห้อยชายลงมาถึงสะเอวใบหน้าอูมอิ่ม มุ่นมวยผมทัดดอกไม้สีขาว ผู้ชายนุ่งผ้าเตี่ยวสีแดง เปลือยร่างท่อนบน ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่แต่งกายไม่ต่างกันเท่าไรนัก เจ้าเชียงรุ้งพาชมเมืองด้วยขบวนทัพ ขณะเคลื่อนขบวนมาถึงย่านกลางเมือง ผู้คนพลุกพล่านเดินขวักไขว่ไปมา แถมยังมีสินค้ามาวางขายที่ตลาดกลางเมืองอีกด้วย สินค้าส่วนใหญ่เป็นเครื่องนุ่งห่ม ผ้าฝ้ายลายขิด ผ้าไหมทอมือ แต่ไม่พบเห็นเสื้อผ้าที่เป็นแฟชั่นนิยม ไม่มีกางเกงยีน ไม่มีเครื่องแต่งกายของผู้หญิงที่ล้ำยุคมองไม่เห็นสินค้าประเภทอาหารสด ไม่พบเห็นอาหารประเภทกุ้งหอยปูปลาและเนื้อ ไม่มีร้านเกมคอมพิวเตอร์และตู้ม้าไฟฟ้า ถึงจะอยู่บนหลังพลายฉัตรคำ แต่มองสำรวจได้อย่างทั่วถึง ผิวถนนสะอาดไม่มีขยะมูลฝอย ชาวเมืองที่พบเห็นสุภาพสงบเสงี่ยม เด็กทั้งชายและหญิงไม่ซุกซน กิริยาท่าทางทั้งเด็กและผู้ใหญ่บ่งบอกถึงความอ่อนโยน
เหมราชเริ่มคิดสงสัย เหตุใดตามถนนจึงไม่มีรถยนต์วิ่งผ่านไปมา ไม่มีเสาไฟฟ้าแม้แต่เสาเดียวไม่มีตู้โทรศัพท์สาธารณะ ตามแยกต่าง ๆ ไม่มีสัญญาณไฟจราจร หรือเป็นเพราะขบวนทัพของเจ้าเชียงรุ้งเข้ามาถึงกลางเมือง จึงปิดการจราจรเพื่อให้ขบวนผ่านโดยสะดวก ยิ่งมองดูบ้านเรือนก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น ดอกไม้นานาพรรณสะพรั่งบานแสดงถึงการวางผังเมืองได้ดี ทำเลที่ตั้งเหมาะสมลำธารจำนวนมากทอดผ่านและภูเขาล้อมรอบ ในความรู้สึกของเขา ศรีโคตรบูรเป็นเมืองแห่งสายน้ำนอกจากสะเลเตและดวงจำปาแล้ว ยังหลากหลายด้วยพันธุ์ไม้ดอกชนิดอื่น พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่ารก ภูเขาตระหง่านสูงลดหลั่นกันไกลออกไป ถึงจะเก่าแก่แต่เป็นเมืองโบราณที่สวยงาม
ขบวนทัพเคลื่อนมาถึงสนามใหญ่หน้าวัง เจ้าเชียงรุ้งสั่งให้หยุดขบวนแล้วลงจากหลังพลายฉัตรชัย ตามด้วยเจ้าฟ้าคำหยาดและเหมราช อินทรกนกสั่งทหารทำความเคารพ แล้วจัดขบวนเป็นทหารเกียรติยศ เจ้าเมืองและภรรยากำลังตักบาตรหลวงพ่อที่มารับบิณฑบาตใบหน้าเอิบอิ่ม ถัดไปด้านหลังมีพระเจ็ดแปดรูปยืนสงบสำรวม เหล่าเสนามหาอำมาตย์ ตลอดทั้งชาววังและชาวเมืองต่างก็หลั่งไหลมาทำบุญตักบาตรร่วมกับเจ้าเมือง
ภาพที่เห็นสะกิดใจให้เหมราชย้อนคิดถึงความหลัง เขามองเห็นคุณยาย คุณพ่อ คุณแม่และนาฏนภางค์ ทุกคนร่วมกันทำบุญตักบาตรที่หน้าบ้านทุกวัน เมื่อครั้งยังเด็ก ถ้าเป็นเช้าวันเสาร์และวันอาทิตย์ เขาและนาฏนภางค์ได้ร่วมทำบุญตักบาตรเป็นประจำ ยกเว้นวันธรรมดาตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์เขาและน้องสาวต้องไปโรงเรียนแต่เช้า จึงแทบไม่มีเวลาได้ทำบุญตักบาตรร่วมกับครอบครัว เห็นชาวเมืองมาทำบุญตักบาตรร่วมกับเจ้าเมือง นอกจากคิดถึงความหลังแล้ว ยังทำให้จิตใจสงบเย็นมากขึ้นยิ่งไปกว่านั้น ยังได้เห็นความใกล้ชิดระหว่างเจ้าเมืองและชาวเมือง