ชาวปรางค์กู่รวมตัวกันมาประชุมที่ศาลากลางหมู่บ้าน กำนันทองหลางแม้จะเป็นประธานแต่ก็นั่งเงียบ พ่อเฒ่าคำผุยทั้งที่เป็นหมอจ้ำของหมู่บ้านก็เงียบอีกคน แม่เฒ่าบัวสีกำลังพูดกระซิบกระซาบอยู่กับจันลา ไม่มีชาวบ้านคนใดแสดงความคิด แม้เวลาจะผ่านไปจนตะวันโด่งฟ้า ชาวบ้านแต่ละคนต่างก็นั่งก้มหน้าเงียบ คำหวือจึงกลายเป็นเจ้ากี้เจ้าการของการประชุมครั้งนี้
“หมู่นี้ชาวบ้านเจ็บไข้ได้ป่วยผิดสังเกต นิด ๆ หน่อย ๆ ไม่น่าตายก็ตาย” คำหวือยืนพูดกลางที่ประชุมของชาวบ้าน “ตีเกราะเรียกประชุมเช้าวันนี้ ก็เพราะมีเรื่องจะหารือ” มองไปรอบ ๆ แล้วพูดต่อ “จันลาว่าไง ถ้ามีอะไรจะพูดก็พูดได้เลย”
“เรื่องอื่นไม่มี ที่อยากจะพูดก็เรื่องผีปอบ”
“ที่ชาวบ้านมาประชุมกันก็ผีปอบนะแหละ…” คำหวือจ้องหน้ามองสบตาจันลา “เอาเป็นว่า…พวกเราเริ่มเสี่ยงทายกันเลยนะ จะได้รู้เสียที ทำไมผีปอบยังกลับมาอาละวาดอีก มา…ทุกคนเข้ามา…ได้เวลาเสี่ยงทายเซียงข้องกันแล้ว”
การเสี่ยงทายเซียงข้องตามคำพูดของคำหวือ ชาวบ้านนิยมเสี่ยงทายเพื่อหาผู้ใดเป็นผีปอบ นอกจากเสี่ยงทายหาผู้ที่เป็นผีปอบแล้ว ยังใช้เซียงข้องขับไล่ผีปอบได้อีกด้วย ในกรณีฝนไม่ตกตามฤดูกาล แล้งหนักเป็นเหตุให้ทำนาไม่ได้ ชาวบ้านก็จะเซิ้งนางแมวขอฝน ทำบุญบั้งไฟบูชาพญาแถนเพื่อไปบอกพญานาคบันดาลให้ฝนตก ถ้าฝนยังไม่ตกขั้นสุดท้ายก็ต้องอาศัยเซียงข้องขับไล่แม่แล้ง เพราะมีความเชื่อกันว่าผีแม่แล้งอยู่ที่ไหน ที่นั้นฝนไม่ตกและทำนาปลูกพืชไม่ได้ พิธีเต้าเซียงข้องจึงเพื่อขับไล่ผีปอบ รวมทั้งภูตผีปีศาจและเสนียดจัญไรทั้งหลาย การเข้าทรงเซียงข้องขับไล่แม่แล้งเพื่อให้ฝนตก ล้วนแต่ได้รับความเชื่อถือจากชาวบ้านสูงสุด
คำหวือมอบให้จันลาจัดหาเซียงข้องมาทำพิธี เหลือเจ้ยเพื่อนคู่หูของจันลาจึงมีหน้าที่ช่วยทำหุ่นเซียงข้อง เริ่มด้วยตัดกิ่งไม้เป็นง่ามมาเป็นขาของเซียงข้องแล้วมัดด้วยเชือกจนแน่น เหลือเจ้ยและชาวบ้านสองคนช่วยกันตัดกิ่งไม้ขามที่เป็นง่ามนำมาเป็นขาเซียงข้อง จากนั้นนำข้องของกำนันทองหลางมาทำเป็นหุ่น ชาวบ้านช่วยกันทำศีรษะเซียงข้องด้วยกะลามะพร้าว เหลือเจ้ยเขียนตาคิ้วจมูกและปากให้เซียงข้องดูขลัง แม่เฒ่าบัวสีนำเสื้อฝ้ายแขนยาวสีดำย้อมครามมาสวมให้กับหุ่น ก่อนประกอบพิธีเข้าทรงเซียงข้อง จันลาจัดให้ชาวบ้านชายสองคนมาจับขาเซียงข้องคนละข้าง แม่เฒ่าบัวสีเป็นผู้จัดทำขันห้า ประกอบด้วยดอกไม้ห้าคู่ เทียนห้าคู่ จัดหาเหล้าอีกหนึ่งขวด ผ้าขาวม้าหนึ่งผืน ไข่ต้มจำนวนเก้าฟอง และต้องเลือกชาวบ้านเก้าคนมาเป็นเจ้าของเพื่อเสี่ยงทาย ถ้าเซียงของบอกว่าเจ้าของไข่ต้มฟองไหนเป็นผีปอบ ผู้เป็นเจ้าของไข่ต้มจะต้องหนีออกจากหมู่บ้านโดยไม่มีข้อแก้ตัว ถ้าไม่ยินยอมชาวบ้านก็จะพร้อมกันขับไล่ แม่เฒ่าสายแนนเป็นตัวอย่างที่ชาวปรางค์กู่ทุกคนรู้ดีที่สุด
