นวนิยาย: กาบแก้วบัวบาน (๗)
ทางอีศาน ฉบับที่๗ ปีที่๑ ประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕
คอลัมน์: นวนิยาย
Column: Novel “Karb Kaeo Bua Baan” (Glassy Lotus Petals)
ผู้เขียน: ณรงค์ฤทธิ์ ศักดารณรงค์
ตะวันสีทองโผล่พ้นขอบฟ้า แดดสีเหลืองอ่อนวอมแวมเหนือราวป่า กลุ่มหมอกลอยตัวรางชางอยู่เหนือยอดภูเขา หยาดน้ำค้างเกาะพราวบนยอดหญ้า น่านน้ำใหญ่ซัดคลื่นเซาะหินดังกังวาน องค์เจดีย์สูงตระหง่านแต่เงียบสงบท่ามกลางลมยามเช้าที่พลิ้วผ่าน เหมราชนั่งสงบนิ่งผ่อนลมหายใจเข้าออก เขามุ่งมั่นปฏิบัติตามคำแนะนำของเวียงจันทรา นั่งสงบจิตใจให้เป็นสมาธิใหม่ ๆ ทำได้ยาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้สี่ห้าวัน ใจเริ่มสงบมากขึ้นตามลำดับ
เช้าวันนี้เขาปลีกตัวมานั่งเงียบ ๆ อยู่หน้าองค์เจดีย์ นั่งหลับตาได้ไม่นาน ภาพอดีตหลั่งไหลพรั่งพรูขึ้นในความคิด
ภาพแล้วภาพเล่าผุดขึ้นมาเคลื่อนไหวอยู่ต่อหน้า เขามองเห็นตัวเองและนาฏนภางค์เมื่อครั้งยังเด็ก เห็นคุณยาย คุณพ่อ คุณแม่ และใครต่อใครที่บ้าน เห็นทรงสมรพร้อมด้วยคุณน้าทรงเผ่านอกจากนาฏนภางค์แล้ว เขาไม่เคยใกล้ชิดหญิงสาวคนใดเท่ากับทรงสมร เธอจึงถูกใครต่อใครปักใจเชื่อเป็นเพื่อนสาวที่เขาใกล้ชิดมากที่สุดความเป็นจริงแล้ว เธอเพียงติดตามไปไหนมาไหน
ด้วยหน้าที่การงานที่รับผิดชอบเท่านั้น นาฏนภางค์ต่างหากมีความใกล้ชิดที่สุด เป็นทั้งน้องสาวและเงาตามตัวแทบไม่พรากจากกัน ภาพต่อมาเป็นศูนย์การค้าใหญ่ย่านสีลม ขวักไขว่ไปด้วยลูกค้าและพนักงานบริษัท ตามด้วยภาพเหตุการณ์ริมโขงคืนพระจันทร์วันเพ็ญฉาย ฟ้าขาวโพลนลูกไฟแปลกประหลาดพวยพุ่งขึ้นจากสายน้ำ หญิงสาวชุดดำร่ายรำกลางลานวัด กลุ่มชายฉกรรจ์แต่งกายเหมือนนักรบโบราณ แต่ละคนกรูเข้ากลุ้มรุมต่อสู้กันแล้วหายไปในความมืด ตัวเองออกตามหาหญิงสาวชุดดำ การผจญภัยพบเห็นฝูงงูยั้วเยี้ยเต็มป่า ภาพแล้วภาพเล่าผุดขึ้นต่อเนื่องกัน ภาพเจ้าเมืองศรีโคตรบูรสถาปนาเขาเป็นสหายเจ้าเชียงรุ้งการดื่มน้ำสวามิภักดิ์ และตามด้วยภาพที่เขาออกไปรำคู่เจ้าฟ้าคำหยาดในพิธีต้อนรับ
คำมั่นสัญญาระหว่างเขากับเจ้าฟ้าคำหยาดแว่วดังขึ้นในความทรงจำ เหมือนเสียงนั้นกำลังกังวานไปทั่วหุบเขาสายน้ำ ภาพต่อไปมองเห็นตัวเองอยู่บนหลังช้างศึก เจ้าเชียงรุ้งกำลังนำชมเมืองศรีโคตรบูรด้วยความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของขบวนทัพ ภาพฝูงนกหัสดินบินมาเต็มมืดทั้งท้องฟ้าไล่ล่าชาวเมือง ภาพผู้คนแตกตื่นวิ่งหนีอลหม่านด้วยความตกใจกลัว
เขาเห็นตัวเองและเวียงจันทราเดินเคียงคู่เลียบเลาะน่านน้ำ ทรายเนียนขาวระยิบวาวอยู่ใต้แสงแดดอ่อน น้ำเซาะหินระคนจักจั่นร้องระงมป่าใจสองดวงหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ทั้งใกล้ชิดทั้งผูกพันทะลุทะลวงสู่ความดื่มด่ำ ลืมรอยยิ้มและท่วงท่ารำของหญิงสาวชุดดำ ลืมคำมั่นสัญญาที่เคยให้เจ้าฟ้าคำหยาด ลืมคำสาบานในพิธีดื่มน้ำสวามิภักดิ์ ลืมคำพูดของหลวงพ่อและชายชุดขาวลืมกระทั่งความคิดจะกลับบ้าน เวียงจันทราเท่านั้นสงบนิ่งอยู่ในใจ