ขณะกำลังย้อนคิดถึงอดีต เจ้าเชียงรุ้งเดินเข้ามาเชิญจึงเดินตามไปเงียบ ๆ เจ้าฟ้าคำหยาดเข้ามาเดินเคียงคู่ เมื่อไปถึงที่หลวงพ่อและพระอันดับยืนรอรับบิณฑบาต เจ้าฟ้าคำหยาดประณมมือตั้งจิตอธิษฐาน หลังจากนั้นจึงรับทัพพีจากศรีอ้วยล้วยมาตักข้าวสุกในขัน แล้วส่งให้เขาร่วมตักบาตรด้วยกัน เหมราชไม่มีทางเลือกเพราะอยู่ต่อหน้าเจ้าเมือง รับทัพพีจากเจ้าฟ้าคำหยาดแต่โดยดี
เหมราชมองใบหน้าธิดาเจ้าเมืองขณะร่วมกันตักบาตร ทั้งหอมกลิ่นสะเลเตบนมุ่นมวยผม ทั้งเคลิบเคลิ้มจมดิ่งสู่ความดื่มด่ำ ทั้งที่กำลังทำบุญใจแทนที่จะสงบแต่กลับทุรนทุราย แล้วเมื่อไรจะได้ร่วมทำบุญตักบาตรกับหญิงสาวชุดดำ พยายามสลัดหญิงสาวชุดดำออกไปจากความคิด ภาพใบหน้าของนาฏนภางค์ผุดหราขึ้นมาแทนที่เหลือบมองสะเลเตบนมวยผมเจ้าฟ้าคำหยาดอีกครั้ง จำได้ว่าเขาเคยเด็ดมหาหงส์เสียบแซมผมให้กับนาฏนภางค์ เธอดีใจหน้าบานอยู่หลายวัน สะเลเตเป็นราชินีดอกไม้แห่งศรีโคตรบูร แต่เป็นมหาหงส์แย้มบานสวยงามที่บ้านของเขา เห็นธิดาเจ้าเมืองทัดดอกสะเลเตก็ยิ่งคิดถึงนาฏนภางค์หากน้องสาวมาอยู่ร่วมด้วยในเหตุการณ์ เธอคงถามซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันเกิดอะไรขึ้น และคงกระเง้ากระงอดเมื่อไม่มีคำตอบ ยิ่งถ้าคุณยายด้วยแล้ว ในสถานการณ์ที่เขาไม่มีทางเลือก คุณยายคงปลอบประโลมให้อดทน บ่นพอเป็นพิธีแต่ทะนุถนอมด้วยเป็นแก้วตาดวงใจ เขาจะต้องอยู่ศรีโคตรบูรอีกนานเท่าไร ล้วนแต่ให้คำตอบตัวเองไม่ได้ ทั้งที่ต้องการกลับกรุงเทพมหาครให้เร็วที่สุด ลึก ๆ ในใจกลับยอมรับและถลำลึกยากจะถอนตัว ประกอบกับเจ้าเชียงรุ้งพาชมเมืองด้วยขบวนทัพยิ่งใหญ่อลังการใจก็ยิ่งฮึกเหิมยอมรับเป็นชาวเมืองศรีโคตรบูรมากขึ้นตามลำดับ
หลวงพ่อเดินนำหน้าพระอันดับกลับวัด เหมราชเพิ่งนึกได้และจำไม่ผิด หลวงพ่อที่กำลังเดินผ่านเขาไป เป็นหลวงพ่อที่มาสวดมนต์ให้พรในคืนทำพิธีดื่มน้ำสวามิภักดิ์ พระอันดับแต่ละรูปที่เดินตามไปอย่างสงบสำรวม ก็ล้วนแต่พระที่นั่งสวดมนต์กับหลวงพ่อ ขณะหลวงพ่อกำลังจะเดินผ่านท่าทางเหมือนมีเรื่องจะบอกให้รู้ หยุดยืนจ้องมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยน เขารู้สึกได้เหมือนมีสัมผัสลึกลับสะกิดเตือนให้คิด ได้ยินเหมือนหลวงพ่อพูดแต่ฟังไม่ถนัด กำลังจะประณมมือถามแต่หลวงพ่อเดินผ่านไปเสียก่อน
ทันใดนั้น…
ท้องฟ้าดำมืดในฉับพลัน เสียงเหมือนลมกระโชกพัดดังสนั่นอื้ออึง นกหัสดินฝูงใหญ่บินใกล้เข้ามา นกตัวหนึ่งพุ่งบินลัดฟ้าตรงเข้ามาจู่โจมรวดเร็ว ผู้คนโกลาหลวิ่งแตกตื่นหนี ช้างม้าส่งเสียงร้องวิ่งกระเจิดกระเจิงจนฝุ่นคลุ้ง ทหารตกใจกลัวทิ้งอาวุธวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ไม่รู้ใครเป็นใครชุลมุนวุ่นวายไปทั่ว