บทที่ 9 แบ่งปัน
ขณะชีวิตกําลังดำเนินไปด้วยดี หน้าที่การงานฉันเจริญก้าวหน้าตามลำดับ ลูกชายทั้งสองกําลังสนุกกับการเรียน วันหนึ่งสามีได้รับคำสั่งให้เดินทางไปรับตำแหน่งที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี
ลูกชายทั้ง ๒ คน ตื่นเต้น ดีใจที่จะได้ย้ายไปที่แห่งใหม่ ส่วนฉันทั้งดีใจทั้งกังวลใจเพราะต้องใช้เวลาในการทำเรื่องลางาน ต้องเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้อง จัดเตรียมเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายให้พร้อมเพื่อการเดินทางไปหลายปี
เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างฉุกละหุก เพราะต้องเดินทางอย่างกระทันหัน ลูก ๆ ไม่ทันได้ร่ำลาเพื่อน ๆ ที่เรียนร่วมชั้น ฉันเองกระหืดกระหอบกับการเตรียมตัวครั้งนี้
ครอบครัวเล็ก ๆ ของเรา สามี ฉัน ลูกชายวัย ๑๑ ปี และ ๑๓ ปี เดินทางกันอย่างทุลักทุเลพร้อมกระเป๋าเดินทางใบเขื่องหลายสิบใบ เพื่อน ๆ และญาติพี่น้องตามมาส่งที่สนามบิน เป็นวันที่เราต้องร่ำลากันอีกครั้ง ชีวิตฉันมักจะเป็นเช่นนี้เดินทางหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามที่ต่าง ๆ ตามวาระ
ครอบครัวเราเดินทางถึงเบอร์ลินช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ตรงกับฤดูใบไม้ผลิ อากาศขณะนั้นเย็นสบาย ดอกไม้บานสะพรั่งสวยงาม บ้านหลังใหม่ของเราเป็นบ้านหลังเล็ก ๆ ชั้นหนึ่งประกอบด้วยห้องรับแขกใหญ่ตั้งอยู่กลางบ้าน ถัดจากนั้นเป็นห้องครัวที่มีอุปกรณ์ทันสมัยครบครัน ชั้นนี้มีห้องนอนใหญ่ ๑ ห้องและห้องนอนเล็ก ๒ ห้อง พอดีสำหรับลูกชาย ๒ คน
ชั้นใต้ดินเป็นห้องนอนสำหรับแขกและห้องเก็บของ บ้านหลังนี้ลงตัวเหมาะสำหรับครอบครัวเล็ก ๆ ของเรา ฉันชอบใจเพราะอยู่ในบรรยากาศที่เงียบ สงบ อยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แวดล้อมด้วยธรรมชาติ ด้านหลังเป็นป่าใหญ่ หากเดินทะลุป่าไปจะเจอทะเลสาบที่สวยงาม
เด็ก ๆ เข้าโรงเรียนอินเตอร์มีเพื่อนมาจากหลายประเทศ มีเพียงลูกชายฉันที่มาจากเมืองไทย ลูกต้องเรียนภาษาเยอรมันและภาษาอังกฤษควบคู่กัน โชคดีที่ปรับตัวได้เร็วและเข้ากับเพื่อนใหม่ได้ดี
ส่วนฉันต้องปรับตัวปรับใจ จากเคยทำงานประจำมีหน้าที่การงานของตัวเอง แต่บัดนี้ต้องเปลี่ยนบทบาทหน้าที่มาเป็นแม่บ้านเต็มตัว จากชีวิตที่เคยวุ่นวายพบปะผู้คนมากมาย
บัดนี้มีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น เมื่อทำหน้าที่รับ ส่ง ลูกไปโรงเรียนแล้ว ฉันมักจะใช้เวลาว่างสํารวจต้นไม้ในป่า เดินเข้าป่าทีไรอดที่จะตื่นตาตื่นใจไม่ได้
ต้นไม้ใหญ่มากมายหลากหลายชนิดเรียงเป็นทิวแถวตลอดแนวป่า บางวันฉันจะขี่จักรยานผ่านผืนป่าทะลุไปอีกด้านจะพบทะเลสาบกว้าง ใหญ่ เงียบ สงบ
ฉันจอดจักรยานไว้ริมทะเลสาบ นั่งจ้องมองระลอกคลื่นพลิ้วไหวกระเพื่อมเบา ๆ ปล่อยใจเพลิดเพลินดื่มด่ำกับธรรมชาติรอบตัว ได้ยินเสียงนกร้องแว่วมาแต่ไกล เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ ช่างเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่ได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองจริง ๆ
การมีเวลาอยู่กับธรรมชาติ ด้วยการเดินป่าและนั่งเงียบ ๆ ริมทะเลสาบทำให้สัมผัสถึงความละเอียดในจิตใจ ฉันเริ่มสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัว
มองเห็นความแตกต่างของต้นไม้แต่ละต้น ลักษณะลำต้นเปลือก สังเกตใบไม้แต่ละใบ มองเห็นเฉดสีที่แตกต่างกัน เดิมเคยมองเห็นใบไม้สีเขียวเหมือนกันทั้งป่า ตอนนี้มองเห็นสีเขียวอ่อน เขียวแก่ และลักษณะใบที่ไม่เหมือนกัน ยิ่งสังเกตมากเท่าใด ยิ่งเห็นความละเอียดมากขึ้น