เสียงเรียกเบา ๆ แต่อ่อนหวานดังขึ้นข้างหลังถึงจะแผ่วเบาแต่ปลุกให้ตื่นจากห้วงภวังค์
ค่อย ๆ หันกลับไปมองเจ้าของเสียง พอเห็นเป็นเวียงจันทราจึงลุกขึ้นเดินช้า ๆ เข้าไปหา เมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงสาว เขารู้สึกอบอุ่น เหมือนมีพลังที่มองไม่เห็นวิ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง อยากพูดอะไรมากมายแต่กลับกลายเป็นเงียบ
“เงียบอยู่ตั้งนาน กำลังคิดอะไรรึ”
“เปล่า” เหมราชปฏิเสธเสียงเบา “คือว่า…”
“ข้าตามหาตั้งแต่เช้า เจ้าปลีกตัวหนีมาคนเดียว หนีมานั่งอยู่ต่อหน้าองค์เจดีย์” เวียงจันทราพูดพลางขยับเดินเข้ามายืนต่อหน้า “อยากรู้นักเจ้าคิดอะไร”
“อยู่ต่อหน้าเจ้า ข้ายังต้องคิดอะไรอีก” น้ำเสียงของเหมราชนุ่มนวล “เจ้าก็รู้ ข้ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ” จ้องมองดวงตาทั้งสองข้างของเวียงจันทราเหมือนมีพลังดึงดูด ทั้งอบอุ่นและผูกพันเงียบแต่ยิ้มแล้วพูดต่อ “นอกจากเจ้า ไม่มีสิ่งใดให้ข้าคิด”
“ข้าไม่รู้ด้วยหรอก” ดวงตาทั้งคู่ของเวียงจันทราทอประกาย “เริ่มต้น เจ้าก็ทำให้ข้าหวั่นไหว อีกหน่อยหัวใจข้าคงถูกเจ้ากระชากไปจนหมด” เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ลดต่ำลงมองน่านน้ำ สงบนิ่งอยู่นานแล้วพูดเสียงหนัก “ข้าเฝ้าภาวนาต่อองค์เจดีย์ เพื่อให้ตัวเองพ้นทุกข์ ใจข้าสงบและก็นิ่งมาตลอด” ปรายตามองยอดหญ้าระริกไหวแล้วพูดเสียงต่ำ “อยู่ต่อหน้าเจ้า ใจข้าสะทกสะท้าน ไม่สงบนิ่งเหมือนเดิม ความกลัวเริ่มกลับมา” เงยหน้าขึ้นมองสบตาเหมราชแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหดหู่ “ทั้งที่ข้าไม่เคยกลัว แต่บัดนี้ข้ากลัว”
“ทำไมต้องกลัว เจ้ากลัวอะไรรึ”
“ข้ากลัวการจากไปของเจ้า”
“ไม่ ระหว่างเจ้าและข้า ไม่มีการจากไป”
“แต่ข้ากลัว”
“ก็เจ้าบอกข้าเอง ระหว่างเราสองคน ไม่พลัดพราก ไม่จากไป ไม่สั่งลา”
เวียงจันทราโผเข้าซุกตัวกลางอ้อมแขนของเหมราช กายแนบกายคุโชนด้วยสัมผัสอุ่น ต่างฝ่ายต่างถนอมหลอมรวมใจเป็นหนึ่งเดียว ถึงจะคุกรุ่นด้วยโหยหาแต่สงบในความนิ่ง เด็ดเดี่ยวมั่นคงและทรงพลัง เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักรบที่ผ่านสู้ศึกมาอย่างโชกโชน มองเห็นตัวเองเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ เคียงข้างด้วยเวียงจันทรา และกำลังเคลื่อนขบวนทัพนำเหล่านักรบมุ่งหน้าสู่สมรภูมิ
ทันใดนั้น…