“พิธีเข้าทรงเซียงข้องเสี่ยงทายหาผีปอบ พวกเราทุกคนต้องยอมรับผลการเสี่ยงทาย” คำหวือกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วพูดต่อเสียงดัง “ถ้าเซียงข้องบอกให้รู้ผู้ใดเป็นผีปอบ ผู้นั้นต้องออกไปจากหมู่บ้าน เฒ่าแน่นเป็นตัวอย่างให้เห็นมาแล้ว ทุกคนต้องยอมรับ ห้ามปฏิเสธเด็ดขาด”
“คำหวือ หนักไปนะ” จันลาเงียบมาแต่ต้น ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองสบตาคำหวือแล้วพูดออกความเห็น “หลังจากแม่เฒ่าแนนออกไปจากหมู่บ้าน ก็ยังมีคนป่วยตาย ไปรักษาที่โรงพยาบาลในเมือง แท้ ๆ บ้างก็ยังไม่หาย ตายที่โรงพยาบาลก็หลายคน กลับมาตายที่หมู่บ้านก็หลายคน” หายใจยาวแล้วพูดต่อ “ถ้ารู้ว่าใครเป็นผีปอบ เอาเป็นว่าให้ไปรักษา ไม่ต้องขับไล่ออกจากหมู่บ้านหรอกนะ”
“ไอ้จันลา แกจะบ้ารึ” คำหวือถลึงตามองหน้าจันลา “เมียแกตายไปหยก ๆ ยังจะเข้าข้างผีปอบอีกรึ แม่ยายไอ้เหลือเจ้ยก็ตาย ก็ผีปอบเข้าสิงกินเลือดกินตับ แกไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” หันหน้าไปมองสบตาเหลือเจ้ยแล้วถามเสียงดัง “ไอ้เหลือเจ้ย พูดมา…แกมีความเห็นยังไง”
“ใครเป็นผีปอบ ต้องออกไปจากหมู่บ้าน” เหลือเจ้ยพูดเข้าข้างคำหวือ “ห้ามขัดขืนเด็ดขาด”
“เออสิวะ” คำหวือยกฝ่ามือขวาฟาดหน้าอกตัวเองดังฉาดใหญ่ “ไอ้จันลา แกเงียบเลยนะ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ทุกคนฟังให้ดี…” กวาดสายตามองชาวบ้านทุก ๆ คนแล้วสำทับพูดขึ้นอีก “ไอ้เหลือเจ้ยพูดถูกต้อง ผู้ใดเป็นผีปอบต้องไปจากหมู่บ้าน” มองไปยังกำนันทองหลางแล้วถามเสียงดัง “พ่อกำนัน มีความเห็นยังไง พูดได้เลย”
“เสียงส่วนใหญ่ว่าไง ก็ต้องเอาตามนั้น” กำนันทองหลางพูดราบเรียบ “ข้าเป็นกำนัน ก็ต้องเอาตามชาวบ้านส่วนใหญ่”
“มันจะแรงไปนะพ่อกำนัน” จันลาพูดไม่เต็มเสียง “อย่าถึงกับไล่ออกจากหมู่บ้าน”
“ไอ้จันลา แกพูดอะไรของแกวะ” คำหวือหันไปถลึงตาเข้าใส่จันลาผู้เป็นเพื่อนสนิท “แกยังจะเข้าข้างผีปอบอีกรึ”
“ไม่ต้องเถียงกันหรอกน่า” แม่เฒ่าบัวสีพูดขัดขึ้น “ตัวอย่างก็มีมาแล้ว ชาวบ้านขับไล่เฒ่าแนนออกจากหมู่บ้าน ห้ามไม่ให้เฒ่าแนนกลับเข้าหมู่บ้าน เมื่อก่อนทำยังไง วันนี้ก็ต้องทำอย่างนั้น ใครเป็นผีปอบ ห้ามอยู่ในหมู่บ้านอย่างเด็ดขาด”
“เอาเป็นว่า ตกลงตามนี้” คำหวือพูดสำทับเสียงดังเพื่อให้ชาวบ้านยึดถือร่วมกัน “ทุก ๆ คนเข้าใจตรงกันแล้วนะ ผลการเสี่ยงทายเซียงข้องเป็นยังไง ทุกคนต้องทำตาม ห้ามขัดขืนเด็ดขาด”
ชาวบ้านเงียบกริบ…
จันลาเห็นด้วยกับเสี่ยงทายหาผีปอบ แต่ไม่ถึงขับไล่ออกจากหมู่บ้าน กำนันทองหลางนั่งสูบบุหรี่ควันโขมง ถึงจะเป็นประธานในที่ประชุมของชาวบ้าน แต่ปล่อยให้คำหวือจัดการทุกอย่าง พ่อเฒ่าผุยนั่งรอเมื่อไรจะได้เวลาประกอบพิธี หมอจ้ำแห่งหมู่บ้านปิดปากเงียบ แม่เฒ่าบัวสีแม้จะเห็นด้วยกับคำหวือก็ได้แต่นั่งก้มหน้าเงียบ ทั้งกำนันทั้งชาวบ้านรู้กันอยู่เต็มอก ถึงขับไล่แม่เฒ่าสายแนนออกไปจากหมู่บ้านก็ยังมีผีปอบอาละวาดหนักกว่าเดิม เข้าสิงผู้เจ็บป่วยตายไปแล้วหลายคน ซ้ำร้ายเป็นผีปอบไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของ ถึงจะไม่เห็นด้วยกับคำหวือ แต่ก็ต้องเสี่ยงทายเซียงข้องหาเจ้าของผีปอบ
