บทที่ 7 บทเรียนล้ำค่า
ชีวิตกําลังดําเนินไปอย่างสวยงาม ดอกไม้บานเต็มสวนหน้าบ้าน ต้นดอกพุดหลังบ้านชูช่อบานไสวเต็มต้น ส่งกลิ่นหอมมาแต่ไกล ฉันนั่งมองดอกไม้ ต้นไม้ อย่างมีความสุข
วันหนึ่งฉันปวดท้องอย่างรุนแรง สังเกตเห็นเลือดออกมาจาง ๆ กังวลใจว่าเกิดอะไรขึ้น สามีรีบนําฉันส่งโรงพยาบาล หมอตรวจพบอาการผิดปกติ หมอบอกว่าตัวอ่อนเกาะผนังมดลูกไม่ดีนัก ขณะนั้นหมอต่างระดมช่วยกันสุดความสามารถเพื่อช่วยกันรักษาตัวอ่อนเอาไว้ หมอสั่งให้ฉันนอนนิ่ง ๆ เคลื่อนไหวให้น้อยที่สุด กิน นอน บนเตียง ฉันทนทุกข์ทรมานทุรนทุรายปวดท้องหลายวัน หมอให้น้ำเกลือหมดไปหลายขวด
ช่วงนั้นเจ็บปวดรวดร้าวเป็นที่สุด ปวดท้องอย่างหนักหน่วงเหมือนร่างกําลังจะถูกฉีกออกจากกัน ฉันนอนดิ้นทุรนทุราย ทุกข์กายพอทนไหวแต่ทุกข์ใจนี่ยากจะควบคุมได้ ฉันนอนร้องไห้ด้วยความกังวลใจ มีสัญญาณบ่งบอกว่ามีอะไรบางอย่างกําลังจะเกิดขึ้น มดลูกบีบรัดตัวเหมือนมีใครใช้คีมเหล็กบิดอย่างแรงเพื่อให้ขาดเป็นเสี่ยง ๆ ฉันร้องครวญครางบิดตัวไปมา หมอให้ยาแก้ปวดก็เอาไม่อยู่ ฉันนอนทรมานจนรุ่งสาง
เช้านั้น รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรอุ่น ๆ หลุดจากร่าง วินาทีนั้นความเจ็บปวดหายไปเป็นปลิดทิ้ง เกิดความรู้สึกโล่ง ๆ โหวง ๆ ในช่องท้อง ใจหายวาบเกิดลางสังหรณ์บางอย่าง บริเวณหน้าขาเปียกชื้นเต็มไปด้วยของเหลวแฉะ ๆ เอามือลองสัมผัสของเหลวคืออะไร ยกขึ้นมาดู เลือดสด ๆ เป็นลิ่ม ทะลักออกมาเต็มที่นอน ด้วยความตกใจเกิดอะไรขึ้น มองเห็นตัวอ่อนน้อย ๆ หลุดออกจากร่าง
กรีดร้องเสียงดังสุดชีวิต เศร้า เสียใจที่สูญเสียลูกน้อยในครรภ์ หัวใจแตกสลาย ตีอกชกหัว ร้องไห้ฟูมฟาย ขาดสติ ถีบหมอพยาบาลกระเด็นไปคนละทิศละทาง อาละวาด คลุ้มคลั่งเหมือนคนบ้าหมอต้องฉีดยานอนหลับเพื่อระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน กว่าจะสงบสติอารมณ์ได้ต้องใช้เวลานาน
หมอพยาบาลเข้าหน้าฉันไม่ติด สามีต้องคอยปลอบใจให้คลายความทุกข์ใจ บอกให้ทําใจยอมรับการสูญเสียปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไปแล้วเริ่มต้นใหม่ อย่าได้อาลัยอาวรณ์กับสิ่งที่ผ่านมา
ฉันสิ้นเรี่ยวแรงที่จะทําอะไร ซมซานกลับบ้านด้วยความบอบช้ำความฝันความหวังพังทะลาย ตั้งใจจะสร้างครอบครัวเล็ก ๆ ที่อบอุ่นพร้อมลูกน้อยในครรภ์ จู่ ๆ ฝันสลายกลายเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ความทุกข์ถาโถมเข้ามาดั่งพายุร้ายที่กวาดล้างทําลายทุกอย่างสูญสิ้นลงตรงหน้า