บางครั้งฉันได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากต้นไม้ ดอกไม้ เป็นกลิ่นหอมที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ รู้สึกสดชื่น อย่างประหลาด บางวันฉันได้ยินแม้กระทั่งเสียงใบไม้ไหว แกว่งไกวเป็นเสียงดนตรีที่ไพเราะอย่างไม่เคยได้ยินมาก่อน
หากวันใดฉันเจอต้นไม้ใหญ่ รู้สึกดีใจเหมือนเจอญาติ ฉันมักจะเดินเข้าไปโอบกอดต้นไม้ประหนึ่งว่ารู้จักกันมานาน สิ่งเหล่านี้ทําให้ฉันรู้สึกเสมือนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติรอบตัว
ขณะนั้นเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ในสวนหลังบ้านบานสะพรั่ง แข่งกันประชันโฉมสีสันงดงาม ฉันนั่งมองด้วยความชื่นชม ดอกไม้ให้ประโยชน์มอบความสวยงามตามธรรมชาติ แล้วมนุษย์ทำประโยชน์อะไรให้แก่โลกใบนี้ ฉันรําพึงเบา ๆ
ช่วงชีวิตที่เบอร์ลิน ลูกชายทั้งสองเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น เป็นช่วงเจริญวัย บางครั้งลูกมีอารมณ์ว้าวุ่น ฉันไม่เข้าใจลูกต้องการอะไร ลูกเองก็หงุดหงิดทําไมแม่ต้องจุกจิกกวนใจ เกิดความสงสัยฉันสื่อสารพูดคุยกับต้นไม้ใบหญ้าแล้วสบายใจ แต่ทําไมพูดกับลูกแล้วไม่ได้ดั่งใจพอลูกทำอะไรให้ขัดเคืองก็ตั้งคําถามว่า ทําไมเขาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
วันหนึ่งฉันอ่านหนังสือเรื่อง “How to talk So Kids Will Listen พูดกับลูกอย่างไร ฟังลูกพูดอย่างไร” เขียนโดย อเดล เฟเบอร์ และ เอเลน มาซลิซ ทําให้ถึงบางอ้อ ร้องอ๋อ การสื่อสารกับลูกต้องมีวิธีพูดเพื่อให้เค้าไว้วางใจ เกิดความเข้าใจระหว่างกัน ฉันเริ่มใช้วิธีการตามที่อ่านมาทําให้บรรยากาศอึมครึมเริ่มคลี่คลาย
หลังจากนั้น ฉันอ่านหนังสือ “ผลัดใบชีวิต” เขียนโดยอังคณา มาศรังสรรค์ (ครูณา) เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก ที่ใช้ความรัก ความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันฉันติดตามอ่านด้วยความความสนใจ นํามาปรับใช้ทําให้เข้าใจลูกดีขึ้น คิดว่า หากมีโอกาสได้แลกเปลี่ยน เรียนรู้กับผู้เขียนน่าจะดี
เมื่อมีโอกาสพบปะ พูดคุยกับกลุ่มคนไทยตามงานวัด และงานต่าง ๆ พบว่า หลายครอบครัวมีปัญหาเรื่องการสื่อสารโดยเฉพาะลูกวัยรุ่นเช่นกัน ฉันตัดสินใจติดต่อเชิญครูณามาบรรยายที่เบอร์ลิน
ครูณาจัดคอร์ส…การสื่อสารด้วยหัวใจ..เป็นกิจกรรมที่กลับมาทําความรู้จักตัวเองผ่านกระบวนการเรียนรู้ โดยนําพาให้ใคร่ครวญชีวิตที่ผ่านมา
ผู้เข้าร่วมประมาณ ๓๐-๓๕ คน ระยะเวลาอบรม ๓ วัน กระบวนการเรียนรู้ค่อย ๆ พา เราทบทวนชีวิตตั้งแต่วัยเด็ก เราเติบโตมากับพ่อ แม่เช่นไร วิธีการเลี้ยงดูอย่างไร พอโตขึ้นเรา เรียนอะไร คบเพื่อนแบบไหน ทํางานทําอะไร มีความคิด พฤติกรรมอย่างไร สิ่งแวดล้อมเหล่านี้ มีอิทธิพลต่อการดําเนินชีวิตของเรา
กิจกรรมจะแยกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ฉันกับลูกชายทั้งสองและลุงเอ (นามสมมุติ) อยู่กลุ่มเดียวกัน ลุงเอทํางานร้านอาหารไทยในเมืองเป็นคนจริงจังตั้งใจทํางาน
ลุงบอกว่าเป็นที่รักของเจ้านายแต่เพื่อนร่วมงานไม่ชอบ เพราะลุงเจ้าระเบียบ จริงจังกับชีวิตทําให้ตึงเครียดทั้งที่ทํางานและในบ้าน ลุงมักจะมองเห็นความบกพร่องผู้อื่นทําให้ตําหนิผู้คนอยู่เสมอ
เพราะความจริงจังและเจ้าระเบียบทําให้ลุงทนไม่ได้กับความหย่อนยานของเพื่อนร่วมงาน ลุงมีลูกวัยรุ่นที่เป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวมีลูกคนเดียวมักจะมีปากเสียงกันเป็นประจํา
ฉันถามว่าใช้วิธีการเลี้ยงลูกเช่นใด ลุงพูดด้วยความมั่นใจว่า เลี้ยงลูกด้วยไม้เรียวหากทําอะไรไม่ถูกจะตีเพื่อให้หลาบจํา ฉันถามต่อว่า เคยคุยกันดี ๆ หรือรับฟังเรื่องราวของลูกบ้างไหม ลุงส่ายหน้าแล้วบอกด้วยเสียงเบา ๆ ว่า ไม่เคย!