จันลาเริ่มเข้าใจการเจ็บไข้ได้ป่วยของชาวบ้าน ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการกระทำของผีปอบ ภรรยาของเขาเพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน ก่อนตายเขาพาภรรยาไปรักษาที่โรงพยาบาล หมอบอกให้รู้ถึงสาเหตุของอาการป่วยหนัก ป่วยด้วยโรคพยาธิใบไม้ในตับ เหมือนกับชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างก็ป่วยด้วยโรคนี้ทั้งนั้น ไม่ได้มาหาหมอเนื่องจากกินยากลางบ้านรักษากันเอง พยาธิใบไม้ในตับจึงกำเริบขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนจันลาเข้าใจภรรยาป่วยเพราะอำนาจของผีปอบ เมื่อเข้าใจเหตุผลตามที่หมอบอกให้รู้ จึงไม่เห็นด้วยกับการขับไล่ผีปอบออกจากหมู่บ้าน ทางเดียวที่จะรอดตายได้ต้องไปรักษาที่โรงพยาบาล ลึก ๆ ในใจเขาเริ่มเห็นความผิดพลาด โดยเฉพาะการขับไล่แม่เฒ่าสายแนนออกจากหมู่บ้านด้วยข้อกล่าวหาเป็นผีปอบ เขาเองมีส่วนผิดอย่างมาก เพราะเป็นตัวตั้งตัวดีด้วยความเชื่อที่ฝังหัวมานาน แต่จันลาก็ยอมรับยังมีชาวบ้านหลายคนที่ยังเชื่อเรื่องผีปอบอย่างฝังหัวฝังใจ และเห็นว่าที่ชาวบ้านตายไปทีละคนสองคนก็เพราะผีปอบอาละวาดทำให้ตาย เขาเพียงคนเดียวหูตาสว่างขึ้น แต่ก็ช่วยอะไรได้ไม่มากไปกว่าเงียบ
พ่อเฒ่าคำผุยบอกให้ทุกคนเงียบ จากนั้นเริ่มประกอบพิธีเข้าทรงเซียงข้อง จุดเทียนสองเล่มตั้งไว้บนจานเปล่าคู่กัน นับไข่ต้มเก้าฟองที่วางอยู่ในชามเพื่อแน่ใจว่าครบ ต่อจากนั้นก็กล่าวนโมสามจบ ต่อด้วยกล่าวขอขมาเจ้าที่เจ้าทาง บอกความประสงค์ของชาวบ้านที่พร้อมใจกันเข้าทรงเซียงข้องขับไล่ผีปอบ ก่อนจะขับไล่ผีปอบออกจากหมู่บ้าน ขอทำพิธีเสี่ยงทายเสียก่อน
“ลูก ๆ หลาน ๆ ชาวบ้านทุกคนฟังเอาไว้” พ่อเฒ่าคำผุยพูดเสียงหนักแน่น “ต่อไปนี้ จะอัญเชิญเทพเจ้า เหล่าเทวดาลงมาเข้าทรงเซียงข้อง ขอให้เลือกเอาผู้ที่ถูกสงสัยว่าเป็นผีปอบมาเก้าคน แต่ละคนมาเลือกไข่ต้มคนละฟอง ขอมอบให้จันลาเขียนชื่อเจ้าของไว้บนไข่ต้ม จากนั้นนำไปซุกซ่อนให้มิดชิด ห้ามมิให้ผู้ใดเห็นเด็ดขาด พ่อจะให้เซียงข้องตามหาไข่ต้มจนพบ หลังจากพบไข่ต้มแล้ว…เซียงข้องก็ต้องตามหาผู้เป็นเจ้าของไข่ต้มให้พบ” มองหน้ากำนันทองหลาง ผละสายตาไปมองหน้าจันลาและเหลือเจ้ย หายใจลึกยาวแล้วพูดต่อ “ผู้ใดเป็นเจ้าของไข่ต้ม ผู้นั้นเป็นผีปอบ ต้องออกไปจากหมู่บ้าน”
สิ้นเสียงพูดของพ่อเฒ่าจ้ำคำผุย เสียงอีการ้องดังโหยหวนอยู่บนยอดไผ่ ชาวบ้านฟังแล้วขนหัวลุก หมาเห่าเกรียวกราวตามด้วยเสียงหอนรับช่วงกันเป็นทอด ๆ ยอดไผ่สะบัดไหวตามแรงลมลู่เอนไปมา ใบไผ่แห้งร่วงพรู ๆ ลงสู่ดิน หลังจากเสียงหมาเห่าหอนเงียบหาย พ่อเฒ่าคำผุยพูดต่อเสียงดัง