นกหัสดินสามสี่ตัวพุ่งตามกันมาจู่โจมเหมราชคว้าดาบที่วางทิ้งเกลื่อนดินขึ้นมาเตรียมสู้ชายชุดขาวคนหนึ่งไม่รู้โผล่มาจากไหน พุ่งเข้ามากระชากเหมราชให้วิ่งตามไปสุดฝีเท้า ในเสี้ยวนาทีแห่งความเป็นความตาย เขากลับเป็นห่วงเจ้าฟ้าคำหยาดมากที่สุด ทั้งยังเป็นห่วงเจ้าเชียงรุ้งด้วยรู้ดีว่าเจ้าเชียงรุ้งไม่มีทางสู้นกร้ายเหล่านี้ได้ พยายามขัดขืนแต่ไม่สำเร็จ จึงจำใจวิ่งตามชายชุดขาวไปโดยไม่รู้เป็นใคร และวิ่งอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง
เหมราชตัดสินใจเด็ดขาด ตัวเองดื่มน้ำสวามิภักดิ์เป็นสหายเจ้าเชียงรุ้ง ได้รับยกย่องเป็นถึงเจ้าเหมราช และเป็นชาวเมืองศรีโคตรบูร ขืนเอาแต่วิ่งหนีด้วยขลาดกลัว เท่ากับทอดทิ้งสหายที่กำลังประสบชะตากรรมหนัก ทั้งยังละทิ้งหน้าที่ปกป้องศรีโคตรบูร พยายามฮึดสู้ด้วยการออกแรงดิ้นจนหลุดแล้วหันหลังวิ่งกลับ ชายชุดชาววิ่งไล่ตามไปกระชั้นชิด ขณะวิ่งอย่างสุดกำลังกลับพลาดท่าคะมำเสียหลัก จึงเป็นเหตุให้ถูกกระชากตัวอีกครั้ง ชายชุดขาวฉุดลากไม่ยอมปล่อย ถึงจะทุรนทุรายดิ้นแต่ดิ้นไม่หลุด เมื่อเห็นหมดทางจึงได้แต่พูดกระหืดกระหอบ
“ผมขอร้อง กรุณาปล่อยผมเถอะ ผมมีงานต้องทำ”
“เจ้าฟังข้าก่อน” ชายชุดขาวรวบมือสองข้างของเขาไว้แน่น “จงฟังข้า เจ้ากลับไปไม่ได้”
“พี่ชายครับ ผมมีงานต้องทำ” เหมราชพยายามพูดขอร้องด้วยหวังจะได้รับความเห็นใจจากชายชุดขาว “ผมจะกลับไปช่วยเจ้าเชียงรุ้ง เจ้าฟ้าคำหยาด เจ้าเมือง ภรรยาเจ้าเมือง และชาวเมืองศรีโคตรบูร ทุกคนตกอยู่ในอันตราย นกหัสดินไล่ล่าน่ากลัวมาก ผมจำเป็นต้องกลับไปช่วยพวกเขา พี่ชายปล่อยผมเถอะครับ ได้โปรด”
“กลับไปช่วยพวกเขา เจ้าช่วยได้รึ” ชายชุดขาวพูดพลางปล่อยมือสองข้างให้เขาเป็นอิสระมองหน้าจ้องตาแล้วเงียบ กระทั่งเวลาผ่านไปครู่ใหญ่จึงพูดขึ้นเสียงหนัก “มันเป็นชะตากรรมของศรีโคตรบูร นกหัสดินและชาวเมือง ไล่ล่ากันมาแต่โบร่ำโบราณ ผู้คนตกเป็นอาหารนกหัสดินเหมือนต้องคำสาป ไม่มีใครสู้ได้ และไม่มีใครคิดสู้”
“ก็ผมไงล่ะ ผมจะสู้นกหัสดิน”
“นกหัสดินมาเป็นฝูง มาแต่ละครั้งมืดฟ้ามัวดิน” ชายชุดขาวพูดเหมือนร่ายยาว “เจ้าตัวคนเดียว บินไม่ได้เหมือนพวกมัน อาวุธก็แค่ดาบเล่มเดียวในมือ อาจหาญสู้กับพวกมัน เดี๋ยวก็พลาดท่าเจ้ามีหวังเป็นอาหารของพวกมัน”
“ก็บอกแล้วไง ผมสู้”
“เจ้าไม่มีทางสู้พวกมันได้”
“ไม่กลัว ผมเคยสู้มาแล้ว” เหมราชพูดด้วยความมั่นใจในฐานะผู้พิชิตนกหัสดินมาแล้วครั้งก่อน “เป็นเพราะที่ผ่านมา ใครต่อใครกลัวจนเกินเหตุ จึงไม่มีใครกล้าสู้ ผมสู้กับพวกมันด้วยดาบเล่มเดียว สู้จนพวกมันเผ่น จริงนะครับพี่ชาย”
“เจ้าคนเดียว สู้เพื่อคนทั้งเมือง น่าสรรเสริญยิ่งนัก” ชายชุดขาวพูดเสียงกังวาน “ไม่ว่าแผ่นดินไหน มีคนอย่างเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น จะอุดมไปด้วยยุติธรรม และสันติภาพ” มองหน้าเหมราชแล้วถอนหายใจยาว จากนั้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ช่างเถิด นั่นเป็นจิตวิญญาณของเจ้าเป็นความดีที่หาได้ยาก แต่สำหรับข้า หลวงพ่อมอบภารกิจให้ทำ ข้าจำเป็นต้องทำ เจ้าต้องไปกับข้า และไปเดี๋ยวนี้”