วันนั้นฉันกับลูกได้ฟังเรื่องราวมากมายที่เต็มไปด้วยความอึดอัด คับข้องใจในโชคชะตาของลุง ลุงเล่าด้วยเสียงเศร้า ๆ ว่า ตนเป็นเด็กกําพร้า ไม่รู้ว่าพ่อ แม่ เป็นใคร ถูกทิ้งไว้ข้างถังขยะ มีคนเก็บไปให้สถานสงเคราะห์เลี้ยงจนโต
เรียนหนังสือพอมีความรู้มีคนชวนมาทํางานที่เยอรมัน จับพลัดจับผลูแต่งงานต่อมาภริยาทนความจู้จี้ จุกจิก ขี้บ่นและเจ้าระเบียบไม่ไหว จึงหนีไปทิ้งลูกน้อยไว้ให้
ลุงเลี้ยงลูกคนเดียวด้วยความโดดเดี่ยวไม่รู้จะทําอย่างไร ลูกโตมาด้วยความกดดันไม่รู้ว่าความรักเป็นเช่นใด วันก่อนลุงเล่าว่าทะเลาะกับลูกจนลูกหนีออกจากบ้านไปไม่รู้จะทําอย่างไร
ฉันกับลูกนั่งฟังเรื่องราวด้วยความสะเทือนใจ ภาวนาขอให้เรื่องราวร้าย ๆ ของลุงผ่านพ้นไปด้วยดี
วันรุ่งขึ้น มีกิจกรรมเขียนจดหมายระบายความในใจ ลุงเขียนไปร้องไห้ไป บอกว่าชีวิตที่ผ่านมามีแต่เรื่องเลวร้ายไม่เคยมีความสุขกับสิ่งใด มีเมีย มีลูก ทุกคนก็ทิ้งไป เพื่อนร่วมงานก็ไม่ชอบหน้า ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ต่อไปทําไม ลุงตัดสินใจจะฆ่าตัวตาย วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะลาจากโลกใบนี้ ฉันตกใจ นั่งนิ่ง จะช่วยลุงอย่างไร
ฉันตัดสินใจเดินไปกระซิบบอกครูณา ครูณาได้พาพวกเราเข้าสู่กระบวนการฟังอย่างลึกซึ้งและได้บอกเล่าเรื่องราวผู้คนที่ผ่านมรสุมชีวิตและเลือกที่จะมีชีวิตต่อไปอย่างมีคุณค่า
เมื่อทุกคนในห้องรับรู้เรื่องราวของลุงเอ ต่างแสดงความเห็นใจ เดินไปสวมกอดพร้อมส่งพลังความรัก ความห่วงใยให้ลุง ฉันและลูกชายทั้งสองเดินไปกอดให้ลุงอยู่ตรงกลางระหว่างเรา ๓ คน
เราตั้งใจถ่ายทอดพลังทั้งหมดที่มี ฉันพูดถึงความรัก ความห่วงใยที่มีกับลุง ส่วนลูกได้แสดงความในใจว่ารู้สึกอย่างไรต่อการตัดสินใจของลุง
ลุงเอร้องไห้โฮเสียงดังไม่อายใคร บอกว่า ในชีวิตไม่เคยได้รับการกอดจากใคร ไม่เคยรู้ว่าความรักเป็นเช่นไร วันนี้เป็นวันแรกที่ได้รับความรักอย่างหมดใจ แม้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เหตุใดจึงสามารถรักและห่วงใยกันได้มากมายถึงเพียงนี้
ก่อนจากกันวันนั้น ฉันบอกลุงว่าพรุ่งนี้เราจะได้พบกันอีก ลุงพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ ว่า ขอกลับไปทบทวน ว่าคืนนี้จะตัดสินใจเช่นไร ทุกคนในห้องนิ่งเงียบ ฉันเดินไปกระซิบเบา ๆ พรุ่งนี้พวกเราจะรอกอดลุง
คืนนั้น ฉันนอนไม่หลับกระสับกระส่าย ลุงเอจะตัดสินใจเช่นไร ได้แต่ภาวนาขอให้ลุงตัดสินใจมีชีวิตอยู่ต่อไป รุ่งขึ้น ฉันเข้าร่วมกิจกรรมด้วยหัวใจที่เต้นระรัว คอยลุ้นลุงเอจะมาไหม
กิจกรรมเริ่มไปแล้วยังไม่มีวี่แววอะไร ฉันผุดลุกผุดนั่งชะเง้อมองประตู ผ่านไปเกือบชั่วโมงจึงเห็นลุงเอค่อย ๆ แง้มประตูเข้ามา พร้อมดอกไม้ธูปเทียนในมือ
ฉันถลาไปหาด้วยความดีใจ ลุงมองหน้าฉันแล้วพูดว่า ๒ วันที่เข้าร่วมกิจกรรม ได้รับพลังความรัก ความห่วงใย ที่ทุกคนมอบให้ จึงตัดสินใจจะมีชีวิตอยู่ต่อไป แม้ไม่เคยเห็นหน้าพ่อแม่ว่าเป็นใคร