“พ่อกำนัน ในฐานะประธานในที่ประชุมชาวบ้าน ขอให้พ่อกำนันเลือกชาวบ้านมาเก้าคน แต่ละคนมาเลือกไข่ต้มคนละฟอง เอาไปมอบให้จันลาเขียนชื่อผู้เป็นเจ้าของ จากนั้น…ให้จันลานำไปซุกซ่อนอย่าให้ผู้ใดรู้เห็นเป็นอันขาด” ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมไปทั่วบริเวณแล้วพูตต่อ “คำหวือ เลือกผู้ชายมาสองคน ทั้งสองคนนั้นเป็นม้าทรง มาจับขาเซียงข้องในพิธีเสี่ยงทาย”
คำหวือเรียกชายชาวบ้านสองคนไปทำหน้าที่จับขาเซียงข้อง ตัวเองเดินไปเลือกไข่ต้มฟองหนึ่งแล้วส่งให้จันลา ตามด้วยเหลือเจ้ยและแม่เฒ่าบัวสี และชาวบ้านที่คำหวือเห็นว่าน่าจะเป็นผีปอบ แต่ละคนถูกนำมาให้เลือกเป็นเจ้าของไข่ต้ม จากนั้นแต่ละคนได้ส่งไข่ต้มให้จันลา เมื่อได้เจ้าของไข่ต้มครบเก้าคน จันลาได้แยกไข่ต้มแต่ละฟองไปซุกซ่อนในที่มิดชิด คำหวือขึงขังจริงจังมากกว่าใคร แม้แต่กำนันทองหลางก็ต้องเปิดทางให้เขาดำเนินการทุกอย่าง ในใจเขาคิดแต่เพียงหาเจ้าของผีปอบให้พบ จากนั้นก็ขับไล่ให้ออกไปจากหมู่บ้าน จึงไม่มีผู้ใดเห็นต่างไปจากเขา แม้จะเห็นต่างอยู่บ้างแต่ก็เงียบ
พ่อเฒ่าคำผุยเอามือสองข้างปิดบังลมที่พัดผ่าน เพื่อไม่ให้ไฟที่เปลวเทียนดับลง มองซ้ายมองขวาแล้วประณมมือขึ้นกล่าวบทสัคเคเสียงดังกังวานได้ยินไปทั่ว ชาวบ้านได้ยินแล้วเงียบ เพราะนับแต่นี้ไปเป็นเวลาที่ฝูงเทพเหล่าเทวามาเข้าทรงเซียงข้อง เมื่อกล่าวสัคเคอัญเชิญเทวดาจบลง ชายชาวบ้านสองคนที่เป็นม้าทรงจับขาเซียงข้องในพิธีเสี่ยงทาย เริ่มมีอาการร่างสั่นแล้วออกแรงเหวี่ยงเซียงข้องไปมา พ่อเฒ่าคำผุยพูดเสียงดังขึ้นอีก
“ถ้าท่านท้าวลงมาแล้ว ขอให้แสดงอิทธิฤทธิ์ แสดงอภินิหาร ให้ลูกหลานชาวบ้านทุกคนได้เห็น ขอให้เซียงข้องเหวี่ยงไปมาแรง ๆ เหวี่ยงอีกรอบ…เหวี่ยงแรง ๆ …อีกหลาย ๆ รอบ”
ชาวบ้านทั้งสองคนจับขาเซียงข้องเหวี่ยงไปมาอย่างแรง จากชาวบ้านแตกฮือเข้ามารุมดู คำหวือไล่ทุกคนให้กลับไปนั่งที่เดิม พ่อเฒ่าคำผุยรินเหล้าใส่แก้ว จากนั้นเทราดลงไปที่ปากเซียงข้อง บอกให้แสดงอิทธิฤทธิ์อีกครั้งด้วยการเหวี่ยงแรง ๆ ม้าทรงทั้งสองคนลุกขึ้นยืนพร้อมกัน ออกแรงเหวี่ยงเซียงข้องวนไปรอบ ๆ เหวี่ยงแต่ละครั้งแรงขึ้นเรื่อย ๆ พ่อเฒ่าเรียกให้กลับมาที่เดิม รินเหล้าใส่แก้วอีกครั้ง จากนั้นก็เทราดลงไปที่ปากเซียงข้อง สั่งให้ออกแรงเหวี่ยงไปมาอย่างแรงอีกรอบ เซียงข้องเหวี่ยงตามคำสั่งพ่อเฒ่าจนม้าทรงทั้งสองคนหงายล้ม ต่อจากนั้นพ่อเฒ่าคำผุยสั่งให้หยุดเหวี่ยงแล้วออกคำสั่ง
“ลูกหลานได้เห็นฤทธิ์เห็นเดช ทุก ๆ คนได้ชื่นชมอภินิหาร นับเป็นบุญวาสนา เสวยเหล้าทิพย์แล้วอย่าเมาแรง ต่อไปท่านท้าว…ต้องไปหาไข่ต้มที่หล่นหายไม่รู้ที่ซุกซ่อน หาพบแล้วนำมาคืนให้ลูกหลานที่เป็นเจ้าของ จากนั้นก็จะได้เสวยเหล้าทิพย์ ท่านท้าวจะได้สนุกสนาน…ไปได้แล้ว…ไปค้นหาไข่ต้ม…แล้วนำมาคืนให้ลูกหลานที่เป็นเจ้าของ ไป…ไปเดี๋ยวนี้…”
