สู้เพื่อชีวิต
ณ วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๓ ภัยพิบัติจากโรคห่า “โควิด-19” ที่อุบัติขึ้นในเมืองไทยเมื่อกลางเดือนมกราคมเป็นต้นมา ทำให้คนไทยติดเชื้อสะสม ๒,๙๒๒ คน รักษาหายสะสม ๒,๕๙๔ คน มีผู้เสียชีวิตแล้วทั้งสิ้น ๕๑ ราย
ในขณะทั่วโลก เริ่มจากที่แพทย์ชาวจีนออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๒ แจ้งว่าพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ มาถึงวันนี้เท่าที่มีรายงานอย่างเป็นทางการพบผู้ป่วยสะสม ๒ ล้านกว่าคน ยอดผู้ป่วยที่อเมริกาสูงสุด ๓ หมื่นกว่าคนรองลงมาบราซิลและรัสเซีย ๖ พันกว่าคน เสียชีวิตแล้วทั่วโลก ๒ แสนกว่าราย วันนี้เฉพาะที่อเมริกา อังกฤษ อิตาลี เสียชีวิตวันละ ๒ พันกว่าราย
เมื่อร้อยปีที่ผ่านมา เกิดโรคห่าครั้งใหญ่ชื่อ “ไข้หวัดสเปน” ขึ้นบนโลก แม้พลโลกยังไม่หนาแน่นเท่าวันนี้ยังติดเชื้อร้ายถึง ๕๐๐ ล้านคน เสียชีวิตมากกว่า ๕๐ ล้านคน
นั่นคืออิทธิฤทธิ์โรคห่าที่เกิดขึ้นในยุคที่ผู้คนยังเดินทางไปมาหาสู่กันไม่มาก ต่างจากโลกยุคนี้ ซึ่งมีการเดินทางเพื่อธุระส่วนตัว ติดต่อการงานและท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ด้วยเครื่องบิน รถไฟความเร็วสูงและรถยนต์ ปีหนึ่งมีจำนวนมากถึง ๑,๕๐๐ ล้านคน
ตลอดเวลา ๔ เดือนผ่านมา มนุษย์ทุ่มเทคิดหาลงมือทำทุกวิธีเพื่อป้องกันและรักษาชีวิตตนเอง และเพื่อนร่วมโลก แต่ได้มีมาตรการหลายอย่างส่งผลกระทบต่อปากท้องและความเป็นอยู่อย่างรุนแรง เกิดโรคเครียด ซึมเศร้า กระทั่งฆ่าตัวตาย จึงมีการเสนอแนะให้ผ่อนเบากำหนดกฎเกณฑ์บางเรื่องลง
พิจารณาจากหลายด้านประกอบกัน แม้มนุษย์ได้พัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์ และมีเทคโนโลยีล้ำสมัยมากมาย แต่ “โควิด-19” ยังลามระบาด ประเทศที่ “เอาอยู่” จะกลับมาอีกไหม ประเทศที่ทรงตัวอยู่อย่างไทยจะวิวัฒน์ไปแบบใด หลายประเทศกำลังได้รับพิษร้ายของไวรัสอย่างแสนสาหัส และอีกหลายประเทศเพิ่งเริ่มต้น
ถึงวันนี้เรายังไม่สามารถวิจัย ค้นคว้า สร้างตัวยา เพื่อยับยั้งโรคห่าอุบัติใหม่นี้ได้เลย ตัวยาที่จะรักษาให้หายขาดก็ยังไม่มี วงการแพทย์คาดการณ์ว่า วัคซีนที่ใช้ต้านชนิดเห็นผลสงบเด็ดขาดจะผลิตได้ต้นปี ๒๕๖๔
ประเด็นเรื่องการถนอมรักษาชีวิตสำคัญที่สุด ท่ามกลางวิกฤติขั้นอุกฤษฏ์นี้ ต้องอดทนต่อสู้ ติดตาม เรียนรู้ สรุปบทเรียน เพื่อปรับปรุง เปลี่ยนแปลง สรรสร้างชีวิตและโลกขึ้นใหม่
ด้วยจิตคารวะ
บรรณาธิการอำนวยการ