วันนี้ขอตั้งต้นใหม่ จะขอเอาพระแม่ธรณีเป็นแม่ของตน ว่าแล้ว ลุงเอาดอกไม้ ธูปเทียนที่เตรียมมา ก้มกราบผืนแผ่นดินซบหน้าสะอื้นร่ำไห้ กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ ว่า “ชีวิตตั้งแต่เกิดมา ไม่รู้ว่า ว่า พ่อ แม่ เป็นใคร อยู่ที่ใด ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยรู้จักความรัก ไม่เคยรู้ว่ามีใครคอยห่วงใย ไม่รู้แม้กระทั่งว่า จะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร”
บัดนี้ รู้แล้วว่า พลังแห่งรักมีอยู่จริง ตั้งแต่นี้ไปขอพระแม่ธรณีโปรดรับลูกคนนี้ไว้ในอ้อมกอด ขอความรักจงบังเกิดในใจ ลูกคนนี้จะนําสิ่งที่ได้รับไปส่งมอบให้แก่ผู้คนต่อไป
ภาพลุงเอ ซบหน้านิ่งกับแม่พระธรณี ทําให้ทุกคนเงียบกริบ ฉันยืนนิ่งน้ำตาไหลพราก เราค่อย ๆ เดินไปสวมกอดลุง ถ่ายทอดพลังดี ๆ ให้พร้อมบอกเล่าถึงความรู้สึกในใจแต่ละคน ฉันและลูกเดินไปเป็นคนสุดท้าย เรา ๓ คน แม่ลูกกอดลุงนิ่งถ่ายทอดพลังแห่งความรักความปรารถนาดีที่มีให้หมดหัวใจ
ร่างลุงไหวสะท้าน สะเทือนใจ น้ำตาลูกผู้ชายหลั่งรินไม่ขาดสาย ลุงพูดเสียงปนสะอื้น บอกว่า โชคดีที่เราได้พบกัน ลุงได้ฟังสิ่งที่ฉันและลูกได้แบ่งปันเรื่องราวถึงความรัก ความผูกพันที่มีต่อกัน แล้วเกิดพลัง เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจที่แห้งผากให้ฟื้นกลับคืนมา
ทําให้รู้ว่า จะมีชีวิตเพื่อสิ่งใด ลุงจะกลับไปตามลูกแล้วขอโทษในสิ่งที่เคยทําผิดเพราะไม่รู้ว่าความรักเป็นเช่นใด บัดนี้ ลุงได้รับความรักอย่างท่วมท้น พร้อมที่จะนําสิ่งที่ได้ส่งมอบให้ลูกและสัญญาว่า จะนําสิ่งดี ๆ นี้มอบให้ผู้คนต่อไป ฉันกอดลาลุงเอด้วยน้ำตาแห่งความปลื้มปีติที่ได้เห็นชีวิตลูกผู้ชายคนนี้กลับคืนมา เป็นเรื่องราวที่มีคุณค่าที่ติดตาตรึงใจฉันตลอดไป
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทําให้ฉันเกิดแรงบันดาลใจที่อยากทําสิ่งดี ๆ ให้ผู้คน ฉันนิมนต์ครูบาอาจารย์จากเมืองไทยหลายรูปมาช่วยให้ข้อคิดให้ข้อธรรมะในการดําเนินชีวิต
ลุงเอกลายเป็นกําลังสําคัญในการช่วยงาน ลุงขมีขมันทําหน้าที่ด้วยความเต็มใจหน้าตาอิ่มเอิบ ผ่องใส ใครเห็นก็ทักว่า ลุงเปลี่ยนไปเป็นคนละคน บางวันลุงยังทําหน้าที่พาญาติ โยมสวดมนต์ ไหว้พระ ลุงทําหน้าที่ได้อย่างดีไม่ขาดตกบกพร่อง
โปรยยยย
“การได้ทากิจกรรมช่วยเหลือผู้คน นำไปสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เกิดสันติสุขอิ่มเอมใจ นำไปสู่การแบ่งปันผู้คนรอบข้าง สังคมรอบตัว มีความรัก ความปรารถนาดีกับผู้คน พร้อมที่จะมอบสิ่งดี ๆ ให้แก่กัน ทำให้รู้ว่า ชีวิตที่มีคุณค่า มีความหมายเป็นเช่นใด”
บทที่ 10 จากลา
ขณะกําลังมีความสุขสนุกสนานกับการใช้ชีวิตที่บ้านเล็กในป่าใหญ่ ทํากิจกรรมช่วยเหลือสังคม จัดอบรมโครงการต่าง ๆ เพื่อแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้ผู้คน ฉันชวนลูกชายทั้งสองไปช่วยสร้างวัดป่าแห่งแรกที่เบอร์ลิน เราแม่ ลูก ไปช่วยกันถางป่า ปรับหน้าดิน ขนดิน หิน สร้างศาลา และที่พักสงฆ์ เป็นกิจกรรมช่วยทํานุบํารุงพระพุทธศาสนาอีกทางหนึ่ง