เซียงข้องเหวี่ยงช้า ๆ จากนั้นก็แรงขึ้นเรื่อย ๆ ม้าทรงทั้งสองคนทำหน้าที่จับขาเซียงข้อง เหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวา ต่อจากนั้นออกจากลานประชุมของชาวบ้าน เซียงข้องเหวี่ยงแรงขึ้นตามลำดับ ม้าทรงทั้งสองต้องออกแรงวิ่งตามแรงเหวี่ยง วิ่งลัดเลาะไปตามริมรั้วบ้านเรือนแต่ละหลัง บางจุดหยุดเหวี่ยงซ้ำอยู่กับที่ ชาวบ้านที่วิ่งตามกันไปฝูงใหญ่ต่างก็ทำหน้าที่ค้นหาไข่ต้ม หลังจากพบไข่ต้มในที่ซุกซ่อนแต่ละจุด แล้วม้าทรงทั้งสองวิ่งไปตามแรงเหวี่ยงของเซียงข้องเรื่อย ๆ กระทั่งพบไข่ต้มทั้งเก้าฟองจึงวิ่งกลับที่เดิม เซียงข้องนำไข่ต้มไปคืนเจ้าของจนครบทั้งเก้าคน ชาวบ้านจึงฮือเข้ามารุมดูด้วยเชื่อในปาฏิหาริย์ จากนั้นพ่อเฒ่าคำผุยได้ประกาศขึ้นเสียงดัง
“ลูกหลานได้เห็นอิทธิฤทธิ์ อภินิหาร ในการเสี่ยงทายของท่านท้าวกันแล้ว” รินเหล้าให้แก้วแล้วเทราดตรงปากของเซียงข้อง “ลูกหลานขอถวายน้ำจัณฑ์ น้ำทิพย์ เพื่อบูชาบุญคุณของท่านท้าว อีกต่อไป…เป็นการเสี่ยงทายหาผู้เป็นผีปอบ ขอให้ท่านท้าวจับให้มั่น คั้นให้ตาย อย่าคลายอย่าปล่อย ใคร…ผู้ใด…เป็นผีปอบ ก่อกรรมทำชั่ว เบียดเบียนทำร้ายลูกหลานในหมู่บ้าน ขอให้ท่านท้าวเอาตัวมันมา…ไปเอาตัวมันมา…”
ม้าทรงทั้งสองเหวี่ยงเซียงข้องไปหน้าไปหลัง แรงขึ้นเรื่อย ๆ จากช้า ๆ เพิ่มความแรงและเร็วขึ้นตามลำดับ ชาวบ้านต่างก็นั่งก้มหน้าเงียบ เพราะถ้าม้าทรงเหวี่ยงเซียงข้องเข้าไปหาผู้ใด เหวี่ยงวนไปรอบ ๆ ไม่ยอมให้หนีได้ ผู้นั้นก็จะเป็นผีปอบจากการเสี่ยงทาย
ทันใดนั้น…
หมาเห่าเสียงขรมได้ยินไปทั่ว หอนรับช่วงเป็นทอด ๆ ขึ้นอีก เสียงอีการ้องกา ๆ อยู่ไกล ดังกังวานใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จู่ ๆ ลมก็พัดวูบวาบไปมา ใบไผ่แห้งร่วงเกรียวกราวลงสู่ดิน ม้าทรงทั้งสองคนยังคงเหวี่ยงเซียงข้องไปรอบ ๆ เหมือนจะค้นหาผีปอบหลบซ่อนอยู่ที่ไหน ในที่สุดก็ตรงดิ่งเข้าหาคำหวือ พอไปถึงก็ทวีแรงเหวี่ยงมากขึ้นกว่าเดิม ม้าทรงทั้งสองคนกระชับจับขาเซียงข้องแน่น จากนั้นก็ออกแรงเหวี่ยงวนไปรอบ ๆ คำหวือ ชาวบ้านแต่ละคนต่างก็ตกตะลึง กำนันทองหลางถึงกับนั่งอึ้งแทบไม่หายใจ จันลาเบิกตากว้างด้วยไม่คาดคิด เพราะเซียงข้องกำลังบอกให้รู้ว่าคำหวือเป็นผีปอบ แรงเหวี่ยงซ้ายขวาของเซียงข้องถึงกับทำให้ม้าทรงทั้งสองคนเสียหลัก พ่อเฒ่าคำผุยเห็นแล้วได้แน่ก้มหน้านิ่ง แม้เวลาจะผ่านไปนาน เซียงข้องก็ยังเหวี่ยงซ้ายขวาวนไปรอบ ๆ คำหวือที่ยืนหน้าซีดเงียบกริบ