“ไปไหน”
“เดี๋ยวเจ้าจะรู้”
“แต่ผมไม่ไป” เหมราชเสียงแข็งขึ้นทันที “ผมจะกลับไปสนามหน้าวัง กลับไปช่วยเจ้าเชียงรุ้งและกลับไปหาเจ้าฟ้าคำหยาด” มองหน้าชายชุดขาวด้วยสายตาท้าทายแล้วพูดเสียงหนัก “ทุกคนกำลังอยู่ในอันตราย ผมต้องกลับไป”
นกหัสดินฝูงใหญ่โผนบินกลับมาอีก แรงกระพือปีกดังลั่นสนั่นท้องฟ้า แต่ละตัวถลาบินวนเวียนไปมาเหมือนตามไล่ล่าเขาและชายชุดขาว นกยักษ์ตัวหนึ่งพุ่งจากท้องฟ้าลงมาโจมตีเหมราช มันฟาดงวงตวัดปีกถลาบินพุ่งเข้ามาจู่โจมรวดเร็ว ชายชุดขาวกระชากเขาหลบได้ทัน เจ้านกยักษ์โผนบินกลับมาจู่โจมอีกครั้ง แรงกระพือปีกกลายเป็นสายลมพุ่งพัดแรง เขาเสียหลักล้มแต่แข็งใจคว้ากิ่งไม้ลุกขึ้นในท่าพร้อมสู้ ในเสี้ยววินาทีนั้น นกหัสดินสองตัวพุ่งตามกันมาไล่ล่า ชายชุดขาวพุ่งเข้ามากระชากเขาหลบอีกครั้ง และเป็นช่วงที่นกหัสดินทั้งฝูงบินกลับมารุมจู่โจมพร้อมกัน เหมราชจึงถูกชายชุดขาวฉุดลากให้วิ่งหนีเอาตัวรอด ฝูงนกหัสดินยังตามไล่ล่าไม่ยอมปล่อย นกตัวหนึ่งกระพือปีกบินตีโค้งกลับมาเสียงดังเหมือนฟ้าร้อง เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกกลัวตาย จึงออกแรงวิ่งตามชายชุดขาวไปแบบไม่คิดชีวิต วิ่งไปถึงไหนไม่รู้แต่มองเห็นยอดเจดีย์เรียงรายอยู่ข้างหน้า แข็งใจวิ่งตามแต่หมดแรงวิ่งต่อไปไม่ไหว กะปลกกะเปลี้ยสะดุดเท้าตัวเองเสียหลักล้มลง
ในเสี้ยววินาทีนั้น นกหัสดินทั้งฝูงพุ่งบินตามมาจู่โจมเร็วเกินกว่าจะหนีได้ทัน พยายามแข็งใจตะเกียกตะกายคว้าหากิ่งไม้มาเป็นอาวุธแต่ว่างเปล่า จึงได้แต่มองเห็นอดีตภาพแล้วภาพเล่าผุดขึ้นในความจำ เหมือนพญามัจจุราชมายืนปรากฏให้เห็นต่อหน้า ขณะที่ความรับรู้ค่อย ๆ ดับลง
เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ เหมราชรู้สึกตัวจึงค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นนั่ง กวาดสายตามองไปรอบ ๆ พบตัวเองอยู่ในห้องโล่งกว้าง ชายชุดขาวนั่งอยู่ข้าง ๆ ลักษณะที่เห็นเหมือนเขานั่งเฝ้าอยู่ตลอดเวลา จึงเอ่ยปากถาม
“พี่ชายครับ เราอยู่ที่ไหนกัน”
“เดี๋ยวเจ้าจะรู้”
“ขอโทษนะครับ ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากรู้เดี๋ยวนี้ เราอยู่ที่ไหน”
“เจ้าอย่าใจร้อน” ชายชุดขาวพูดน้ำเสียงนุ่มนวล “หลวงพ่อรอเจ้าอยู่ข้างใน อย่าชักช้า จงรีบไปพบหลวงพ่อ”
“ไปพบหลวงพ่อ” เหมราชสีหน้าฉงน “ที่ไหนครับ พี่ชาย”
“อยู่ข้างในโบสถ์” น้ำเสียงของชายชุดขาวราบเรียบปกติ “หมดหน้าที่ข้าแล้ว เจ้ารีบไปพบหลวงพ่อเดี๋ยวนี้เถิด เป็นตายร้ายดีอย่างไร ขึ้นอยู่กับบุญกรรมของเจ้า”