ต่อมา สามีได้รับคําสั่งให้ย้ายไปทํางานที่ประเทศบรูไน ทันทีที่ทราบข่าวว่าต้องเดินทางอีกครั้ง ความรู้สึกแรก คือ ตื่นเต้น ดีใจ ชีวิตกําลังจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แต่อีกใจก็เป็นห่วงการเรียนของลูกจะทําอย่างไร เพราะอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการศึกษา ขณะนั้นลูกชายคนโตอายุ ๑๗ ปี เพิ่งจบเกรด ๑๒ (มัธยมศึกษาปีที่ ๖) กําลังจะเข้า มหาวิทยาลัย ส่วนลูกชายคนเล็กกําลังเรียน เกรด ๑๑ (มัธยมศึกษาปีที่ ๕)
การเดินทางครั้งนี้ยากแก่การตัดสินใจ เรา ๓ คนแม่ลูกช่วยกันคิดจะทําอย่างไร วันนั้นเรานั่งที่ห้องโถงกลางบ้าน ล้อมวง ปรึกษา หารือ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
ฉันชวนลูกพูคคุยแบบสุนทรียสนทนา (Dialouge) จากการอ่านหนังสือและศึกษาค้นคว้าการพูดคุยแบบนี้ คือ การรับฟังกันอย่างลึกซึ้ง (Deep Listening) เป็นการฟังโดยทําความเข้าใจ รับฟังความคิดเห็นแต่ละคนโดยไม่ตัดสินอะไร
ลูกทั้งสองได้พูดถึงความต้องการและความรู้สึกของตัวเอง เป็นการพูดคุยกันแบบค่อยเป็นค่อยไป ต่างคนต่างช่วยกันคิด เราแม่ลูกช่วยกันใคร่ครวญหาทางออกที่ดีที่สุดสําหรับแต่ละคน
ลูกคนโตบอกว่าอยู่เยอรมันมาหลายปีอยากจะกลับไปเรียนมหาวิทยาลัยที่เมืองไทย ส่วนลูกคนเล็กเหลือเวลาอีก ๑ ปี บอกว่า อยากเรียนให้จบไม่อยากย้ายติดตามพ่อ แม่ ไปบรูไน ไม่อยากปรับตัวใหม่ ขอเรียนต่อที่เยอรมัน เมื่อเรียนจบเกรด ๑๒ แล้วจึงจะตัดสินใจว่าจะไปเรียนมหาวิทยาลัยที่ใด ฉันนั่งฟังและยอมรับการตัดสินใจของลูกแต่ละคน
เมื่อถึงคราวที่ฉันต้องตัดสินใจอนาคตตัวเอง กลับคิดไม่ออกว่าจะทําอย่างไร ฉันขอความเห็นลูกว่า แม่ควรจะกลับไปทํางานที่เมืองไทยหรือติดตามพ่อไปบรูไน
ลูกบอกว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงสําคัญ ที่ผ่านมาแม่ดูแลพวกเราอย่างใกล้ชิด วัยรุ่นเป็นช่วงที่ฮอร์โมนทางร่างกายกําลังเปลี่ยนแปลง จิตใจว้าวุ่น ต้องการการคนที่เข้าใจ ชี้แนะสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมให้
แม่รู้ว่าวัยรุ่นพลังเยอะจึงพาพวกเราไปออกกําลังกาย เล่นเทนนิส ว่ายน้ำ เล่นสกี เข้าฟิตเนส เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
แม่พาทํากิจกรรมช่วยเหลือสังคม ให้เรียนรู้ชีวิตผู้คนจากประสบการณ์จริง แม่พาเข้าวัด สวดมนต์ ฝึกสมาธิและให้ดูแลครูบาอาจารย์ ทําให้พวกเรารู้จักคิดและระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านได้ดี
นอกจากนี้ แม่ยังปลูกฝังให้สนใจสิ่งต่าง ๆ รอบตัวทั้งผู้คนและธรรมชาติ พวกเรารู้ว่าแม่มีเพื่อนมากมายเป็นคนและต้นไม้ ลูกตั้งชื่อต้นไม้ในป่าให้แม่ว่า ”ลุงมันเฟรด”
ทุกครั้งที่แม่หายตัวไปนาน ๆ พ่อถามว่า แม่ไปไหน ลูก ๆ จะตอบเสียงดังว่า แม่ไปคุยกับลุงมันเฟรดในป่าหลังบ้าน