ท้องฟ้ามืดและมีเสียงอื้ออึงดังใกล้เข้ามา เวียงจันทราตกใจกลัวจนสีหน้าซีดเผือด หญิงสาวควบคุมตัวเองไม่ให้มีพิรุธด้วยการยืนนิ่งอยู่กับที่เหมราชเคยผ่านเหตุการณ์มาแล้วหลายครั้ง เขาจำเสียงอื้ออึงบนท้องฟ้านี้ได้ไม่มีวันลืม นกหัสดินฝูงใหญ่กำลังไล่ล่าเหยื่อ ถึงไม่กลัวแต่ไม่มีช่องทางที่จะเอาชนะนกร้ายเหล่านี้ เห็นเวียงจันทรานิ่งแล้วอดชื่นชมไม่ได้ ทั้งที่ตกใจกลัวแต่เข้มแข็งพร้อมสู้ขณะที่เจ้านกปีศาจร้ายตัวหนึ่งบินลัดฟ้าพุ่งลงจู่โจมรวดเร็ว เขากระชากหญิงสาวหลบกรงเล็บแหลมคมได้อย่างหวุดหวิด ตัวแรกโผนบินผ่านไปแต่นกฝูงใหญ่บินตามมามืดฟ้า แต่ละตัวพุ่งลงจู่โจมอย่างหิวกระหาย ขืนสู้ต่อไปคงหนีไม่พ้นกลายเป็นเหยื่อ ทางเดียวที่จะรอดชีวิตมีแต่หนีกับหนีเท่านั้น
เหมราชมองซ้ายมองขวา ด้านซ้ายมือเป็นราวป่าและขวามือเป็นน่านน้ำ เจ้านกปีศาจตัวหนึ่งบินแหกโค้งฟ้าตรงมา ในวินาทีนั้นเขาพุ่งเข้าไปฉุดเวียงจันทราวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิต ทั้งสองวิ่งหัวซุกหัวซุนเข้าไปในป่า อาศัยต้นไม้เป็นกำบัง ฝูงนกตามไล่ล่าอย่างกระหายเลือด เสียงร้องเสียงกระพือปีกดังลั่นสนั่น ป่าทั้งป่ามืดมองไม่เห็นทางหนี
เหมราชวิ่งชนต้นไม้ถึงกับถลาล้มลงตะเกียกตะกายลุกขึ้นแล้วออกแรงวิ่งต่อ แต่เวียงจันทรากลับเป็นฝ่ายเสียหลักล้มลงบนพื้นดิน เขาพุ่งเข้าไปประคองหญิงสาวให้ทรงกายลุกขึ้น เจ้าปีศาจเวหาตัวหนึ่งโผนบินตรงมารวดเร็ว ในเสี้ยววินาทีนั้น เหมือนมีใครพุ่งเข้ามากระชากอย่างแรงถึงมองเห็นไม่ถนัดแต่รู้มีคนเข้ามาช่วย พยายามจะวิ่งตามกลับเสียหลักหงายหลังล้มกลิ้งลงไปตาม
เนินลาดชัน ตวัดมือคว้ากิ่งไม้แล้วออกแรงฉุดดึงร่างจึงห้อยโตงเตงเหวี่ยงไปมาจนกิ่งไม้สะบั้นหักทั้งคนทั้งกิ่งไม้หมุนเคว้งคว้างหล่นลงกลางสายน้ำพยายามกระเสือกกระสนเข้าหาฝั่ง แต่หมดแรงจมดิ่งลงสู่ใต้สายน้ำลึก แล้วความรู้สึกก็ค่อย ๆ วูบดับ
เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ เหมราชงัวเงียลุกขึ้นนั่งเอนหลังพิงโขดหิน พยายามขยับแขนขาแต่ยังไม่หายอ่อนเปลี้ยเพลียแรง กวาดสายตามองไปรอบ ๆ พยายามมองหาเวียงจันทราแต่ไร้ร่องรอยมองไปทางไหนมีแต่น้ำกับน้ำ ไร้วี่แววลุงสีโห ไม่มีเจดีย์พ้นทุกข์ ภูเขาเท่านั้นสูงทะมื่นใต้ท้องฟ้าคราม
เหมราชทรงตัวลุกขึ้นยืน มองซ้ายมองขวาแล้วเดินกลับไปกลับมา เวียงจันทราหายไปไหน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต้องตามหาให้พบ ขณะกำลังทุรนทุรายคิดด้วยเป็นห่วง ชายคนหนึ่งนุ่งผ้าเตี่ยวสีแดงโผล่ออกมาจากซอกหิน อายุคงไล่เลี่ยกับเขาท่าทางทะมัดทะแมง สะพายดาบไขว้หลัง เดินย่ำใบไม้แห้งสวบสาบมาหยุดยืนต่อหน้า จ้องมองสบตาแล้วพูดอย่างเป็นกันเอง
“สหาย ดูท่าทางเจ้าคงดีมากขึ้นแล้ว”
“ขอโทษ ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” เหมราชถามอย่างยากเย็น “คุณเป็นใคร มาจากไหน จะไปไหน”
“ข้าชื่อสาคร เป็นทหารรับใช้เจ้าสุวรรณนาคินทร์ เจ้าเมืองสีทันดร”