ชายคนนี้เป็นใคร พูดอะไรแปลกประหลาดถึงจะสงสัยแต่เหมราชไม่มีทางเลือก จึงลุกขึ้นเดินเก้ ๆ กัง ๆ ไปหยุดอยู่หน้าประตูใหญ่ ถึงไม่เคยมาแต่รู้ได้ว่าเป็นประตูเข้าไปภายในพระอุโบสถ ยืนชั่งใจเงียบ ๆ ชั่วครู่แล้วก้าวเท้าผ่านธรณีประตูเข้าไปข้างใน แสงไฟจากเปลวเทียนส่องสว่างให้มองเห็นทั่วบริเวณ พระภิกษุวัยชรานั่งสงบสำรวมอยู่หน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ตระหง่านเป็นพระประธานอยู่บนบัลลังก์ มองปราดเดียวก็จำได้ไม่ผิดเป็นหลวงพ่อที่ไปสวดมนต์ในพิธีดื่มน้ำสวามิภักดิ์และเป็นหลวงพ่อที่เขาทำบุญตักบาตรร่วมกับเจ้าฟ้าคำหยาดเมื่อตอนเช้า เหตุใดจึงให้ชายชุดขาวไปตามเขามาพบ เขานั่งคุกเข่าลงกราบสามครั้งแล้วรอฟังคำพูด แม้เวลาผ่านไปครู่ใหญ่หลวงพ่อยังคงนั่งสงบนิ่ง
“หลวงพ่อขอรับ” เหมราชอดทนไม่ไหวจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน “เอ่อ…ให้ตามกระผมมาพบหลวงพ่อมีเรื่องอะไรขอรับ”
“พระศรีรัตนตรัยจงคุ้มครอง”
น้ำเสียงของหลวงพ่อนุ่มนวล เหมราชฟังแล้วรู้สึกตัวเหมือนตื่นจากฝัน ความวิตกกังวลเปลี่ยนเป็นสดชื่นแจ่มใส ใจที่ละล้าละลังกลับเป็นปกติ
“หลวงพ่อให้มาพบ มีเรื่องอะไรขอรับ”
“รักโลภโกรธหลงเป็นอารมณ์ชั่วครั้งชั่วคราว ทำกรรมดีได้รับผลดี ทำกรรมชั่วได้รับผลชั่ว ทำกรรมใดได้รับผลกรรมนั้น” หลวงพ่อไม่ตอบคำถามแต่พูดอ่อนโยน ท่วงทำนองเสียงเนิบช้า “ธรรมทั้งหลายสำคัญอยู่ที่ใจ จงไตร่ตรองให้ดี ใจที่สงบย่อมเกิดสติปัญญา”
เหมราชฟังแล้วเกิดความคิดมองเห็นแสงสว่างโชติช่วงขึ้นในใจ แต่พอหวนคิดถึงเจ้าเชียงรุ้ง เจ้าฟ้าคำหยาด และชาวเมืองศรีโคตรบูร ความกังวลห่วงหน้าพะวงหลังยังท่วมท้นอก จึงเอ่ยปากถามหลวงพ่อด้วยความสงสัย
“ใจยังละล้าละลัง ห่วงหน้าพะวงหลัง จะทำอย่างไรดีขอรับ”
“พยายามกำหนดรู้ ธรรมทั้งหลายสำคัญอยู่ที่ใจ”
“หลวงพ่อขอรับ กระผมไม่เข้าใจ” เหมราชเงยหน้าขึ้นมองหน้าหลวงพ่อ ท่าทางนั่งสงบสำรวมบ่งบอกถึงเมตตาธรรมเปี่ยมล้นอยู่ในดวงใจ “เหมือนได้คิด แต่ก็คิดไม่ออก เหตุใดหรือขอรับธรรมทั้งหลายจึงสำคัญอยู่ที่ใจ”
“จงทำตัวให้ตื่นอยู่ตลอดเวลา ไม่หลงระเริงติดยึด มุ่งมั่นรักษาใจให้สงบ ใจที่สงบเป็นบ่อเกิดสติปัญญา เมื่อไรสติปัญญาเกิด เมื่อนั้นก็จะมองเห็นธรรม”
“ยังไม่เข้าใจขอรับ” เหมราชฟังคำพูดหลวงพ่อแล้วยังไม่หายสงสัย จึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ทำอย่างไรจึงมองเห็นธรรม”
“ตราบใดตะวันยังส่องแสง แดดยังออกฟ้ายังร้อง ฝนยังตกลมยังพัด สายน้ำไม่หยุดไหล ใบไม้แห้งร่วงลงสู่ดิน” น้ำเสียงหลวงพ่อเยือกเย็นเข้าไปในหัวใจของเหมราช “ตราบนั้นใจมนุษย์ย่อมไม่หยุดนิ่ง การไม่หยุดนิ่ง ทั้งธรรมชาติ ทั้งใจมนุษย์ถือเป็นสิ่งธรรมดา” มองเข้าไปในดวงตาหยั่งลึกถึงความรู้สึกของเหมราช แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ธรรมทั้งหลายสำคัญอยู่ที่ใจ ก็เพราะใจปรุงแต่งทุกอย่าง ใจที่ไม่ปรุงแต่งคือมองเห็นธรรม”