ลูกบอกว่า แม่ศึกษาหาความรู้ อ่านหนังสือ อ่านตําราการเลี้ยงลูก พูดคุย สอบถาม ผู้มีประสบการณ์เพื่อนํามาปรับใช้การพูดคุยกับลูกวัยรุ่น
แม่เลี้ยงลูกด้วยหัวใจ มอบความรัก ความห่วงใย ทําให้พวกเราเป็นตัวของตัวเองเช่นทุกวันนี้ แม่ทําตัวเป็นเพื่อนที่รับฟังทุกเรื่องราวอย่างเข้าใจ
เมื่อพวกเราอยากทําสิ่งใด แม่ไม่เคยห้ามปราม แต่แม่ชวนให้คิดและให้ตัดสินใจเองว่าสิ่งใดเหมาะสิ่งใดควร แม่จะคอยอยู่เคียงข้างคอยสนับสนุนและให้กําลังใจเสมอมา
แม่รู้ไหม สิ่งนี้ได้หลอมให้พวกเรามีความมั่นใจ ตั้งแต่นี้ต่อไปเราจะขอรับผิดชอบชีวิตที่เหลือด้วยตัวเอง ฉันได้ฟังเสียงสะท้อนจากลูกทั้งสองแล้วปลื้มใจ
จําภาพในอดีตวันที่แม่ส่งฉันไปเรียนที่กรุงเทพฯ และบอกให้ฉันรับผิดชอบชีวิตตัวเองให้เซ็นสมุดพกตัวเอง คําแม่ก้องในหู ลูกแม่เป็นคนดีต้องได้ดีสักวัน
ฉันได้ฟังลูกชายทั้งสอง สะท้อนความรู้สึกจากใจ นึกย้อนช่วงชีวิตที่ผ่านมา เรา พ่อ แม่ ลูก เหมือนเพื่อนร่วมทางที่ต่างช่วยกันแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดสําหรับแต่ละคน
ความรู้สึกขณะนั้น ทําให้ฉันรู้ว่า ฉันเดินมาถูกทาง ฉันบอกลูกว่า แม่ดีใจที่ลูกทั้งสองเติบโตทั้งร่างกายและจิตใจ ลูกแสดงความกล้าหาญให้ได้เห็น และตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตด้วยตัวเอง
บัดนี้ ถึงเวลาที่เราต้องแยกย้ายกันไปทําหน้าที่ของตน ลูกต้องออกเดินทางสู่โลกกว้าง ต้องผจญภัยและตัดสินใจด้วยตัวเอง ขอให้จําไว้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม่จะอยู่เคียงข้างตลอดไป
หลังจากจบบทสนทนา เราแม่ลูกต่างนิ่งเงียบรู้สึกใจหาย เราจะต้องจากกันแล้วหรือนี่ ที่ผ่านมา เรา ๔ คน พ่อ แม่ ลูก จะไปไหนด้วยกันเสมอไม่เคยแยกจากกัน
แต่ครั้งนี้ เราต่างต้องไปมีชีวิตของตัวเอง นึกถึงวันเวลาแห่งความสุขที่เราเคยอยู่ร่วมกัน รู้สึกโหวง ๆ หวิว ๆ อย่างไรไม่รู้ เมื่อเราคุยกันถึงเส้นทางชีวิตของลูกแล้ว ฉันหันมาถามลูกบ้างว่า แม่ควรตัดสินใจอย่างไรกับอนาคตตัวเอง เพราะครบกําหนดที่ต้องกลับไปทํางานที่เมืองไทยแล้ว
ลูกบอกว่า ให้แม่ถามตัวเองว่า แม่มีความสุขกับการเป็นแม่บ้านที่คอยดูแลพ่อและพวกเราหรือไม่ ลองคิดดู แม่ได้ทําอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยทํา
แม่มีเวลาอยู่กับตัวเอง เดินป่า คุยกับต้นไม้ ดอกไม้ อ่านหนังสือมากมาย แม่ชอบศึกษาเรื่องราวภายในเกี่ยวกับจิตใจมนุษย์ แม่ทําคอร์ส ช่วยเหลือผู้คน ทําให้คนเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
ส่วนหน้าที่ในครอบครัว แม่ทุ่มเทมอบความรักให้พวกเราอย่างเต็มที่ หากแม่มีความสุขเช่นนี้ควรทําต่อไป พวกเราอยากเห็นครอบครัวเป็นปึกแผ่น พวกเราต้องแยกเดินทางไปตามเส้นทางของตัวเอง
ลูกให้ความเห็นว่า แม่น่าจะเดินทางไปอยู่เคียงข้างพ่อ คอยสนับสนุนและให้กําลังใจอยากให้แม่ทําหน้าที่ตรงนี้ให้เต็มที่ แม่คือกําลังสําคัญที่อยู่เบื้องหลังทุกอย่าง
