วันที่ลงจากเตียงผิดด้าน
ทางอีศาน ฉบับที่ ๑๓ ปีที่ ๒ เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖
คอลัมน์: หลงฮอยอีสาน
Column: Passion of E-shann Culture Trail
ผู้เขียน: นัทธ์หทัย วนาเฉลิม : เรื่องและภาพ
When a person has died, every funeral processes is meaningful in itself, in both secular society and religious side. Monks would come to chant “Bun-su-gun” to the deceased, before their body would be brought into coffin; the secular society believes that the deceased would receive good merit, whereas the religious side believes that this process has implicit meanings to remind about mortality and lead cousins and friends of the deceased to observe the five Buddhist precepts.
While the deceased body was carrying out from home to temple, people would throw rice and popped rice along the way. Secular society believes that there are ghosts going along with the cortege by sitting together with the coffin, so that the ghosts could eat the rice and popped rice easily. But on religious side the rice means that it has no usable seed in it and could not be used for regrowing, such as our lives could not be able to regret also.
Popped rice that people threw along with the cortege, made by roasting rice, attracted the ghosts to come down from the coffin and eat the popped rice, so that the coffin would get lighter weight and easier to carry. Religious meaning of this process is to compare that the body of the deceased would be exploded, like the popped rice that at first look beautiful but later would be broken and rotten.
In religious concept, flame of cremation fire refers to Ra-ka (lust) Tho-sa (wrath) and Mo-ha (delusion) in oneself, so all of us have to remind ourselves all the time. If those fi re burn up from inside, it could burn out yourself and other people.
เช้าวันนี้ลุกจากเตียงด้วยความรู้สึกที่ยากบรรยายว่าแจ่มใสหรือพื้นเสีย เป็นความซึมเซาอย่างไม่เคยปรากฏ เหมือนเป็นลางสังหรณ์ว่าอาจเกิดเหตุการณ์อะไรบางอย่าง แม่เรียกสาเหตุของอาการเช่นนี้ว่า
—‘ลงจากเตียงผิดด้าน’—
ฉวยเอานวนิยายติดมือไปทำงานด้วยหวังใจให้สร้างความเพลิดเพลินในสวนอักษร หากแต่บรรดาตัวอักษรเหล่านั้นยังไม่ทันได้ทำหน้าที่ของมันโดยสมบูรณ์ กลับถูกขัดจังหวะจากหนุ่มน้อยรูปหน้าตามสมัยนิยม ไร้โหนกแก้มตามลักษณะชาติพันธุ์พื้นถิ่น
“หมอฮะ เมื่อเช้าสงสัยลีโอมันจะโดนยางคางคกฮะ เห็นน้ำลายยืด ๆ” ผู้มาขัดจังหวะระบุสาเหตุที่ต้องการมารับไปรักษานอกสถานที่
“มีอาการอื่น ๆ อีกไหม” ฉันถาม
“เหมือนมันสั่น ๆ เกร็ง ๆ ” เด็กหนุ่มตอบด้วยทีท่าสบาย ๆ
คุณพระ ! นั่นมันเป็นอาการถูกพิษจากยาฆ่าแมลงในกลุ่มออร์แกโนฟอสเฟต ฉันรีบคว้าล่วมยาฉุกเฉินตามออกไป นึกฉิวท่าทางไม่อนาทรร้อนใจของเจ้าของสัตว์ จนต้องเตือนให้ช่วยบิดคันเร่งให้เร็วกว่านี้ ไม่ว่าจะโดยความไม่รู้หรือไม่ก็ตาม มันกำลังทำให้ฉันหงุดหงิดแทบปรอทแตก !