พอย่างเท้าเข้าบ้านกิลันและตารียาตี้วิ่งมารอต้อนรับยอนญ่า ไม่มีคําพูดใดหลุดออกจากปาก ดวงตาฉันพร่ามัวด้วยม่านน้ำตา ฉันยื่นมือให้ตารียาตี้ เธอเอามืออันอ่อนแรงของฉันไปแตะที่หน้าผากนิ่งนาน เพื่อแสดงความเคารพและเห็นใจ ฉันได้แต่ฝืนยิ้มให้เธอและเดินขึ้นไปพักข้างบนเงียบ ๆ
บ้านทั้งบ้านเงียบเหงา บริวารที่เคยส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว บัดนี้ เงียบกริบ หน้าบ้านยามเย็นที่เคยมีชายฉกรรจ์มานั่งรวมกันนับสิบ บัดนี้ เหลือเพียงเก้าอี้ที่ว่างเปล่าไร้สิ่งมีชีวิต เสาร์
อาทิตย์ ที่เคยคึกคักเพราะฉันเปิดบ้านให้ชาวบ้านมารองน้ำไว้ดื่มกิน บัดนี้ไม่มีใครย่างกรายมาสักคน
ถนนหน้าบ้านโล่ง ต้นไม้ ดอกไม้ ที่เคยออกดอก ชูช่อ บานไสว บัดนี้ เหลือเพียงใบแห้ง ๆ ต้นดอกพุดที่ฉันมักจะเก็บเอาไปบูชาพระ บัดนี้ เหลือแต่ต้นแกร็น ๆ ทําไมเงาแห่งความโศกเศร้าจึงปกแผ่ไปได้ถึงเพียงนี้
เหตุการณ์ครั้งนี้ทําให้ฉันได้บทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้เสมอ ไม่มีอะไรที่แน่นอน ทารกน้อยในครรภ์เมื่อถึงเวลาจากยังไม่สามารถหยุดยั้งเอาไว้ได้
อะไรเล่า คือ ความแน่นอนในชีวิต การสูญเสียและความพลัดพราก คือบทเรียนอันล้ำค่า สอนให้รู้ว่าเราจะผ่านบททดสอบนี้ได้อย่างไร นึกถึงวันที่อยู่วัดคนเดียว ต้องการค้นหาความหมายในชีวิต จนได้พบคําตอบบางอย่าง ฉันพยายามน้อมนําสิ่งที่ได้รู้ ได้เห็นจากการปฏิบัติวันนั้นมาพิจารณาเหตุการณ์ครั้งนี้
มนุษย์เกิดมาต้องผ่านเหตุการณ์มากมายทั้งดี ร้าย สมหวัง ผิดหวัง ฉันค่อย ๆ ตั้งสติแปรเปลี่ยนความทุกข์เป็นความรู้ นําสิ่งที่เกิดขึ้นมาใคร่ครวญ พบว่าทุกข์ใจไปก็เท่านั้นควรปล่อยวางความทุกข์ที่ผ่านมา
ฉันเริ่มต้นกลับมาใช้ชีวิตใหม่ ดูแลกาย ใจให้แข็งแรง พร้อมที่จะเริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ ฉันบอกตารียาตี้ให้ทําอาหารอร่อย ๆ เธอตั้งใจนําเสนอ สะเต๊ะรสเลิศ พร้อมนาซีโกเร็ง และกาโดกาโดให้กิน บางวัน ทําเทมเป้ แป้งชนิดหนึ่งที่ชาวอินโดนีเซียนิยมกิน พร้อมทําของหวานเพื่อบํารุงยอนญ่าของเธอ
หลังจากร่างกายแข็งแรง ฉันออกท่องเที่ยวไปตามเมืองต่าง ๆ พบปะพูดคุยกับชาวบ้านต่างถิ่น ถูกบ้าง ผิดบ้าง สนุกดี การทําเช่นนี้เป็นประสบการณ์แปลกใหม่
เสาร์ อาทิตย์ ฉันกลับมาเปิดบ้านอีกครั้งให้ชาวบ้านมารองน้ำเอาไปไว้ใช้ดื่ม กิน บ้านเริ่มคึกคักชายฉกรรจ์ที่เคยหายหน้ากลับมารวมตัวกันใหม่ ต้นไม้ ดอกไม้ รอบบ้าน เริ่มเบ่งบานสะพรั่ง แข่งกันชูช่อบานไสว ดอกพุดส่งกลิ่นหอม เป็นสัญญาณที่ดีทําให้รู้ว่าความสุขได้กลับคืนมา