เหมราชนั่งสงบไตร่ตรองคิด คำพูดของหลวงพ่อยิ่งฟังยิ่งลึกซึ้ง จิตสงบนิ่งจึงมองเห็นตัวตนที่แท้จริง เหมือนมีแสงสีรุ้งเรืองรองขึ้นกลางใจ แล้วค่อยๆ ชักนำให้จมดิ่งสู่ห้วงภวังค์ ภาพแห่งอดีตฉายฉานขึ้นในความคิด มองเห็นตัวเองโลดแล่นอยู่ในสังคมธุรกิจการค้า ด็อกเตอร์หนุ่มนักเรียนนอกจากสหรัฐอเมริกา ทายาทมหาเศรษฐีแห่งกรุงเทพมหานคร วัน ๆ ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมผู้ดี คลุกคลีอยู่กับแวดวงธุรกิจ ทรัพย์สินมีทั้งอาคารสูงหลายสิบชั้นย่านสีลม ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ย่านราชประสงค์ใจกลางเมืองหลวง หมู่บ้านจัดสรรย่านนนทบุรี อสังหาริมทรัพย์อีกหลายเครือข่ายทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด บุกเบิกลงทุนธุรกิจการท่องเที่ยวที่อ่าวอันดามัน ทั้งภูเก็ต กระบี่และพังงากำลังขยายธุรกิจการค้าไปยังจีนและลาว ภาพแต่ละภาพผุดซ้อนกันขึ้นในความคิด มองเห็นตัวเองขลุกอยู่กับคุณยายผู้เป็นประมุขแห่งบ้านทรงไทยหลังใหญ่ และเป็นบ้านทรงโบราณที่เด่นสง่าในย่านบางเขนรอยต่อรังสิต มองเห็นคุณพ่อนั่งเป็นประธานในที่ประชุมกรรมการฝ่ายต่างๆ ของบริษัท นาฏนภางค์น้องสาวแสนดีเป็นเลขานุการของคุณพ่อ เขาเองเป็นรองประธานกรรมการบริหาร ทำทุกอย่างเหมือนเตรียมรับช่วงกิจการทั้งหมด แต่กลับพลัดหลงเข้ามาอยู่ในเหตุการณ์ลึกลับไร้คำตอบ เข้าพิธีดื่มน้ำสวามิภักดิ์เป็นสหายเจ้าเชียงรุ้ง กลายเป็นเจ้าเหมราชชาวเมืองศรีโคตรบูร ไม่เพียงเท่านั้น ยังเคลิบเคลิ้มหลงใหลปล่อยใจคลั่งไคล้เจ้าฟ้าคำหยาด ดื่มด่ำถลำคิดถึงแต่หญิงสาวชุดดำ
ภาพของแต่ละคนผุดขึ้นในความทรงจำอย่างต่อเนื่อง เหมือนกำลังนั่งดูหนังในโรงหนังใหญ่ มองเห็นคุณน้าทรงเผ่าคนเก่าแก่ของตระกูล เห็นทรงสมรลูกสาวคุณน้าทรงเผ่านั่งทำงานอยู่หน้าห้องทำงานของเขาเอง เธอทำหน้าที่หัวหน้าสำนักงานรับผิดชอบงานธุรการทั้งหมด เห็นชัยยศกรรมการผู้จัดการบริษัทสาขากำลังง่วนอยู่กับเอกสาร ชัยยศเป็นทั้งพนักงานและเพื่อนใกล้ชิดที่รู้ใจ แต่ละคนตั้งหน้าตั้งตาทำงานในความรับผิดชอบ คงยังไม่มีผู้ใดรู้เรื่องที่เขาหายไปจากบริษัท เขาลืมนึกถึงบุคคลเหล่านี้ได้อย่างไร ขณะที่ทุกคนมุ่งมั่นทำงาน เขากลับหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจตัวเอง
เหมราชมองเห็นนาฏนภางค์นั่งหมองเศร้าอยู่ที่ระเบียงบ้าน คุณยายและคุณแม่นั่งพูดคุยกันอยู่ที่ศาลาริมน้ำ คุณพ่อนั่งเงียบขรึมอยู่ที่ห้องทำงานของบริษัท ขณะกำลังมองดูแต่ละภาพที่ผุดขึ้นในความทรงจำ คำพูดหลวงพ่อแว่วดังขึ้นในความคิดเขารู้สึกเหมือนถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาเพื่อค้นหาตนเอง คำพูดหลวงพ่อที่ว่าใจที่ไม่ปรุงแต่งคือมองเห็นธรรม ถึงจะเป็นคำพูดง่าย ๆ ฟังแล้วแจ่มกระจ่างขึ้นกลางใจ