“แล้วผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“สหายจมน้ำ ถูกน้ำพัดมา สลบไม่รู้สึกตัว แต่ยังดีที่ข้ามาพบเสียก่อน จึงช่วยพาสหายมาที่แห่งนี้รู้สึกตัวก็ดีแล้ว” ชายนุ่งผ้าเตี่ยวสีแดงมองหน้าเหมราชแล้วเน้นเสียงหนัก “สหายถามยืดยาว ข้าเป็นใคร มาจากไหน จะไปไหน อีกหน่อยก็จะรู้เอง” หยุดหายใจแล้วพูดต่อ “ข้ายินดีรับเจ้าเป็นสหายถ้าไม่รังเกียจ จงบอกชื่อให้ข้ารู้”
“ผมชื่อเหมราช ขอบคุณมากที่ช่วยผม”
“เจ้าพูดภาษามนุษย์รึ ข้าก็รู้ภาษามนุษย์ แต่ไม่ถนัดพูด” สาครโปรยยิ้มอย่างเป็นกันเอง “ข้าขอร้อง ตราบใดที่เจ้าอยู่ภพภูมิของข้า ทุกครั้งที่เจ้าพูด จงพูดภาษาของข้า” เว้นระยะด้วยการมองหน้าเหมราชแล้วพูดต่อ “ภาษามนุษย์ ถ้าจะพูดก็จงพูดเมื่อเจ้ากลับภพภูมิตัวเอง”
“สหายสาคร ข้าขอบใจเจ้ามาก” เหมราชเปลี่ยนภาษาพูดตามที่สาครขอร้อง เพราะคุ้นมาแล้วที่ศรีโคตรบูร “ข้าสงสัยนัก และขอถามเจ้า”มองลึกเข้าไปในดวงตาทั้งคู่ของสาครแล้วถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ภพภูมิของเรา ระหว่างเจ้าและข้า ต่างกันด้วยรึ”
“ต่างกันมาก”
“ต่างยังไง”
“ภพภูมิของข้า สิ่งที่เจ้าไม่รู้ยังมีอีกมาก ข้าขอบอกให้รู้ ถ้าเจ้าตัดสินใจที่จะอยู่ภพภูมิของข้าถ้าไม่ปรับชีวิตจิตใจ ไม่ปรับความคิดความรู้สึก เจ้าก็จะอยู่ด้วยความฝืนใจตัวเอง จิตใจเจ้ายังไม่สงบนิ่ง ใจหนึ่งต้องการอยู่ที่นี่ แต่อีกใจหนึ่งต้องการกลับภพภูมิของตน ถ้ารักที่จะอยู่ต่อไป จงตัดสินใจให้เด็ดขาด หลอมรวมชีวิตจิตใจของเจ้าให้เป็นหนึ่งเดียวกับผู้คนภพภูมินี้”
“เป็นหนึ่งเดียวกับผู้คนภพภูมินี้ ข้าต้องทำอย่างไร”
“ไม่ต้องทำสิ่งใด ขอเพียงยอมรับเท่านั้น”
“ยอมรับเท่านั้นรึ”
“ใช่แล้ว”
เหมราชกำลังจะเอ่ยปากถามเพื่อให้แน่ใจชายคนหนึ่งวัยเลยกลางคน แต่งกายด้วยชุดโบราณ หน้าตาเหี้ยมดุดัน ท่วงท่าสง่าองอาจน่าเกรงขาม สะพายดาบคู่ไขว้หลัง เดินเงียบขรึมนำหน้ากลุ่มชายแต่งกายด้วยชุดสีดำใกล้เข้ามา ดูจากกิริยาการวางตัว ถ้าไม่เป็นเจ้าเมืองก็ต้องเป็นถึงระดับหัวหน้า มีเหล่าชายฉกรรจ์ตวัดดาบวืดวาดเดินตาม และตามด้วยอีกกลุ่มใหญ่ที่ถือทวนชูเหนือศีรษะ แต่ละคนเขม็งมองมายังเหมราชเหมือนเสือจะเข้าตะครุบเหยื่อ สาครตกใจจนหน้าซีด ถอยกรูด ๆ หลบไปซ่อนตัวอยู่หลังโขดหิน
เหมราชคาดเดาเหตุการณ์ได้ทันที ชายหน้าตาเหี้ยมคนนี้เป็นใครไปไม่ได้ นอกจากเจ้าสุวรรณนาคินทร์ เมื่อรู้ว่าเป็นใครจะถอยหนีก็ไม่ทันการณ์ นอกจากการยืนเผชิญหน้าแล้วเขาไม่มีทางเลือกอื่น
“เจ้าเป็นใคร มาจากไหน” ชายหน้าเหี้ยมกระชากเสียงถาม “จงพูดคำสัตย์ ถ้าจับได้ว่าเจ้าลักลอบเข้าอาณาจักร โทษหนักถึงประหารชีวิต”
“ข้าชื่อเหมราช มาจากศรีโคตรบูร”
