ยุคเกิดใหม่เพื่อฟื้นฟูศิลปะวัฒนธรรม Renaissance (1/3)
# นำความ
ยุคฟื้นฟูศิลปะวัฒนธรรม (Renaissance) เป็น “ยุคเกิดใหม่” ของอารยธรรมที่เคยรุ่งเรืองสองพันปีก่อนในยุคกรีกและโรมัน ยุคที่ผู้คนกลับไปเรียนรู้ ฟื้นฟูความรู้ภูมิปัญญา ก่อให้เเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายในระยะเวลาไม่นานในแทบทุกด้าน
ด้านศิลปะ จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรมและวิศวกรรม มีศิลปินและนักคิดประดิษฐ์ อย่าง เลโอนาร์โด ดาวินชี, มิเกลันเจโล, ราฟาแอล และอีกหลายคน ที่เรียนรู้โครงสร้างร่างกายคนจากกายวิภาค รากฐานพัฒนาการแพทย์มาจนถึงปัจจุบัน ไม่ดูถูกร่างกายคนเหมือนยุคกลาง บรรดาศิลปินสร้างผลงานยิ่งใหญ่มากมาย
การพัฒนาความรู้ทางดาราศาสตร์ ที่พบว่าไม่ใช่โลกที่เป็นศูนย์กลาง แต่เป็นดวงอาทิตย์ โดยมีโลกและดาวต่าง ๆ โคจรรอบดวงอาทิตย์ ที่โคเปอร์นิคัสและกาลิเลโอนำเสนอและขัดแย้งกับคำสอนของศาสนจักร แต่นั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญหรือการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ มีการประดิษฐกล้องโทรทรรศน์ (telescope) และกล้องจุลทรรศน์ (microscope) ทำให้ได้ค้นพบสิ่งที่ซ่อนเร้นลึกลับไกลสุดและเล็กสุดได้
การเกิดขึ้นของการพิมพ์โดยโยฮันเนส กูเทนเบอร์ก ในปี 1450 มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างสำคัญ ทำให้คนเข้าถึงข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ได้มากขึ้น เร็วขึ้น กว้างขวางมากขึ้น เริ่มต้นยุคสื่อสารมวลชน เกิดปรากฏการณ์คล้ายกับยุคโซเชียลมีเดียวันนี้
การปฏิรูปศาสนา แยกเป็นนิกายโปรเตสแตนท์ โดย มาร์ติน ลูเธอร์ เมื่อต้นศตวรรณที่ 16 เกิดขึ้นในยุคที่คนเริ่มมีสำนึกในเสรีภาพ การได้รับข้อมูลข่าวสารความรู้ที่แตกต่างจากความเชื่อเดิม และการเมืองระหว่างอำนาจรัฐต่าง ๆ เอื้อให้เกิดการแยกนิกาย และการรบสู้กัน 30 ปี
การพัฒนาการเดินเรือ การสำรวจและการพบโลกใหม่ การค้าขายผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จากเอเชียที่นครรัฐเวนิสผูกขาดความร่ำรวยมานานโดยพ่อค้าอย่างมาร์โก โปโล กำเนิดอาณานิคมและอาณาจักรที่ตะวันไม่เคยตกดิน (ตกที่แม็กซิโกก็ขึ้นที่ฟิลิปปินส์) การร่วมมือกันระหว่างพ่อค้า มิชชันนารี และทหาร ในการขยายอาณานิคม
ยุคที่ปูทางไปสู่การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม การค้า การพัฒนาวิชาความรู้แขนงต่าง ๆ ศิลปะวัฒนธรรม วรรณกรรม เข้าสู่ยุคเรืองปัญญา (Enlightenment) ที่ตามมาด้วยยุคโรแมนติก และเข้าสู่ยุคใหม่ในเวลาต่อมา