“พอก่อนท่านท้าว” พ่อเฒ่าคำผุยพูดเสียงต่ำในลำคอ “น่ากลัวว่า…ท่านท้าวเสี่ยงทายผิดคน หรือไม่ก็คงจะ…ด้วยฤทธิ์อำนาจน้ำจัณฑ์ น้ำทิพย์ แค่ครึ่งจอกครึ่งถ้วย ท่านท้าวก็เสี่ยงทายผิดคน เอาเป็นว่า…ท่านท้าวต้องเสี่ยงทายหาผีปอบอีกครั้ง อย่าให้ผิดตัว บอกมาให้แน่ ๆ…ใคร…ผู้ใด…เป็นผีปอบ”
พ่อเฒ่าคำผุยบอกให้คำหวือไปนั่งปะปนชาวบ้านสี่ห้าคน แต่ละคนคลุมด้วยผ้าขาวจนมิด ไม่มีทางรู้ได้เป็นใคร ม้าทรงทั้งสองคนก็ไม่รู้ จันลาพร้อมด้วยเหลือเจ้ยปกปิดเป็นความลับ ทำให้มิดชิดมากที่สุด เพื่อเสี่ยงทายเป็นครั้งสุดท้าย คำหวือแม้จะฮึดฮัดแต่ก็เงียบ จากที่พูดเสียงดังกลายเป็นไม่พูด พ่อเฒ่าคำผุยสั่งให้ทำอะไรและทำอย่างไร คำหวือรีบทำตามทันที
“ท่านท้าว ต่อไปนี้…เป็นการเสี่ยงทายครั้งสุดท้าย” พ่อเฒ่าคำผุยพูดหนักแน่นจริงจัง “ลูกหลานให้คนที่สงสัยเป็นผีปอบ แต่ละคนนั่งแล้วคลุมด้วยผ้าขาว ถ้าใคร…ผู้ใด…เป็นผีปอบ ขอให้ท่านท้าวไปเอาตัวมันมา” น้ำเสียงจากเบา ๆ ดังกังวานขึ้นเรื่อย ๆ “ไปเอาผู้ที่เป็นผีปอบมา อย่าให้ผิดตัว ไปเอามาเดี๋ยวนี้..ไป…ไปเอาตัวผีปอบมา…”
ชาวบ้านยืนขึ้นแทบจะพร้อมกัน ชาวบ้านที่นั่งคลุมร่างจนมิดด้วยผ้าขาว ในจำนวนนั้นมีคำหวือนั่งปะปนอยู่ด้วย แต่ละคนต่างก็สงสัยเซียงข้องจะเสี่ยงทายครั้งสุดท้ายอย่างไร ใครเป็นผีปอบขึ้นอยู่กับการตัดสินของท่านท้าวในร่างของเซียงข้อง การเสี่ยงทายที่ผ่านมาคำหวือเป็นผีปอบ ตลอดเวลาที่ผ่านคำหวือไม่เคยเข้าข้างผีปอบ เขาเป็นตัวตั้งตัวตีขับไล่ผีปอบออกไปจากหมู่บ้าน จึงแทบไม่มีชาวบ้านคนใดเชื่อตามท่านท้าว ไม่เชื่อแต่ไม่กล้าคัดค้าน ลึก ๆ ในใจต่างก็ยอมรับการเสี่ยงทาย ยิ่งคำหวือบอกใครต่อใครผีปอบที่อาละวาดในหมู่บ้าน เป็นผีปอบที่ดุร้ายแฝงตัวเข้าสิงคนป่วยจนถึงตาย จำเป็นต้องขับผีปอบออกไปจากหมู่บ้านให้เร็วที่สุด
“ท่านท้าว ไปเอาตัวผีปอบมาเดี๋ยวนี้ มันเป็นใคร ผู้ใด เอามาอย่าให้ผิดตัว”
สิ้นคำพูดเสียงดังของพ่อเฒ่าคำผุย ม้าทรงทั้งสองคนถึงกับคะมำไปด้วยแรงเหวี่ยงของเซียงข้อง จากนั้นก็ตรงดิ่งไปที่ใต้ร่มไผ่ คำหวือนั่งเงียบในผ้าคลุมสีขาวปะปนอยู่ในกลุ่มชาวบ้าน ม้าทรงเหวี่ยงเซียงข้องวนไปรอบ ๆ เหมือนกำลังค้นหาผีปอบ หยุดยืนข้าง ๆ เจ้าของร่างที่นั่งในผ้าห่มสีขาวคนหนึ่ง จากนั้นก็เหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวา เหวี่ยงวนไปรอบ ๆ เจ้าของร่างในผ้าห่มสีขาว ม้าทรงทั้งสองหยุดยืนเหวี่ยงเซียงข้องอยู่กับที่ เหวี่ยงอยู่ต่อหน้าเจ้าของร่างในผ้าห่มสีขาว ทั้งสองม้าทรงยืนเหวี่ยงอยู่กับที่ไม่ยอมวนหนีไปที่ไหนอีก แสดงให้รู้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างในผ้าสีขาวเป็นผีปอบ พ่อเฒ่าคำผุยจึงบอกให้กำนันทองหลางเป็นคนเปิดผ้า จันลาพร้อมด้วยเหลือเจ้ยและแม่เฒ่าบัวสีเป็นพยาน ชาวบ้านทุกคนฮือเข้ามายืนมุงดู กำนันทองหลางเปิดผ้าขาวขึ้นช้า ๆ กระชากผ้าออกทั้งผืน สายตาทุกคู่มองเห็นเป็นคำหวือ กำนันทองหลางถึงกับยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ พ่อเฒ่าคำผุยตกตะลึงไม่คาดคิด จันลาและเหลือเจ้ยยืนทำตาปริบ ๆ แม่เฒ่าบัวสีและชาวบ้านตกอยู่ในความเงียบ หลังจากการเสี่ยงทายเซียงข้องสิ้นสุดลง คำหวือกลายเป็นผีปอบในชั่วพริบตา