“โกหก จงบอกข้าตามจริง” น้ำเสียงยังคงดุดัน “รู้หรือไม่ เจ้ามีความผิดฐานลักลอบเข้าอาณาจักร…” ถลึงตามองหน้าเหมราชเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ จากนั้นกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ตวัดสายตากลับมาเขม็งมองหน้าอีกครั้งแล้วออกคำสั่ง “ควบคุมตัวเอาไว้ก่อน ข้าจะสอบเอาความจริงภายหลัง”
กลุ่มทหารกรูเข้ารุมล้อมเหมราช เขายังคงยืนเผชิญหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทหารเหมือนจะกรูเข้ากลุ้มรุม สาครปราดออกจากที่หลบซ่อนแล้วละล่ำละลักพูด
“ท่านเจ้าเมือง ข้าขอรายงานตามจริง สหายผู้นี้ชื่อเหมราช ถูกสายน้ำพัดมา เขาไม่ได้ลักลอบเข้าอาณาจักร”
“เจ้าเองก็เหลวไหล มีความผิดบกพร่องต่อหน้าที่” เจ้าสุวรรณนาคินทร์ตวาดพูดเสียงดัง “ควบคุมสาครไปด้วย ข้าจะสอบเค้นความจริงเองถ้าจับได้ว่ารู้เห็นเป็นใจกับคนแปลกหน้า และถ้าเป็นทหารแถนฟ้าลือปลอมตัวมาเป็นไส้ศึก ต้องประหารชีวิตทั้งสองคน”
“ท่านเจ้าเมือง ฟังข้าก่อน” สาครตะโกนเสียงดังขณะทหารเข้ามารุมจับตัว “สหายเหมราชไม่ได้ลักลอบเข้าอาณาจักร เขาถูกสายน้ำพัดมา”
“ข้าไม่โกหก ข้าเป็นสหายเจ้าเชียงรุ้ง มาจากศรีโคตรบูร” เหมราชโต้ตอบอย่างไม่สะทกสะท้านยกเรื่องราวศรีโคตรบูรมาเป็นข้ออ้างด้วยหวังจะหลุดพ้นข้อกล่าวหา มองสบตาเจ้าเมืองสีทันดรแล้วพูดเสียงหนัก “สหายสาครไม่ผิด กรุณาอย่าลงโทษเขา ข้าพลัดตกน้ำแล้วถูกสายน้ำพัดมา เขาช่วยข้า” มองหน้าสาครด้วยความเห็นใจแล้วพูดต่อ “ท่านเจ้าเมือง ข้าไม่ได้เป็นไส้ศึก ไม่ได้ลักลอบเข้าอาณาจักร”
“เจ้าทั้งสองคน เอาไว้พูดเมื่อข้าสอบเค้นความจริง”
“สหายสาครไม่ผิด” เหมราชยืนกราน “ข้าก็ไม่ผิด ข้าบริสุทธิ์ใจ”
ทหารที่ควบคุมตัวเหมราชไม่ยอมให้เขาพูดได้อีก ทหารสามสี่คนเข้ามารุมจับลากถูลู่ถูกังไปยังถ้ำสาครขอร้องไม่ให้กระชากลากตัวแต่ไม่เป็นผล
คำพูดของสาครและเหมราชเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด เจ้าเมืองสีทันดรคิดใคร่ครวญ รูปร่างหน้าตา กิริยาท่าทาง ดูอย่างไรเหมราชก็ไม่ใช่ชาวเมืองศรีโคตรบูร จำเป็นต้องค้นหาคำตอบว่าเขาเป็นใคร เหตุใดจึงถูกสายน้ำพัดมาถึงสีทันดร ถ้าเป็นทหารสอดแนมของเวียงวารินทร์ย่อมหมายถึงศึกใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น แถนฟ้าลือประกาศศึกทำสงครามแน่นอน นั้นแสดงว่ามหานครกาบแก้วบัวบานตกอยู่ในอันตราย เพื่อตัดไฟต้นลม ประหารชีวิตชายแปลกหน้าคนนี้ ถือเป็นการป้องกันที่ยุติธรรม
ขณะที่ทหารกำลังควบคุมสาครและเหมราชเข้าไปในถ้ำ เสียงอื้ออึงบนท้องฟ้าดังใกล้เข้ามาเสียงอื้ออึงดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ทหารตกใจกลัวจนหน้าซีดเผือด แต่ละคนตัวสั่นงันงกทิ้งอาวุธวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง แม้แต่เจ้าสุวรรณนาคินทร์ก็รีบหนีเข้าไปหลบอยู่หลังโขดหิน สาครตะโกนบอกเหมราชให้รีบหาที่ซ่อนตัว ทหารกลุ่มใหญ่วิ่งหนีอลหม่าน ดาบและทวนหลุดมือลงเกลื่อนดิน เหมราชคนเดียวยืนสงบนิ่ง