# จากยุคมืดสู่ยุคเกิดใหม่ (From Dark Age to Renaissance)
ยุคกลางในยุโรป (Middle Age) มักถูกเรียกว่า “ยุคมืด” (Dark Age) เพราะถูกนำไปเปรียบกับอารยธรรมกรีกและโรมันก่อนนั้น และกับยุคฟื้นฟูศิลปะวัฒนธรรมหลังจากนั้น ได้ให้เหตุผลแย้งไปแล้วในบทความก่อนนี้
ยุคกลางมี 2 ช่วง อย่างละครึ่ง ช่วงแรก ตั้งแต่จักรวรรดิโรมันล่มสลายในศตวรรษที่ 5 จนถึงศตวรรษที่ 9 และช่วงหลัง ยุครุ่งเรืองของยุคกลาง (high middle age) จนถึงศตวรรษที่ 14 เป็นเวลารวม 800 ปี และเริ่มยุคฟื้นฟูศิลปะวัฒนธรรม ยุคเกิดใหม่ระหว่างปี ค.ศ. 1300-1350 ไปจนถึงปี 1650 ระยะเวลาประมาณ 300 ปี
ช่วงแรกของยุคกลางนั้นเป็นช่วงที่บรรดาผู้มีอำนาจใหม่ที่ถูกเรียกว่า “คนป่าเถื่อน” ( Barbarians) เป็นชาติพันธุ์เยอรมานิก โกธ ฮั่น และอื่น ๆ เริ่มเรียนรู้และค่อย ๆ พัฒนาตนเอง ส่วนหนึ่งจากที่ได้รับวิชาความรู้จากทหารโรมัน อีกส่วนหนึ่งจากศาสนาคริสต์
ศาสนาคริสต์แพร่กระจายไปทั่วยุโรปโดยทางอารามนักพรต (monasteries) ต่าง ๆ คนไปบวชมากทั้งชายและหญิง เพราะเชื่อว่าชีวิตในโลกเป็นการเดินทางไปสู่เป้าหมายที่แท้จริง คือ สวรรค์ถ้าทำดี นรกถ้าทำไม่ดี คนจึงใส่ใจเรื่องศาสนามากกว่าอย่างอื่น สนใจเรื่องทางจิตวิญญาณ เรื่องทางธรรมมากกว่าทางโลก มองว่าร่างกายเป็นอุปสรรคด้วยซ้ำ คนส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือ มีแต่ผู้ดีมีเงิน มีอำนาจ และนักบวชที่รู้หนังสือ
ยุโรปมีการปกครองเป็นแคว้น เป็นนครรัฐ ที่รวมกันได้ดีก็เป็นที่ “อังกฤษ” และ “ฝรั่งเศส” และเมื่อปี 800 ที่พระเจ้าชาร์ลเลอมาญของฝรั่งเศสได้รับการสวมมงกุฎเป็นจักรพรรดิ จึงดูเหมือนว่า อาณาจักรต่าง ๆ ถูกรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวโดย อำนาจทางโลก คือ จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire) ทางธรรม คือ คริสต์ศาสนจักร (Christiandom)
การศึกษาทำกันในอารามนักพรตซึ่งมักจะอยู่ใกล้กับโบสถ์วิหารใหญ่ ๆ ที่เริ่มมีการก่อสร้างในช่วงหลังของยุคกลาง ด้วยศิลปะโกธิคที่ตบแต่งสวยงามพร้อมกับรูปปั้นรูปสลักมากมาย หน้าต่างกระจกสี และการศึกษาเริ่มปรับขึ้นไปเป็น “มหาวิทยาลัย” อย่างที่โบโลญา ปารีส ออกซ์ฟอร์ด และที่อื่น ๆ ในศตวรรษที่ 12-13
ช่วงหลังของยุคกลางวางรากฐานสำคัญให้ยุคฟื้นฟูศิลปะวัฒนธรรม ด้วยการศึกษา การก่อสร้าง มีการสร้างโบสถ์วิหารและปราสาทสวยงามยิ่งใหญ่มากมาย ซึ่งแสดงว่า มีการถ่ายทอดสืบทอดความรู้ภูมิปัญญาจากอดีตที่เคยรุ่งเรื่องของกรีกและโรมันมาอย่างแน่นอน เพราะความรู้เก่าของเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ คงไม่พอที่จะสร้างอะไรที่ใหญ่โตและวิจิตรพิสดารขนาดนั้น และนี่คือการปูทางไปสู่ยุคฟื้นฟูศิลปะวัฒนธรรม ที่เริ่มมาตั้งแต่ช่วงหลังของยุคกลางที่เรียกว่ายุคมืดนั้นแล้ว