เสียงฆ้องกังวานขึ้นเบา ๆ แล้วดังกระหึ่มแรงขึ้นตามลำดับ เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เหมราชรู้สึกคล้ายตัวเองเคลิ้มหลับ ค่อย ๆ ลืมตาตื่นจากห้วงภวังค์ด้วยเสียงฆ้องกังวานขึ้นเบา ๆ แล้วดังกระหึ่มแรงขึ้นตามลำดับ พยายามมองหาหลวงพ่อแต่ไม่พบ ชายชุดขาวเดินมานั่งลงข้าง ๆ ด้วยท่าทางเงียบขรึม สงบนิ่ง แสดงถึงความเป็นมิตรผู้หวังดีเหมราชหันไปมองแล้วเอ่ยปากถาม
“หลวงพ่อไปไหน”
“ภารกิจของสงฆ์ เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้”
“ก็ผมอยากรู้”
“ที่เจ้าต้องรู้ ควรเป็นเรื่องเฉพาะตัวของเจ้า”
“เรื่องเฉพาะตัวของผม มีด้วยหรือครับ”
“มีมากเสียด้วย ภพภูมิของเจ้า”
“เป็นยังไงหรือครับ ภพภูมิของผม”
“เจ้ามาจากไหน ที่นั้นเป็นภพภูมิของเจ้า และจงกลับไปที่นั่น”
เหมราชฉุกคิดสงสัยภพภูมิของตัวเอง คำพูดของชายชุดขาวหมายถึงอะไร ศรีโคตรบูรลึกลับมากพออยู่แล้ว ภพภูมิที่ชายชุดขาวพูดถึงลึกลับยิ่งกว่า ประกอบกับการหายไปของหลวงพ่อที่นั่งอยู่ต่อหน้า ล้วนแต่ลึกลับด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน ทางเดียวที่ดีที่สุดคือต้องไปจากศรีโคตรบูรจึงพยายามใช้ความคิดหาลู่ทางกลับกรุงเทพมหานคร คิดเท่าไรก็มองไม่เห็นทาง สิ่งเดียวที่ทำได้ในขณะนี้คือตัดสินใจถามชายชุดขาว
“พี่ชายครับ ผมต้องการกลับบ้าน แล้วจะกลับยังไง”
“ภารกิจข้าคือนำทางเจ้าไปจากศรีโคตรบูร”
“ผมอยากรู้ครับ ผมจะกลับได้อย่างไร”
“ง่ายมากที่สุด เจ้ามาจากไหน กลับไปที่นั่น”
“ผมมาจากกรุงเทพฯ และต้องการกลับกรุงเทพฯ” เหมราชพูดไม่ต้องเสียเวลาคิด “แต่จะกลับอย่างไร ผมยังมองไม่เห็นทาง ผมขอร้อง…” น้ำเสียงที่พูดเต็มไปด้วยความหวัง “ถ้าพี่ชายรู้ช่วยบอกเส้นทางกลับกรุงเทพฯ ด้วยครับ”
“เส้นทางกลับรึ ไม่มีอะไรยุ่งยาก” ชายชุดขาวพูดราบเรียบด้วยน้ำเสียงปกติ “เพียงแต่ระหว่างทาง เจ้าพบเห็นสิ่งใด ห้ามสงสัย ห้ามพูด ห้ามถามและห้ามหันกลับไปมองข้างหลัง”
“ไม่มีปัญหา ผมทำได้”
“ศรีโคตรบูรไม่ใช่ภพภูมิของเจ้า” น้ำเสียงของชายชุดขาวหนักแน่น “ชีวิตความเป็นอยู่แต่ละภพภูมิต่างกันมาก เจ้ามาจากกรุงเทพมหานคร มาจากไหนจงกลับไปที่นั้น กลับไปยังโลกของเจ้า” มององค์พระปฏิมาตระหง่านอยู่บนบัลลังก์แล้วพูดต่อ “เจ้าเป็นคนดีมีจิตใจงาม ซื่อสัตย์สุจริตและเป็นกัลยาณมิตร เจ้าปกป้องศรีโคตรบูร เท่ากับช่วยชีวิตชาวเมืองให้รอด ศรีโคตรบูรเป็นหนี้บุญคุณเจ้า ข้าขอน้อมจำใส่ใจไม่ลืม”
“วันหน้า ถ้าพี่ชายมีธุระผ่านไปทางกรุงเทพฯ” เหมราชแสดงน้ำใจอย่างมีไมตรี “อย่าลืมบอกให้ผมรู้ ผมยินดีต้อนรับมากที่สุด และจะนำเที่ยวเมืองหลวงกรุงเทพฯ ให้ฉ่ำใจเลยครับ” เว้นระยะด้วยการหายใจแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงแห่งมิตรภาพ “ผมขอถามนะครับ พี่ชายเคยไปกรุงเทพฯ บ้างหรือยัง”