แม่ไม่ต้องห่วง พวกเราจะรับผิดชอบตัวเองให้ดีที่สุดให้สมกับที่พ่อ แม่ ทุ่มเทความรักให้ เราจะทําให้พ่อ แม่ ภูมิใจกับเราทั้งสอง ฉันได้ยินแล้วน้ำตาไหล เมล็ดพันธุ์ที่บ่มเพาะ ด้วยความรัก ความเข้าใจ บัดนี้ งอกเงย งอกงาม ออกดอกออกผลให้ชื่นใจ
หลังจากได้ฟังความคิดเห็นจากลูก ๆ เย็นวันนั้นฉันชวนสามีไปเดินเล่นในสวน ขณะเดินเพลิน ๆ ฉันเอ่ยถามสามีด้วยเสียงเบา ๆ ว่า พ่อคิดว่า แม่ควรตัดสินใจเรื่องงานอย่างไร
สามีบอกด้วยเสียงอ่อนโยนว่า หากเป็นเขาคงยากที่จะตัดสินใจ เพราะรู้ว่า อนาคตการงานข้างหน้าของฉันยังอีกยาวไกล หากฉันจะกลับไปทํางานที่เมืองไทยก็ไม่ว่าอะไร เคารพการตัดสินใจของฉันเสมอ
ฉันละล้าละลังกับสิ่งที่สามีพูด อืม..ม..ยากแก่การตัดสินใจจริง ๆ ฉันนิ่งเงียบ ครุ่นคิดไปตลอดทาง ระหว่างนั้น ฉันถามย้ำอีกครั้งว่า หากแม่ตัดสินใจกลับไปทํางานไม่อยู่กับพ่อจะรู้สึกอย่างไร
สามีนิ่งไปสักครู่ ตอบด้วยเสียงเบา ๆ ว่า พ่อคงเหงา เพราะเราไม่เคยแยกจากกัน หากถามความรู้สึกตอนนี้ บอกคําเดียวว่า “แม่คือคนสําคัญในชีวิต”
วินาทีนั้น เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่คอหอย ขอบตาร้อนผะผ่าว ชีวิตต้องการอะไร อะไรคือสิ่งสําคัญที่สุด
การตัดสินใจครั้งนี้เป็นครั้งสําคัญในชีวิต ใจหนึ่งก็อาลัยอาวรณ์กับภาพในอดีตที่เคยเป็นผู้หญิงทํางาน มีตําแหน่งหน้าที่ของตัวเอง อีกใจก็หวั่นไหวกับการต้องกลายเป็นแม่บ้านเต็มตัว ระหว่างหน้าที่การงานกับการได้อยู่กับคนรักจะเลือกสิ่งใด
ณ เวลานี้ ฉันเลือกตัดสินใจไปอยู่กับคนที่รักโดยยอมสละความฝันอันยิ่งใหญ่ ฉันยอมลาออกจากงานเพื่อออกเดินทางอีกครั้ง
เมื่อถึงกําหนดวันเดินทางที่ต้องจากลาเบอร์ลิน วันนั้นตรงกับช่วงฤดูใบไม้ผลิ เป็นวันครบรอบที่เราย้ายมาอยู่ที่นี่ บ้านหลังเล็กหลังนี้ เป็นที่ที่ให้ความอบอุ่นแก่ครอบครัวเล็ก ๆ ของเรา
ดอกไม้ที่สวนหลังบ้านบานสะพรั่งเหมือนวันแรกที่เราเดินทางมาถึง วันที่พบกัน คือวันที่จากกัน แม้ดอกไม้จะบานเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกข้างในใจไม่เหมือนเดิม ฉันมองดอกไม้ ยิ้มเศร้า ๆ เดินไปกล่าวคําอําลาด้วยเสียงแบ่วเบา ลาก่อน..ดอกไม้ที่รัก
ฉันเดินเข้าป่าเป็นครั้งสุดท้ายไปบอกลาต้นไม้ บรรยากาศดูหงอยเหงา สรรพสิ่งรอบตัวเงียบ สงัด ไร้สรรพเสียงใด ๆ ฉันเดินช้า ๆ ไปโอบกอดต้นไม้ที่คุ้นเคย ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาหลายปี ให้ร่มเงา ให้ความสดชื่น ให้พลังดี ๆ
จากนี้ไป คงไม่มีโอกาสพบกันอีก ฉันกอดลาครั้งสุดท้าย ซบหน้าสะอื้นร่ำไห้ ตัวสั่นสะท้าน เหมือนต้นไม้จะรับรู้ ฉันสัมผัสพลังบางอย่าง ต้นไม้สั่นไหว ใบไม้แกว่งไกว ได้ยินเสียงหวีดหวิว ลมเย็น ๆ พัดผ่านใบหน้า ฉันกล่าวคําอําลาทั้งน้ำตา ขอให้โชคดี