ทันใดนั้น…
นกหัสดินฝูงใหญ่บินว่อนฟ้าตรงมา พวกมันโผนเข้าจู่โจมทันที เหมราชเคยสู้กับฝูงนกปีศาจมาแล้วจึงไม่กลัว เจ้าเมืองและเหล่าทหารมีอาวุธครบมือแต่ละคนกลับวิ่งหนีเอาตัวรอด ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะคิดสู้ ในเสี้ยววินาทีนั้น นกหัสดินตัวหนึ่งพุ่งเข้าจู่โจมเจ้าเมือง เขาไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปแม้แต่วินาทีเดียว ตัดสินใจวิ่งตามไปทันที เมื่อไปถึงจึงพุ่งเข้ากระชากเจ้าเมืองสุดแรง เจ้าเมืองถึงกับล้มลงด้วยแรงกระชาก เจ้าปีศาจเวหาตวัดปีกฟาดงวงเข้าใส่ทั้งแรงทั้งเร็ว เจ้าเมืองพยายามลุกขึ้นแต่ถูกขยุ้มด้วยอุ้งเล็บ เจ้าเมืองได้แต่ทุรนทุรายร้องเสียงหลงได้ยินไปทั่วหุบเขาและคุ้งน้ำ
เหมราชคว้าทวนที่หล่นเกลื่อนดินขึ้นมาเป็นอาวุธ ในชีวิตไม่เคยใช้ทวนเป็นอาวุธมาก่อน จับทวนตวัดวืดวาดไปมายังดีกว่าสู้ด้วยมือเปล่า นกหัสดินขยุ้มเจ้าเมืองในอุ้งเล็บแล้วบินวนเวียนไปมาเขาตวัดทวนขึ้นฟาดเข้าใส่สุดแรง เจ้านกยักษ์เสียหลักพุ่งชนต้นไม้หน้าถ้ำจนปีกสองข้างลู่หุบ มันเสียการทรงตัว กรงเล็บเปิดอ้ากางออก ร่างของเจ้าเมืองร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน เจ้านกร้ายโผนบินกลับมาไล่ล่าอีกครั้ง เขาปราดเข้าไปตีเจ้านกปีศาจด้วยทวนเสียงดังสนั่น กระหน่ำตีซ้ำสุดแรงไม่ยั้งมือปีศาจเจ้าเวหาถลาบินหนีไปรอบ ๆ เขายกทวนสูงขึ้นแล้วตีเข้าใส่กลางลำตัวสุดแรง มันไม่มีทางหนีจึงบินโค้งกลับมาสู้อย่างดุเดือด เขาตวัดทวนไล่ตีไล่แทงตามไปไม่ลดละ อาศัยจังหวะทั้งรุกทั้งถอยฟาดทวนเข้าห้ำหั่น นกหัสดินถลาบินเสียหลักหล่นลงสู่ดินดังสนั่น เขาตาม มันตะเกียกตะกายหนีขณะไล่ขยี้ไปถึงบริเวณหน้าผาสูง เจ้านกปีศาจร้ายโผนทะยานบินหนีไปรวดเร็ว
เหมราชยืนจังก้าถือทวนอยู่หน้าผาสูง สาครวิ่งเข้ามาเป็นคนแรก เจ้าสุวรรณนาคินทร์เดินเงียบขรึมมาหยุดยืนอยู่ต่อหน้า ทหารทยอยเดินมาทีละคน ไม่มีผู้ใดปริปากพูด ลมเท่านั้นโกรกพัดวูบวาบ
“เจ้าเป็นใครกันแน่” เจ้าเมืองสีทันดรข่มความตื่นเต้นถาม “จงบอกข้าตามจริง”
“ข้ามาจากศรีโคตรบูร เป็นสหายเจ้าเชียงรุ้ง”
“ที่เจ้าพูด ยากที่ข้าจะเชื่อได้” เจ้าสุวรรณนาคินทร์พูดเสียงทุ้ม “แต่ช่างเถิด สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว เจ้าช่วยชีวิตข้า ช่วยทหารของข้า” สูดลมหายใจลึกยาว มองท้องฟ้าแล้วจ้องมองดวงตาเหมราช สงบนิ่งอยู่นาน เงยหน้าขึ้นมองดอกจำปาที่บานสะพรั่งทั่วบริเวณผาสูง เงียบอีกครู่ใหญ่แล้วพูดเสียงหนัก “เพราะเจ้ากล้าสู้ ทุกคนจึงรอดตาย พวกเราเป็นหนี้บุญคุณเจ้า”
สายตาเจ้าเมืองที่จ้องมองบ่งบอกถึงความคิดสงสัย แต่เต็มไปด้วยความสำนึกบุญคุณ แล้วกลายเป็นมิตรภาพจากใจสู่ใจ