# เกิดใหม่กับกระบวนทัศน์ใหม่ (Renaissance and new paradigm)
การศึกษาที่เป็นระบบ การพัฒนา “ครู” และการเกิดของ “บรมครู” หรือ “เจ้าสำนักใหม่” (ปริญญาเอก ดร.) เป็นที่มาของแนวคิดใหม่ ไม่ใช่การลอกเลียนความรู้เก่า แต่เป็นการต่อยอด ปรับประยุกต์และเสนอความรู้ใหม่ ซึ่งเกิดจากฐานคิดใหม่ การมองโลกมองชีวิตใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม
กำเนิดสิ่งใหม่เพราะกระบวนทัศน์ที่เปลี่ยนไป ปลายยุคกลางที่มีการศึกษาและการรับรอง “เจ้าสำนัก” ที่มาของแนวคิดทฤษฎีใหม่ หลายอย่างมาจากวิธีการหาความจริงแบบอุปนัย (inductive method) แทนที่จะมีแต่วิธีการแบบนิรนัย (deductive method) ที่ใช้กันในเทวศาสตร์ ในคณิตศาสตร์ เรขาคณิต โดยมีทฤษฎีที่เป็นหลักการ สมการ สูตรที่ตั้งไว้ นำไปใช้เพื่อพิสูจน์ความจริงอื่น ๆ ขณะที่วิธีการแบบอุปนัย เป็นวิธีการแบบ “วิทยาศาสตร์” คือจากการสังเกต ทดลอง จากน้อยไปหามาก ไปสู่การสรุปเป็นหลักการ ทฤษฎี สมการ
การเกิดใหม่ (Renaissance ต่อไปจะเรียกว่า ยุคเกิดใหม่สลับไปมา) จึงคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสองพันปีก่อนนั้นที่กรีก คือ การเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่ที่เกิดจากคำถามใหม่ที่ว่า ถ้าเทพเจ้าไม่ได้สร้างไม่ได้จัดการโลก แล้วจะอธิบายด้วยเหตุผลทางธรรมชาติได้อย่างไร
เป็นการเปลี่ยนผ่านจากการใช้ความเชื่อไปใช้ความรู้ จากเทพปรณัมมาเป็นปรัชญา ทำนองเดียวกัน ยุคเกิดใหม่ คนเริ่มปรับการรวมศูนย์ที่ศาสนาและโลกหน้า มาเป็นชีวิตของโลกนี้ จากพระเจ้าเป็นศูนย์กลางมาเป็นมนุษย์ จากเทวศาสตร์มาเป็นมนุษยศาสตร์ จากเทวนิยมมาเป็นมนุษยนิยม (Humanism) จากเทวสิทธิ์ (divine right) มาเป็นสิทธิมนุษยชน (human right)
ลองพิจารณาผลงานศิลปะต่าง ๆ ไม่ว่าประติมากรรมหรือจิตรกรรม ล้วนแสดงออกถึงร่างกายมนุษย์ทุกส่วนอย่างชัดเจน รวมไปถึงอวัยวะเพศที่ไม่ปกปิด ทั้ง ๆ ที่ไม่กี่ชั่วอายุคนก่อนหน้านั้น ศิลปะกรรมที่เปลือยถูกทำลายไปหมด แต่ Donatello ที่สร้างเดวิดด้วยทองสัมฤทธิ์ให้ผู้ดีมีตระกูลของ Medici ที่ฟลอเรนซ์ ขนาดคนจริงตัวเล็กและเปลือย โดยไม่ได้เกรงกลัวอะไร นับเป็นผลงานชิ้นแรกในยุคนี้ที่นำร่องศิลปกรรมเปลือย
การเกิดใหม่ของศิลปะในยุคนี้มาจากการค้นพบความมหัศจรรย์ของศิลปะยุคเก่าของกรีกและโรมัน จากการไปสืบค้นตามอารามนักพรตต่าง ๆ ซึ่งได้เก็บรวบรวมไว้ เพื่อจะได้เข้าใจมนุษย์ โลก และจักรวาล ไม่ใช่มีแต่พระคัมภีร์ไบเบิลที่ถูกทำให้เป็นแหล่งความรู้เดียว แต่ที่จริงเป็นความเชื่อมากกว่าความรู้