เจ้าสุนัขพิตบูล หัวใหญ่ หน้าทะเล้น ที่มักโถมเข้ามาชวนเล่นราวตอร์ปิโดทุกคราวที่พบกัน บัดนี้ตาเหลือกลาน ขาทั้งสี่ข้างเหยียดเกร็ง น้ำลายฟูมปาก นี่มันอดทนต่อฤทธิ์ของยาพิษนั่นตั้งแต่เช้าเชียวหรือ ภาพนั้นทำให้หัวใจฉันกระตุกวูบ
ที่หัวตาไม่มีการกะพริบตอบสนองเมื่อยามเคาะ เสียงจังหวะการทำงานของหัวใจเต้นพลิ้วระรัวเป็นสัญญาณว่าพร้อมจะยุติการทำงานภายใน ๒-๓ นาทีข้างหน้า หลอดเลือดจมหายไปกับกล้ามเนื้อจนยากที่จะควานขึ้นมา ต่อให้เป็นหมอเทวดาก็คงยากที่จะยื้อไว้
เข็มเบอร์ ๑๘ ถูกนำมาใช้ต่างมีดผ่าตัด กรีดเปิดกล้ามเนื้อขาหน้าแล้วสอดเข็มน้ำเกลือลงไปที่หลอดเลือดโดยตรง ฉันเดินยารักษาชีวิตไปตามท่อน้ำเกลือนั้น ไม่มีเวลาแล้ว ฉันพยายามบังคับมืออันสั่นเทา ไม่มีเวลาแล้ว ไม่มีเวลาแล้วจริง ๆ ลีโอจากไปแล้ว ฉันลูบหัวมันเบา ๆ เพื่อบอกลา เด็กหนุ่มเหลือบมองหน้าฉันแล้วน้ำตาคลอคล้ายตัดพ้อและคล้ายตำหนิ แต่ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยของผู้รักษาไม่มีใครรู้เลยว่าบาดแผลอีกหนึ่งรอยนั้นสร้างความปวดร้าวเพียงใด
………
ชีวิตภาคเช้าจบลงพร้อมกับข้าวราดแกงมื้อเที่ยง อาการซึมเซายังไม่หมดไป คาดว่าหลีกหนีจากโลกแห่งความจริงด้วยการนอนพักสักงีบคงจะดีขึ้น พอดีมีเสียงรถมาจอดหน้าร้าน
“ฉันระบายลมหายใจ เฮ้อ ! โดนขัดจังหวะทุกทีสิน่า”
“หมอ มื่อบ่าย อย่าลืมไปงานเผาศพพี่ต้นเด้อ” สตรีในอาภรณ์สีดำจับมือของฉันไว้ด้วยสีหน้าหม่นไหม้ เกิดหลุมอากาศขึ้นระหว่างเรา ฉันกระชับมือเธอเบา ๆ พลางพยักหน้าอย่างซึมเซาแทนคำตอบ
‘คุณต้น’ เป็นพี่สาวของลูกค้าที่ให้ความสนิทสนมกับคลินิก ฉันพบเธอเพียงครั้งแรกและครั้งเดียวแต่ความนิยมในน้ำใจที่เธอแสดงออกมายังติดอยู่ในใจเสมอ
ในวันนั้นฉันมีผ่าตัดเล็ก ๆ ‘เลือดคั่งที่ใบหู’ ให้กับสุนัขตัวใหญ่ยักษ์ที่บ้านของเธอ เนื่องจากไม่สะดวกที่จะพามา ด้วยเจ้าของตัวจริงไม่อยู่ และเนื่องจากเจ้าของตัวจริงไม่อยู่จึงเป็นเหตุให้เธอต้องมาอำนวยความสะดวกแก่ฉันอยู่เนือง ๆ
แม้จะกลัวเลือดสุดใจแต่เธอก็ยังสู้อุตส่าห์มาถามฉันอยู่บ่อยครั้งว่าต้องการให้ช่วยเหลืออะไรไหม กระทั่งเธอกลายเป็นผู้ช่วยในงานผ่าตัดครั้งนั้นไปโดยปริยาย แม้ดวงหน้าจะซีดขาวราวกระดาษหากก็ยังยืนยันที่จะช่วยจนการผ่าตัดนั้นลุล่วง สำหรับบางคนอาจคิดว่านี่เป็นเรื่องเพียงเล็กน้อย แต่สำหรับบางคนสิ่งเล็กน้อยนี่เองที่กลายเป็นความประทับใจอันมีค่าควรจดจำ
เมื่อมีการตาย ขั้นตอนต่าง ๆ ในพิธีล้วนมีความหมายทั้งคติทางโลกและคติธรรม เมื่อเสียชีวิตใหม่ ๆ ก่อนนำร่างเข้าโลงมีการนิมนต์พระสงฆ์มาสวดมาติกาบังสุกุลเสียก่อน ทางโลกก็ว่าให้ผู้ตายได้รับส่วนบุญ ทางธรรมเป็นนัยยะว่าให้คนเป็นได้รักษาศีลไปตลอด เป็นการเตือนให้พึงระลึกถึงความตาย
ช่วงหามศพออกจากบ้านจะมีการโปรยข้าวสารหว่านข้าวตอกแตก ในการโปรยข้าวสารนั้นทางโลกเชื่อว่ามีผีมาช่วยแห่มานั่งคานที่คนหามอยู่ การหว่านข้าวสารเพื่อหวังผลให้ผีพรายลงมาเก็บกินเพื่อเปิดทางให้สะดวก ในทางธรรมกล่าวไว้ว่าข้าวสารเหลือแต่แก่นไม่สามารถที่จะนำไปปลูกได้อีก เฉกเช่นตายแล้วไม่สามารถหวนกลับคืนได้