คำหวือค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน มองสบตาพ่อเฒ่าคำผุย จากนั้นถลึงตามองม้าทรงเซียงข้องทั้งสองคน ริมฝีปากขมุบขมิบเหมือนจะพูดแต่เงียบ จันลาเดินเข้ามาหาพร้อมกับประคองคำหวือให้เดินออกไป กำนันทองหลางได้แต่ชะเง้อมองตาม เหลือเจ้ยยืนอยู่ ข้าง ๆ แม่เฒ่าบัวสี ชาวบ้านต่างก็ทยอยกลับ แม้แต่ม้าทรงทั้งสองคนก็เหวี่ยงเซียงข้องกลับไปเงียบ ๆ
“คำหวือ แกไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” จันลาตบไหล่คำหวือเบา ๆ แล้วพูดต่อ “กลับบ้านซะก่อน มีอะไรค่อยพูดกันทีหลัง เถิดน่า…แกกลับไปพร้อมกับข้าเดี๋ยวนี้”
คำหวือเดินตามจันลากลับบ้านอย่างเงียบหงอย เสียงยอดไผ่ไหวลมผสมเสียงอีการ้องดังห่างไกลออกไป ชาวบ้านบางคนจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่ริมทาง แต่ละคนต่างก็ก้มหน้าเมื่อคำหวือเดินผ่าน แม้แต่เหลือเจ้ยก็ไม่เห็นแม้เงา หมู่บ้านปรางค์กู่ขณะนี้ นอกจากเสียงหมาหอนรับช่วงกันเป็นทอด ๆ มีเพียงเสียงไก่เท่านั้นส่งเสียงขันแว่วดังมากับสายลม
“จันลา ข้าเป็นผีปอบ แกเชื่อรึเปล่า” คำหวือถามขึ้นหลังจากเงียบไปนาน “บอกข้ามา แกเชื่อหรือไม่เชื่อ ที่เซียงข้องเสี่ยงทายข้าเป็นผีปอบ”
“ก็บอกแล้วไง มีอะไรเอาไว้พูดกันทีหลัง” จันลาพูดพลางประคองคำหวือเดินกลับบ้าน “ค่อยคิดค่อยอ่านกัน มันก็แค่เซียงข้องเสี่ยงทาย”
“แต่…”
“เถิดน่า…” จันลาลากเสียงปราม “กำลังจะถึงบ้านอยู่แล้ว แกอย่าพูดอะไรทั้งนั้น”
ทั้งที่เดินกลับบ้านตัวเอง คำหวือเป็นฝ่ายเดินตามจันลาไปอย่างเงียบเชียบ แต่ละก้าวเชื่องช้าแทบไม่มีแรงจะเดิน บางครั้งจันลาต้องเข้ามาช่วยประคองจึงทรงตัวอยู่ได้ ในด้านของจิตใจแล้ว คำหวือผิดหวังอย่างปวดร้าว มันเป็นไปได้อย่างไร เขาเป็นตัวตั้งตัวตีขับไล่ผีปอบ แต่ต้องเป็นผีปอบเสียเอง แน่นอนต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลังในครั้งนี้ บางทีชาวบ้านสองคนที่เป็นม้าทรงคงจะเล่นไม่ซื่อ สุมหัวกับพ่อเฒ่าคำผุยหาทางขับไล่เขาออกจากหมู่บ้าน ไม่เคยเรียนวิชาคาถาอาคมใด ๆ มาก่อน แม้ในปัจจุบันก็ไม่เคยคิดจะเอาดีทางไสยเวทย์ ในปรางค์กู่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงทุกอย่าง จึงเป็นไปไม่ได้ที่จู่ ๆ ก็กลายมาเป็นผีปอบ
มืดค่ำมากแล้ว…