ทหารกลุ่มใหญ่เดินกลับมา บางคนแผลเหวอะเลือดไหลโชกทั่วร่างกาย บางคนมอมแมมผมเผ้ารุงรัง บางคนเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งเปื้อนฝุ่น ปากต่อปากพูดถึงเหมราชต่อสู้นกหัสดินอย่างกล้าหาญทั้งยังช่วยให้เจ้าเมืองรอดชีวิต เหมราชปราบนกหัสดินจนบินแตกฝูงหนี กลายเป็นข่าวแพร่สะพัดไปทั่วเมืองสีทันดร ทั้งทหารทั้งชาวเมืองพากันมาแสดงความชื่นชม เสียงโห่ร้องดังกระหึ่มขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าเมืองเดินเข้าไปโอบกอดเพื่อแสดงน้ำใจต้อนรับ ทหารบางคนแสดงความยินดีด้วยการรำดาบ บางคนปราดออกไปกลางลานหินตีอกชกหัวตัวเอง บางคนตวัดทวนวืดวาดในท่าต่อสู้ข้าศึก
เขามองดูเหตุการณ์ด้วยกิริยาเงียบสงบสายตาของผู้คนที่จ้องมองมายังเขาแสดงถึงความปลาบปลื้ม เขากลายเป็นวีรบุรุษเพียงชั่วนกหัสดินขยับปีกบินลัดฟ้าหนี เสียงโห่ร้องต้อนรับผู้กล้าดังกึกก้องไปทั่วน่านน้ำและขุนเขา
“ทุกคนฟังข้า” คำประกาศที่ทรงอำนาจของเจ้าเมืองกังวานขึ้นอีก “ค่ำคืนนี้ ข้าจะแต่งตั้งเหมราชเป็นขุนพล ขอให้ทุกคนไปรวมตัวกันที่ลานมุจลินทร์ คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง พวกเราจะร่วมฉลองขุนพล”
“ข้าเป็นคนหลงทาง จะแต่งตั้งเป็นขุนพลได้อย่างไร” เหมราชกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ข้าต้องการกลับบ้าน ขอเพียงบอกทางกลับบ้าน เพียงเท่านี้ข้าก็ดีใจมากแล้ว”
เจ้าเมืองสีทันดรไม่พูดต่อปากต่อคำ เดินนำหน้าทหารไปทันที เหมราชไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าเมืองจะประกาศแต่งตั้งเขาเป็นขุนพล ย้อนคิดถึงเหตุการณ์ทำนองเดียวกันที่ศรีโคตรบูรจึงได้แต่ถอนหายใจเฮือกยาวและคืนนี้เหตุการณ์คงเกิดซ้ำอีกที่เมืองสีทันดร
เขารู้สึกขัดแย้งขึ้นในใจ เจ้าสุวรรณนาคินทร์ประกาศให้ชาวเมืองไปรวมตัวกันที่ลานมุจลินทร์เพื่อแต่งตั้งเขาเป็นขุนพล ถึงแต่งตั้งคงรับเป็นขุนพลไม่ได้ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาเป็นนักธุรกิจเหมาะสมที่จะเป็นนักธุรกิจมากกว่าเป็นขุนพลนักรบ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเพิ่งผ่านไปหยก ๆ สะกิดเตือนให้ฉุกคิด เขาต้องกลับบ้านและต้องไปจากที่นี้ทันที แต่จะกลับบ้านได้อย่างไร สิ่งเดียวที่ทำได้ในขณะนี้ เขาต้องยอมทำตามคำสั่งเจ้าเมืองสีทันดรแต่โดยดี
สาครนำทางเหมราชไปยังที่พัก ทั้งสองเดินเลียบฝั่งน่านน้ำนทีสีทันดร ระหว่างทางเห็นชาวบ้านชายหญิงนั่งจับกลุ่มพูดคุย บางคนร้องทักสาครอย่างเป็นกันเอง เด็ก ๆ ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าววิ่งไล่กันอย่างสนุกสนาน แต่ตลอดเส้นทางเดินไปยังที่พัก ไม่เห็นบ้านเรือนที่อยู่อาศัยแม้แต่หลังเดียว
“แปลกนะ เมืองสีทันดร” เหมราชพูดด้วยความสงสัย “มองไปทางไหน เห็นแต่น้ำจรดฟ้า ไม่เห็นมีบ้านเรือน” มองหน้าสาครแล้วตั้งคำถาม “ชาวบ้านอาศัยอยู่ที่ไหนกันรึ”