การได้รับความรักความห่วงใยและกําลังใจจากคนรอบข้างเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจทําให้ฉันรู้ว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวโดดเดี่ยวยังมีคนที่รักเราอีกมากมาย ฉันลุกขึ้นมาสร้างขวัญกําลังใจให้ตัวเองอีกครั้ง กลับมาฟื้นร่างกาย จิตใจ ดูแลตัวเอง ดูแลผู้อื่น ช่วยเหลือแบ่งปันผู้คนรอบด้าน
วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน เมื่อฉันอยู่จาการ์ตาครบวาระถึงกําหนดที่ต้องเดินทางกลับประเทศไทย ทั้งกิลัน ตารียาตี้ และชาวบ้านพอทราบข่าวต่างเศร้าใจ
วันเวลาแห่งความสุขที่เราได้อยู่ร่วมกัน ผ่านห้วงเวลาแห่งความทุกข์ เศร้า เหงา มาด้วยกัน เราต่างดูแลกันและกันเกิดเป็นความรักความผูกพันระหว่างกัน
เมื่อวันสุดท้ายมาถึง กิลัน ตารียาตี้ และชายฉกรรจ์ทั้งหลายมายืนส่งกันเป็นทิวแถวเรากล่าวคําอําลา ด้วยความอาลัยพร้อมรอยยิ้มเศร้า ๆ มิตรภาพที่เกิดขึ้นยากที่จะอธิบาย เป็นความผูกพันที่เกิดขึ้นระหว่างกัน เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา ที่ต่างกันมิอาจขวางกั้นความสัมพันธ์ระหว่างเราได้
ฉันได้รับประสบการณ์มากมาย เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากผู้คนบนเกาะใหญ่แห่งนี้ ความมีน้ำใจ ความห่วงใยที่มีต่อกัน มิตรภาพที่หาได้ยากยิ่งจากผู้คนเหล่านี้
ฉันจําภาพชายชาวพื้นเมือง ผิวเข้ม หนวดเฟิ้ม ที่มายืนยิ้มหน้าบ้านเป็นประจําแม้ดูภายนอกจะดูขึงขังแต่ภายในสัมผัสได้ถึงอ่อนโยน ส่วนสตรีนั้นแม้ร่างกายภายนอกดูอรชรอ่อนแอ้น แต่ภายในเธอช่างเข้มแข็งอดทนหนักเอาเบาสู้น่านับถือจริง ๆ
ฉันยื่นมือให้ทุกคนที่เข้าแถวเรียงกันเป็นแนวยาว เขาเหล่านั้นนํามือฉันไปแตะที่หน้าผาก ส่วนอีกมือเขานํามาวางไว้ที่หัวใจเป็นการแสดงความเคารพ รัก
ขณะนั้นเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่คอหอย ยากที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ฉันกล่าวคําอําลาพร้อมม่านน้ำตากลบสองตา เห็นภาพราง ๆ ชายร่างใหญ่อย่างกิลัน สั่นสะท้านกลั้นความรู้สึกสุดชีวิต ฉันบีบมือกิลันแน่นพร้อมกล่าวคําขอบคุณที่ดูแลกันมาอย่างดี
ฉันหันมาสวมกอดตารียาตี้คนสุดท้าย เธอซบหน้าร้องไห้กับอกฉันนิ่งนาน เราสองคนเจ้านายลูกน้องส่งพลังแห่งรักและความปรารถนาดีให้แก่กัน
จากครอบครัวเล็ก ๆ จนขยายเป็นครอบครัวใหญ่ ไม่เพียงคนในบ้านแต่เผื่อแผ่ไปสู่ผู้คนรอบข้าง ฉันรับรู้ถึงความรัก ความผูกพันที่มีต่อกันในฐานะมนุษย์เหมือนกัน ฉันเดินจากทุกคนมาด้วยน้ำตานองหน้า ยากที่จะหักห้ามใจ