จันลากลับไปแล้วตั้งนาน คำหวือเท่านั้นอยู่บนบ้านคนเดียว คืนนี้เดือนมืดแทบไม่มีดาวระยิบแสงให้เห็น ยิ่งคิดถึงพิธีเสียงทายเซียงข้องที่ผ่านไปตอนกลางวัน คำหวือก็ยิ่งสะทกสะท้านปวดใจ เขาจะปฏิเสธอย่างไรในเมื่อผลของการเสี่ยงทายเขากลายเป็นผีปอบเสียเอง เมื่ออยู่คนเดียวท่ามกลางความมืดของคืนวันแรมสิบห้าค่ำ ความคิดกระเจิดกระเจิงไปไกล ในที่สุดก็ย้อนคิดถึงแม่เฒ่าสายแนน เขาเป็นตัวตั้งตัวตีขับไล่แม่เฒ่าออกจากหมู่บ้านด้วยข้อกล่าวหาเป็นผีปอบ แม่เฒ่าปฏิเสธไม่ยอมรับข้อกล่าวหา ยืนกรานตลอดเวลาว่าตัวเองไม่ได้เป็นผีปอบ บุญเพ็งเพื่อนรักก็ขอร้องอย่าให้ถึงขับไม่แม่เฒ่าออกจากหมู่บ้าน เขาไม่ยอมรับเหตุผล ใด ๆ เขาจำได้ดีคืนนั้นแม่เฒ่าถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้านก่อนฟ้าสาง
พิธีเสี่ยงทายเซียงข้องหาตัวผู้ที่เป็นผีปอบ นอกจากเขาแล้วไม่มีผู้ใดเป็นตัวตั้งตัวตี แถมยังประกาศกลางที่ประชุมชาวบ้าน ผู้ใดเป็นผีปอบต้องออกจากหมู่บ้านโดยห้ามขัดขืนอย่างเด็ดขาด
คำหวือคิดไม่ตกจะทำอย่างไร เมื่อตัวเองกลายเป็นผีปอบ ปฏิเสธไม่ยอมรับการเสี่ยงทายเซียงข้อง หรือจะปล่อยให้เวลาผ่านไปเงียบ ๆ อีกไม่นานชาวบ้านก็คงลืม คิดแล้วคิดอีกทีคงทำไม่ได้ เพราะตัวเองประกาศต่อหน้าชาวบ้านไปแล้ว ถ้าผู้ใดหรือใครเป็นผีปอบต้องออกไปจากหมู่บ้าน ห้ามปฏิเสธอย่างเด็ดขาดเมื่อเหตุการณ์กลับตาลปัตรตัวเองกลายเป็นผีปอบ คืนนี้ก็ต้องออกจากปรางค์กู่ก่อนฟ้าสาง คิดไม่ตกถ้าหนีออกไปจากปรางค์กู่จะไปอยู่ที่ไหน และใช้ชีวิตอย่างไร เพื่อให้จิตใจสงบไม่วิตกกังวลฟุ้งซ่านจึงตัดสินใจเข้านอน หลังจากเข้านอนแม้จะข่มตาหลับก็หลับไม่ลง ตาสองข้างแข็งสมองว้าวุ่นในความมืดจึงได้แต่กระสับกระส่ายพลิกหงายไปมา
คงจะเลยเที่ยงคืนไปแล้ว เสียงนกเค้าแมวร้องอยู่ในความมืด ตามด้วยเสียงนกฮูกแว่วอยู่ไกลกังวานใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ใบไผ่แห้งหล่นลงบนหลังคาบ้านดังกรอบแกรบ น้ำค้างหล่นจากใบมะม่วงลงสู่ดินดังป๊อกแป๊ก หมาหอนรับช่วงกันเป็นทอด ๆ สำหรับคำหวือแล้ว คืนนี้ช่างวังเวงต่างจากทุกคืนที่ผ่านมา
และทันใดนั้น…
แม้จะดึกดื่นเลยเที่ยงคืนไปแล้ว คำหวือได้ยินเสียงโห่ร้องของชาวบ้านดังลั่น เขาจำเสียงตะโกนของบางคนได้ดี เหลือเจ้ยเป็นผู้ตะโกนขึ้นก่อน ต่อจากนั้นชาวบ้านเปล่งเสียงตะโกนตาม เสียงตีเกราะเคาะไม้ระคนเสียงฆ้องกลองดังกระหึ่มใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ทำให้ย้อนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อเขาและชาวบ้านขับไล่แม่เฒ่าสายแนน เหตุการณ์คืนนั้นผ่านไปแล้วหลายปี แต่คืนนี้มันกำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเอง จึงรวบรวมความกล้าผุดลุกขึ้นยืน เดินฝ่าความมืดจากห้องนอนไปยืนที่ระเบียงบ้าน คืนนี้เป็นคืนวันแรมสิบห้าค่ำ มองไปทางไหนก็มืดมิดไปเสียหมด
คำหวือได้ยินเสียงโห่ร้องดังลั่นหมู่บ้านใกล้เข้ามา ได้ยินเสียงตะโกนด่าและขับไล่ให้เขาออกจากหมู่บ้านก่อนฟ้าสาง เสียงล้งเล้งอยู่ไกลแต่ใกล้เข้ามาทุกขณะ เขาหายใจลึก ๆ ตัดสินใจเด็ดขาด ก้าวลงบันไดบ้านช้า ๆ แล้วเดินหายไปในความมืด