“เมืองสีทันดร ทุกคนอยู่ในถ้ำ”
“ก็ยิ่งแปลก”
“ไม่แปลกหรอก เจ้าสุวรรณนาคินทร์ก็อาศัยอยู่ในถ้ำ”
ทั้งสองเดินมาถึงบริเวณปากถ้ำ สาครเดินนำหน้าเข้าไปข้างใน ภายในถ้ำเป็นอุโมงค์ลึก มีขนาดกว้างใหญ่ ถึงจะต่างจากบ้านที่อยู่อาศัย แต่บรรยากาศเงียบสงบ ลึกเข้าไปข้างในผนังแต่ละด้านเรียงรายด้วยโขดหินหลายรูปทรง มีทั้งรูปทรงคล้ายการเคลื่อนไหวของสัตว์ต่าง ๆ บางแห่งคล้ายเตียงนอนโผล่ขึ้นข้างผนังถ้ำ บางแห่งแผ่นหินทับซ้อนกันตามแนวลึกของอุโมงค์ ลมจากช่องหินข้างบนพัดผ่านเข้าออกเย็นสบาย
“นี้แหละ ที่พักของสหาย” สาครพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ถ้ำแห่งนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของเจ้าสิงหราช”
“ใครรึ เจ้าสิงหราช”
“ขุนพลเมืองสีทันดร”
“แล้วขุนพลไปไหนรึ”
“สละชีพในสนามรบ”
คำพูดของสาครทำให้เหมราชย้อนคิดถึงเหตุการณ์ที่ศรีโคตรบูร เขาเป็นสหายเจ้าเชียงรุ้งดื่มน้ำสวามิภักดิ์สาบานเป็นคนคนเดียวกัน มีฐานะเป็นเจ้าเหมราช เป็นทั้งทหารและชาวเมือง ทุกอย่างเหมือนความฝันแต่เป็นความจริง ซึ่งไม่ต่างจากเหตุการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่ขณะนี้เท่าไรนักทั้งที่ลมจากข้างนอกพัดวูบวาบผ่านเข้ามา ภายในถ้ำเย็นฉ่ำแต่เขารุ่มร้อน สิงหราชขุนพลคนก่อนสละชีพในสนามรบ เขากำลังจะได้รับแต่งตั้งเป็นขุนพลในคืนนี้ คิดแล้วใจหาย หลังจากได้รับแต่งตั้งเป็นขุนพลเมืองสีทันดร คงมีสักวันต้องออกทัพจับศึก และถ้าวันนั้นมาถึง ขุนพลอย่างเขาจะออกรบได้อย่างไร ยิ่งคิดใจก็ยิ่งฟุ้งซ่าน
“เจ้าสิงหราช อนุชาเจ้าสุวรรณนาคินทร์ เป็นขุนพลเมืองสีทันดร” สาครหยุดหายใจแล้วพูดต่อ “ครึ่งปีที่ผ่านมา แถนฟ้าลือยกทัพมาตีกาบแก้วบัวบาน เจ้าสิงหราชนำทหารออกรบ สู้กับแถนฟ้าลือตัวต่อตัว เจ้าสิงหราชเสียท่าต้องดาบ สละชีพในสนามรบ”
“ก่อนจะถึงค่ำคืนนี้ ข้าอยากรู้ทุกเรื่อง”
“ถ้ำแห่งนี้เป็นที่พักของสหาย” สาครพูดตัดบท “เจ้าพักอยู่ข้างในถ้ำ ไม่จำเป็นห้ามผู้ใดรบกวน ข้าได้รับคำสั่งให้เป็นผู้รับใช้ นอกจากข้ายังมีทหารรับใช้อีกสิบคน ทุกคนมีหน้าที่รับใช้และเป็นผู้อารักขา เวลาล่วงเลยมากแล้ว ตามข้าเข้าไปข้างในเถิด”
“ข้าต้องอยู่ถ้ำตลอดไป อย่างนั้นรึ”
“ใช่แล้ว”
“เป็นไปไม่ได้ ข้าไม่เคยอยู่ถ้ำมาก่อน”
“ค่ำคืนนี้ เจ้าเมืองจะสถาปนาสหายเป็นขุนพล ข้าจะมารับไปลานมุจลินทร์ เมื่อพระจันทร์เต็มดวง ชาวเมืองสีทันดรจะร่วมกันฉลองขุนพล”
พูดจบสาครก้าวถอยหลังเดินกลับไปทันทีเหมราชมองสำรวจไปรอบถ้ำ นอกจากแผ่นหินทับซ้อนกันแล้ว ยังมีอาวุธโบราณวางเรียงรายอยู่ตามผนัง ค่ำคืนนี้เมื่อพระจันทร์เต็มดวง เขาต้องเข้าพิธีสถาปนาเป็นขุนพลเมืองสีทันดร ไม่มีโอกาสปฏิเสธและไม่มีทางเลือกอื่น.
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)