# จุดกำเนิดเกิดใหม่ที่ฟลอเรนซ์
อิตาลีที่เป็นประเทศยังไม่เกิด มีแต่นครรัฐต่าง ๆ ที่แข่งขันแย่งชิงอำนาจและทำสงครามกัน มีฟลอเรนซ์ เวนิส มิลาน ปีซา เนเปิล โดยมีเวนิสที่ร่ำรวยและมีอำนาจมากที่สุด จากการค้ากับเอเชีย ผ้าไหม เครื่องเทศ และอื่น ๆ ขณะที่ฟลอเรนซ์คือศูนย์กลางการเงิน โดยตระกูลเมดิชี ที่สนับสนุนงานศิลปะ อุปถัมภ์ศิลปิน นักคิด นักปราชญ์ นักดนตรี เพราะร่ำรวยเป็นเจ้าของธนาคารใหญ่ที่สุดในยุโรป มีสาขาไปทั่ว ปล่อยเงินกู้ให้ผู้คน โดยเฉพาะบรรดาเจ้าผู้ปกครอง ผู้ประกอบการต่าง ๆ
ศิลปะที่เปลี่ยนไป มิติใหม่ เพิ่มเป็น 3 ไม่ใช่ราบเรียบ 2 มิติ และไม่สมจริงเหมือนยุคกลาง ลึก ใช้เงา ศิลปินในยุคฟื้นฟู ใช้ทัศนมิติ (perspective) เพื่อสร้างภาพลวงตาและระยะห่าง เมื่อมีการแสดงภาพเหล่านี้ ประชาชนในยุคนั้นตื่นเต้นมาก คงคล้ายกับที่คนเห็นภาพถ่ายจากกล้องถ่ายรูปเมื่อห้าร้อยปีต่อมา
ยุคเกิดใหม่เป็นยุคที่เชิดชูมนุษยชาติเหมือนกรีกโรมัน กายวิภาคเป็นกุญแจสำคัญสู่การวาดภาพและประติมากรรมยุคนี้ ซึ่งต่างจากยุคกลางที่ห้ามผ่าศพ แม้เพื่อการแพทย์ก็ทำไม่ได้ จึงไม่มีความรู้เรื่องกายวิภาค โครงสร้างร่างกายมนุษย์ หรือรู้อย่างไม่ถูกต้อง
แรงบันดาลใจจากกรีกโรมัน ภูมิปัญญาโบราณ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง (transformation) การทดลองใหม่ ๆ การสำรวจ (exploration) และการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ (innovation) มากมาย
ปี 1469 Lorenzo de Medici รับช่วงธุรกิจครอบครัว ธนาคารเมดิชี ที่ก่อตั้งเมื่อปี 1397 เป็นสถาบันการเงินสำคัญของยุโรป มีสาขาที่ฟลอเรนซ์ เวนิส โรม เจนัว และเมืองอื่น ๆ ในยุโรปให้กู้ยืมเงินแก่เจ้าผู้ปกครองและผู้ประกอบการ ใช้เงินส่งเสริมความงาม ความจริง ภูมิปัญญา อย่างที่บรรดาอภิมหาเศรษฐีหลายคนทำกันวันนี้ ห้องสมุดเมดิชี มีหนังสือที่สะสมไว้มากมาย อุปถัมภ์นักปราชญ์ ศิลปินอย่าง Leonardo da Vinci, Botticelli, Michelangelo และอีกมากมายหลายคน
ยุคเฟื่องฟูสุดของ Renaissance มีมิเกลลันเจโล ผู้รังสรรค์ประติมากรรมอันยอดเยี่ยมของโลก รูปแกะหลักเดวิด สูง 5 เมตร หินอ่อนก้อนเดียว หนัก 12 ตัน ทำไม่หยุด 3 ปี งานที่มีศิลปินก่อนนั้นสามคนพยายามทำแต่ไม่สำเร็จ จากนั้น 10 ปี เขาแกะสลักโมเสสบนหลุมศพของพระสันตะปาปา Paulus Julius 2 แสดงออกเหมือนเทพเจ้าพิโรธแบบกรีก ผลงานที่ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกับรูปแม่พระอุ้มพระเยซูลงจากกางเขน (Pieta’) ซึ่งตั้งอยู่ในมหาวิหารเซนต์ปิเตอร์