“ฉันรับรู้ถึงพลังแห่งรักที่ยิ่งใหญ่ ขณะเดียวกันได้เรียนรู้การพลัดพรากและการสูญเสียในเวลาไล่เรียงกัน เป็นความทรงจำที่ยากจะลืมเลือน”
ขอบคุณทุกคน ทุกเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เป็นความงดงามที่เกิดขึ้นในใจ ขอเก็บความรัก ความห่วงใย ที่มีต่อกันเอาไว้ตราบนานเท่านาน
Terima kasih ตริมา กาซิ ลาก่อน…จาการ์ตา….ที่รัก
บทที่ 8 ฝึกฝน
เมื่อเดินทางกลับประเทศไทย ฉันให้ความสําคัญกับการฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรง ทําจิตใจให้แจ่มใส เบิกบาน ดูแลร่างกายด้วยการกินอาหารมีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และที่สําคัญคือการออกกําลังกาย
ฉันเลือกฝึกโยคะ ซึ่งเป็นการบริหารร่างกายที่เน้นความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของร่างกาย เป็นการออกกําลังที่ช่วยสร้างความสมดุลย์ ทั้งร่างกายและจิตใจ
ฉันเรียนรู้การเคลื่อนไหวร่างกาย ผสานให้เป็นหนึ่งเดียวกับลมหายใจ เกิดความรู้เนื้อรู้ตัวขณะยืดเหยียดร่างกายรู้ว่า จะยืดเหยียดไปได้มากเพียงใด ไม่ตึงเกินไปจนทําให้บาดเจ็บเป็นการค้นหา จุดแห่งความพอดี ระหว่างร่างกายและจิตใจ
การค้นพบเช่นนี้ ทําให้ฉันนํามาใช้กับชีวิตประจําวันกับเรื่องราวต่าง ๆ ว่า อะไรคือความพอดีสําหรับตัวเอง การฝึกอย่างสม่ำเสมอทําให้รับรู้เมื่อมีสิ่งมากระทบได้ไวขึ้น สํารวจสังเกต ร่างกายและจิตใจได้ดีขึ้น
เมื่อร่างกายพร้อม จิตใจพร้อมฉันตัดสินใจมีลูกน้อยอีกครั้ง ครั้งนี้วางแผนอย่างดีระมัดระวังตัวเต็มที่ไม่ให้มีการกระทบเทือนใด ๆ ฉันให้กําเนิดลูกชาย 2 คนในเวลาไล่เลี่ยกัน
การมีโซ่ทองคล้องใจถึง 2 เส้น ทําให้เกิดความรัก ความผูกพันที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นเป็นความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างกัน ฉันได้เรียนรู้ชีวิตความเป็นแม่ ฉันทุ่มเทเต็มที่อยากให้ลูกน้อยเป็นคนเก่ง เป็นคนดี “ความอยาก” นํามาซึ่งความคาดหวังมากมาย อยากให้ลูกได้ดั่งใจ พออะไรไม่ได้ดั่งใจก็ผิดหวังนํามาสู่ความไม่สบายใจ
เหตุการณ์ครั้งนี้ ทําให้คิดจะทําอย่างไร จึงจะหาจุดพอดีสําหรับตัวเอง วันหนึ่งได้อ่านหนังสือธรรมะหลวงพ่อเทียน “แด่เธอผู้รู้สึกตัว” อ่านแล้วเกิดความคิดว่า น่าจะลองนําหลักการเคลื่อนไหวจับความรู้สึกมาใช้กับชีวิตประจําวัน ช่วงเริ่มต้นฝึกระลึกได้บ้างไม่ได้บ้าง ตามดูไปเรื่อย ๆ เริ่มเห็นกายทําหน้าที่ของกาย ใจทําหน้าที่ของใจ