ส่วนข้าวเปลือกที่มาคั่วกลายเป็นข้าวตอกแตกโปรยปรายตามทาง ให้พวกผีพรายลงมาเก็บกินตามทางเพื่อให้คนหามไม่รู้สึกหนักหน่วง ในทางคติธรรมคือ คนตายแตกกายทำลายขันธ์เปรียบดังข้าวนั้น แต่ก่อนเป็นเมล็ดสวยงาม ภายหลังแตกบาน ไม่นานก็เน่าเหม็นฉันนั้น
และไฟเผาศพนั้น ในทางธรรมให้มองว่าไฟที่ลุกลวกนั้นเป็นไฟของราคะ โทสะ โมหะ ให้คุมไว้อยู่ที่ใจ ถ้าโหมกระพือขึ้นจักร้อนเผากายเรา ลามไหม้หมู่คน
ปกติแล้วตามประเพณีพื้นบ้านนิยมตั้งสวดอภิธรรมศพที่บ้าน แต่การสูญเสียในครั้งนี้เป็นเหตุการณ์เหนือความคาดคิด ทางครอบครัวจึงได้นำร่างของเธอไปฝากไว้ที่วัดและมีการสวดพระอภิธรรมในตอนเย็น ซึ่งแต่ละคืนที่ผ่านไปฉันทำเหมือนกับว่าที่คลินิกนั้นมีงานยุ่งเหยิงที่ต้องสะสางไม่ว่างที่จะไปร่วมงาน แต่แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อหลีกเร้นปัญหาในส่วนลึกของจิตใจเพราะโดยส่วนตัวแล้วฉันทำใจยอมรับได้ยากต่อการจากไปของคนรู้จัก ไม่ว่าจะรักหรือชังก็ตาม
แต่สำหรับพิธีในบ่ายวันนี้ เป็นการไปร่วมงานเพื่ออโหสิกรรมเป็นครั้งสุดท้าย ฉันเปลี่ยนไปสวมชุดสุภาพสีดำ แขวนป้ายปิดร้านครึ่งวันไว้ที่รั้วก่อนจะออกเดินไปตามทางในสวนสาธารณะ ผู้คนมากมายแทบจะล้นศาลาต่างมาเพื่อไว้อาลัยเธอทั้งสิ้น ด้วยนับถือน้ำใจกันมาแต่เดิม
ถ้อยทำนองสรภัญญะเศร้าสลดกล่าวถึงประวัติและครอบครัว แม่ใหญ่ใจอ่อนหลายรายกรีดน้ำตาอยู่เงียบ ๆ ควันไฟที่ค่อย ๆ ม้วนตัวจากปากปล่องบ่งบอกถึงการสิ้นสุด วันรุ่งขึ้นทางครอบครัวจึงจะเก็บกระดูกแล้วจึงทำบุญแจกข้าว๑ และถวายธง๒
แดดผีตากผ้าอ้อมเปลี่ยนเป็นสีดอกกระดังงาฉันลุกขึ้นปัดเศษหญ้าเศษดินออกจากตัว เดินย้อนกลับทางเดิมเมื่อขามา แม้แต่ใบไม้ในสวนสาธารณะยังทิ้งตัวลงอย่างเศร้าสร้อย
“ความตายไม่ใช่เรื่องปวดร้าว เป็นอาการอ่อนโยนของการยินยอมให้ร่างกายและสังขารที่เหนื่อยล้ามานานได้พักพิงอย่างสันติ เป็นช่วงเวลาอันมหัศจรรย์ที่เราจักได้ผ่านเข้าไปสู่โลกที่ไม่รู้จัก โลกที่เคลือบแคลงอย่างอาจหาญ การจัดการกับความตายเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ หากยังไม่รู้วิธีที่จะดำรงชีวิตอยู่ ที่จะเรียนรู้ความเป็นไปต่าง ๆ รอบตัวเราในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่”
นั่นเป็นคำนำของหนังสือ คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งทิเบต แปลโดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ ที่บังเอิญได้ผ่านตา ฉันหลับตาลงซึมซับความหมายในตัวอักษรนั้น หวังเพียงว่าเมื่อเวลาที่เหตุการณ์นั้นเข้าจู่โจม เธอคงเผชิญหน้ากับมันอย่างกล้าหาญ และหวังว่าเมื่อถึงเวลาของฉันความกล้าหาญนั้นก็จะเกิดขึ้นเช่นกัน
๑ ในวันเก็บกระดูก จะมีการนิมนต์พระสงฆ์และเชิญญาติพี่น้องจัดเอาอาหารไปแจก พอถึงป่าช้าก็เอ่ยเชิญผีให้ไปกินข้าวที่ทำแจก เรียกว่า บุญแจกข้าวมาให้หมู่ผี
๒ สัญลักษณ์การส่งผู้ตายขึ้นสู่สวรรค์ ใช้ผ้าดิบสีขาวผืนยาวใส่ไม้ไผ่ปักไว้ ปากก็กล่าวคำ “ขึ้นเด้” หลุมข้าง ๆ กันก็จะใส่ข้าวต้มมัดและเงินเอาไว้.