ยุคกลางมองร่างกายมนุษย์ในแง่ลบ ยุคเกิดใหม่ปฏิเสธแนวคิดนั้น กลับไปหารากเหง้าภูมิปัญญากรีกโรมัน คนเป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างมาตามพระฉายาของพระองค์ เกือบเหมือนพระเจ้า มีเหตุผล มีพลัง
มิเกลันเจโลเรียนรู้จากยุคโบราณ แต่ไม่เลียนแบบหรือลอกแบบ ศิลปินในยุคเกิดใหม่สร้างสรรค์สิ่งใหม่สืบทอดจิตวิญญาณเดิม แต่พัฒนารูปแบบใหม่ ใช้เทคนิกศิลปะบางส่วนของกรีกโรมัน และพัฒนาส่วนอื่นขึ้นมาเอง
Botticelli เขียนภาพ Primavera (ฤดูใบไม้ผลิ) ศิลปะที่ยอดเยี่ยมชิ้นหนึ่งของยุคเกิดใหม่ โรงเรียนแห่งเอเธนส์ของราฟาแอล โมนาลีซ่าของเลโอนาร์โด ดาวินชี สามผลงานอันยอดเยี่ยมของโลก สะท้อนให้เห็นภาพ 3 มิติที่ถูกลืมไปนับพันปี ยุคเกิดใหม่ได้กลับไปฟื้นฟูทัศนะมิตินี้ (perspective)
สถาปัตยกรรมที่งดงามของอดีตได้รับการฟื้นฟู โดมอันงดงามของ Pantheon ก็ถูกนำไปเป็นต้นแบบของโบสถ์วิหารอย่างที่ฟลอเรนซ์และที่โรม
Cosimo de Medici ผู้นำตระกูลเมดิชีสำคัญที่สุดคนแรกเป็นผู้อุปถัมภ์ศิลปะ ศิลปิน รวยสุดในยุค ทำบัญชีก้าวหน้า รายรับรายจ่าย ให้เอกสารเครดิตคนเดินทางไป “ต่างประเทศ” เหมือน traveler cheque หรือบัตรเครดิตวันนี้ ศิลปินตอบแทนเขา มีวังสวยงามมาก แต่ไม่ได้ใหญ่โตเกินไป จะเป็นที่อิจฉาของเจ้าและคนทั่วไป ใช้เงินทำบุญ สร้างโบสถ์ ส่งเสริมการเรียนรู้ ซึ่งก็ได้ผลตอบแทนที่ศิลปินทำให้ตนเองมีชื่อเสียงไปด้วย
โดนาเตลโลทำเดวิดเปลือยให้ Cosimo de Medici เป็นภาพเปลือยแรกของยุค ก่อนนั้นมีการทำลายหมด ยุคเกิดใหม่วาดภาพเปลือย โดยมองว่า คนไม่ได้มีชีวิตตามชะตากรรมและดวงดาว เขามีชีวิตและจิตวิญญาณ เป็นอินทรีย์มีองคาพยพ โดนาเตลโลได้ความรู้เรื่องโครงสร้างร่างกายคนจากตำรากายวิภาค และการผ่าศพ เช่นเดียวกับเลโอนาร์โ ดาวินชี และคนรุ่นต่อ ๆ มา
เดวิดของโดนาเตลโล สวยงาม แต่ก็สู้เดวิดของมิเกลลันเจโลไม่ได้ สูง 5 เมตร สร้าง 50 ปีหลังโดนาเตลโล นี่คือความเชื่อมั่นในตนเองของคนในยุคเกิดใหม่ ที่ค้นพบพลังของตนเองด้วยวิธีใหม่ มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก
ตระกูลเมดิชีมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองในตระกูลเมดิชีมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองในฟลอเรนซ์และอิตาลี รวมทั้งยุโรปในศตวรรษ 15-16 มีพระสันตะปาปาจากตระกูลนี้ 4 องค์ (1513-1605) มีพระราชินีของฝรั่งเศส 2 พระองค์ คือ แคธรีน เด มิดิชี (1547-1559) และมารี เด เมดิชี (1600-1610) และเป็น “เจ้าผู้ปกครอง” ฟลอเรนซ์อยู่หลายระยะ
“เสรี พพ” 5 สิงหาคม 2021