เมื่อนําหลักการมีสติตามดูความเคลื่อนไหวมาใช้ในชีวิตประจําวัน ตั้งแต่ตื่นจนกระทั่งหลับ สนุกกับการเฝ้าดู ตามดู ตามรู้ เห็นกาย เห็นใจ เห็นอารมณ์ ความรู้สึกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา บางครั้งตามไม่ทันอารมณ์ โดยเฉพาะเวลาโกรธ โกรธไปแล้วจึงรู้ว่าโกรธ โมโหไปแล้วจึงรู้ว่าโมโห สติตามไม่ทัน
ฉันตั้งใจ ฝึกฝน เรียนรู้ ทําความเข้าใจอารมณ์ ความรู้สึกที่แท้จริง ตั้งคําถาม หาคําตอบ เหตุใดจึงโกรธ โกรธแล้วเป็นอย่างไร เกิดผลเสียอย่างไร จะหาทางออกอย่างไร
ค่อย ๆ แกะไปทีละปมทีละอย่าง เหมือนกําลังลอกปอกเปลือกตัวเองทีละชั้น สัญญากับตัวเอง เอาน่า! ขอเวลาสักนิดจะจับอารมณ์ ความรู้สึกที่เผลอ เหมือนแมวตะครุบหนู เอาให้อยู่หมัด จะตามดู ตามรู้ ตามเห็นให้ได้สักวัน
วันหนึ่ง ฉันสวดมนต์ ไหว้พระ ทําสมาธิ ขณะสวดมนต์พร้อมคําแปลบทที่ว่า ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์ ความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์
สวดมนต์บทนี้แล้วแล้วเกิดความสะเทือนใจ น้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้งใจ พบความจริง “ชีวิตที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่เป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งสิ้น”
ฉันฝึกฝนกาย ใจ สังเกต ใคร่ครวญ เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมา มีทั้งดี ร้าย สุข ทุกข์ สมหวัง ผิดหวัง คละเคล้ากันไป เป็นการบ่มเพาะความรู้สึกตัวทีละนิด รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้างค่อยเป็นค่อยไป
หากรู้ไม่เท่าทันความคิดยามใด ก็เริ่มต้นใหม่ ฝึกไปเช่นนี้นําไปสู่การเปลี่ยนแปลงด้านความคิด อารมณ์ ความรู้สึกและพฤติกรรม เมื่อโกรธก็รู้ว่าโกรธ การรู้เช่นนี้ไม่ได้หมายความจะระงับความโกรธได้ทันท่วงที บางครั้งยังมีอารมณ์กรุ่น ๆ อยู่บ้าง แต่อย่างน้อยก็เริ่มมีความรู้เนื้อ รู้ตัว ได้ดีขึ้น
ฉันเริ่มมองเห็นความเป็นจริงของชีวิตได้ดีขึ้น การพบ การจาก การพลัดพรากที่เกิดขึ้นในอดีต ล้วนเป็นบทเรียนอันล้ำค่าให้ได้เรียนรู้และเติบโต
จากการฝึกฝน เรียนรู้ครั้งนี้ ฉันทําอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้หนทางยังอีกยาวไกล ฉันจะมุ่งหน้าฝึกฝนต่อไป
“เมื่อปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น หัดทำใจยอมรับ แม้กระทั่งตัวเราบางครั้งยังทำอะไรขัดเคืองใจตัวเองบ่อย ๆ นับประสาอะไรกับคนอื่น สิ่งอื่น จะสามารถทำให้ได้ดั่งใจได้อย่างไร”