จําบทสวดที่ว่า…การพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์.. นึกถึงเมื่อครั้งอยู่จาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ครั้งนั้นพลัดพรากจากลูกน้อยในครรภ์เป็นการสูญเสียครั้งแรกในชีวิต และต้องลาจากผู้คนที่มีความรัก ความผูกพันระหว่างกัน
ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่ต้องพลัดพรากจากสถานที่ที่คุ้นเคย ต้องจากลาธรรมชาติที่ให้ร่มเงา ให้ความสงบ ร่มเย็น เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขั้นระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ
ฉันเชื่อว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนเกี่ยวเนื่องผูกพันกันเช่นฉันกับต้นไม้ แม้ไม่สามารถสื่อสารด้วยคําพูดแต่เป็นความรู้สึกที่ออกจากใจ เป็นความรัก ความผูกพันที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นทีละน้อย ความรักเกิดขึ้นได้กับทุกสรรพสิ่ง เมื่อหัวใจสื่อถึงกันทุกสิ่งคือหนึ่งเดียวกัน
เมื่อถึงเวลาที่ต้องจากลาย่อมรู้สึกสะเทือนใจ ฉันกู่ร้องตะโกนก้องป่า ลาก่อนต้นไม้ทุกต้น ดอกไม้ทุกดอก ขอให้ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ฉันจะเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้ตลอดไป ฉันเดินออกจากป่าด้วยความรู้หวิว ๆ น้ำตารินไหลเป็นทาง
จากการใช้ชีวิตทีเบอร์ลินครั้งนี้ ฉันได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมาย ได้รู้จักความรัก ความผูกพันระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ทั้งความสัมพันธ์ในครอบครัว พ่อ แม่ ลูก ที่เราต่างเรียนรู้ บ่มเพาะความสัมพันธ์ที่สานต่อ ถักทอเป็นความรัก ความห่วงใย ความเข้าใจระหว่างกัน
นอกจากนี้ ฉันยังได้เรียนรู้ความสัมพันธ์กับผู้คนรอบด้าน สังคมรอบตัว ทําให้รู้ว่า แม้ไม่เคยรู้จักไม่เคยเห็นหน้า แต่หากมีความปรารถนาดีต่อกันความรักย่อมเกิดขึ้นได้แม้ในเวลาอันสั้น
ที่สําคัญ ฉันได้รู้จัก ความรัก ความผูกพันที่เกิดกับธรรมชาติรอบตัว ผูกพันกับต้นไม้ ดอกไม้ เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามีความหมายสําหรับฉัน
ชีวิตที่ต้องเดินทางตั้งแต่เด็กเป็นประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมาย เมื่อโตขึ้นการได้โยกย้ายไปตามประเทศต่าง ๆ เป็นการเดินทางภายนอก
ยิ่งเดินทางมากเท่าใด ยิ่งได้ประสบการณ์มากเท่านั้น จากประสบการณ์ที่ผ่านมาฉันเริ่มสํารวจความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในใจ ฉันได้สัมผัสอารมณ์ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นทั้ง สุข ทุกข์ เศร้า เหงา สมหวัง ผิดหวัง พลัดพราก
อารมณ์ ความรู้สึกเหล่านี้ ค่อย ๆ บ่มเพาะให้ฉันได้ตระหนักรู้ เรียนรู้สิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต นําไปสู่ความเข้าใจในความเป็นเปลี่ยนแปลง มองเห็นความเป็นไปของชีวิต การมองโลกค่อย ๆ เปลี่ยนไป เกิดความเข้าใจ
“ชีวิตที่ผ่านมา เป็นการสำรวจโลกภายนอกผ่านการเดินทาง
ฉันเริ่มกลับมาสำรวจโลกภายในผ่านใจตัวเอง”