“ข้าไม่มีเวลาได้ท่องเที่ยว” ชายชุดขาวพูดด้วยสีหน้าขึงขังจริงจัง “บรรพบุรุษข้าเคยไปทวารวดี และศรีอโยธยา ปู่ข้าท่องลุ่มน้ำบางกอกมาแล้ว พ่อข้าบอกว่า เคยท่องเมืองล้านนา เมืองล้านช้าง แต่พ่อข้าห้ามนักห้ามหนา อย่าท่องเมืองรัตนโกสินทร์” หยุดหายใจ มองจ้องเข้าไปในดวงตาของเหมราชแล้วพูดเสียงหนัก “ถ้ากรุงเทพฯ ที่เจ้าพูดถึงเป็นเมืองรัตนโกสินทร์ พ่อข้าห้ามไปเด็ดขาด”
“ทำไมถึงห้ามละครับ”
“ข้าไม่รู้ เจ้าอย่าถามให้มาก”
ชายชุดชาวรับปากเหมราชจะนำทางกลับกรุงเทพมหานคร กลับอย่างไรเส้นทางไหนไม่มีโอกาสรับรู้ เขาคิดขอเพียงได้กลับก็พอใจแล้ว จึงไม่ซักถามให้มากเรื่อง แต่ในใจอดคิดไม่ได้ ไปจากศรีโคตรบูรทั้งที ถ้าไม่สั่งลาเจ้าเชียงรุ้ง และไม่บอกลาเจ้าฟ้าคำหยาด เหมือนแล้งน้ำใจขาดไมตรีต่อกัน
“พี่ชายครับ ก่อนถึงเวลาเดินทาง ผมขอสั่งลาเจ้าเชียงรุ้ง และเจ้าฟ้าคำหยาด” น้ำเสียงเหมราชตะกุกตะกักผ่านลำคอออกมายากเย็น มองหน้าชายชุดขาวด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น เงียบชั่วครู่แล้วแข็งใจพูด “ขอเวลาไม่มาก ผมต้องการบอกลา”
“ไม่ได้เด็ดขาด” ชายชุดขาวพูดตัดบท “และไม่มีการบอกลา”
“แต่ผม…”
“ดึกมากแล้วนะ” ชายชุดขาวพูดเสียงห้วน “เจ้าต้องไปเดี๋ยวนี้”
พูดจบชายชุดขาวลุกขึ้นเดินนำหน้าเหมราชออกไปจากพระอุโบสถ ความมืดแผ่คลุมตลอดเส้นทาง แต่ทั้งสองคลำทางเดินได้ด้วยแสงจันทร์ส่องสว่าง ระหว่างทางป่าไม้หนาทึบขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองเดินเลียบเชิงเขาไต่เนินดินและป่ายปีนผาสูง เลี้ยวเลาะริมธารไปตามคดโค้งหุบเขา ข้ามขอนไม้โขดหิน มองหน้าแลหลังในแสงสลัว กระทั่งมาถึงหน้าผาสูงภูเขาแบ่งสายน้ำ ชายชุดขาวหยุดยืนแล้วพูดเหมือนออกคำสั่ง
“จงไปให้ถึงข้างหน้า”
“มืดมากครับ มองไม่เห็นทาง”
เหมราชพูดเสียงสั่นเริ่มไม่มั่นใจตัวเอง คงเป็นเพราะในส่วนลึกของความรู้สึกต้องการบอกลาเจ้าเชียงรุ้งและเจ้าฟ้าคำหยาด เขารู้สึกผิดที่จากไปเงียบ ๆ ทั้งที่ขอร้องชายชุดขาวแล้วแต่ไม่เป็นผลจึงได้แต่เศร้าใจด้วยความรู้สึกผิดหวัง และขณะเดียวกัน ชายชุดขาวเค้นเสียงสั่งขึ้นอีก
“ก่อนดวงจันทร์ลับฟ้าและก่อนฟ้าสาง เจ้าต้องไปให้ถึงข้างหน้า มันเป็นภพภูมิของเจ้า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จงเดินต่อไปเรื่อย ๆ อย่าหันกลับไปมองข้างหลัง”
“พี่ชายครับ ทำไมรึครับ ถึงได้ห้ามมองข้างหลัง”
“เจ้าอย่าสงสัยให้มาก”
เหมราชตัดสินใจเด็ดเดี่ยว เขาเดินฝ่าความมืดตามเส้นทางที่ทอดยาว เลียบเลาะริมธาร ผ่านพุ่มไม้กอหญ้า ป่ารกและภูเขาสูง ระหว่างทางทั้งลุ่ม ๆดอน ๆ ทั้งเลี้ยวลัดตัดโค้ง ถึงดวงจันทร์จะส่องแสง แต่มืดจนแทบมองไม่เห็นทาง จึงได้แต่แข็งใจเดินเงียบ ๆ มุ่งตรงไปข้างหน้า.
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)