(10) Covid 19 เรียนรู้จากสถานการณ์ (30.03.2020)
#เรื่องดีที่มากับวิกฤติ
ภาพประกอบโดย Miguel Á. Padriñán จาก Pixabay
@ สถาบันและองค์ภาครัฐ วิชาการ ธุรกิจทั่วโลก ร่วมมือกันวิจัยและพัฒนายาและวัคซีน ซึ่งน่าจะได้ผลเร็วกว่าที่ผ่านๆ มา รวมทั้งมีการนำเลือดของผู้ติดโควิด19 ที่หายแล้วมาให้ผู้ป่วยด้วยไวรัสนี้ เชื่อว่า สารภูมิต้านทาน (antibody) ที่เกิดกับผู้ติดเชื้อที่หายแล้วจะช่วยกำจัดไวรัสตัวนี้ได้เร็วขึ้น ที่เยอรมันกำลังทดลองเรื่องนี้อยู่
@ มีการสรุปบทเรียนว่า เยอรมันดูมีความพร้อมรับมือโควิด19 มากกว่าประเทศอื่นๆ เพราะระบบสุขภาพที่แข็งแรง บุคลากรที่พร้อมทั้งปริมาณและคุณภาพ โรงพยาบาลและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่สำคัญ และมีการตรวจหาผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยอย่างเข้มข้นตั้งแต่แรก และมากขึ้นทุกสัปดาห์จนทำให้มีผู้เสียชีวิตต่ำมาก ทั้งๆ ที่มีผู้ติดเชื้อสูง และยังสามารถรับผู้ป่วยหนักจากฝรั่งเศสและอิตาลีไปรักษาที่เยอรมัน ใกล้ก็ใช้รถยนต์ ไกลก็ทางเครื่องบินที่ปรับมาทำหน้าที่นี้ และคงใช้ลำเลียงต่อไปอีก
@ ที่เยอรมันเองก็ยังมีปัญหาอยู๋บ้างในบางเมืองบางโรงพยาบาลที่อุปกรณ์การแพทย์ขาดแคลน ทีวีเยอรมันถามตรงรัฐมนตรีสาธารณสุขว่า เมื่อ 7 ปีก่อน สถาบันโรเบิร์ต คอค ที่ดูแลเรื่องโรคระบาดได้สรุปบทเรียนและเสนอแผนการรับมือโรคระบาดไว้อย่างสมบูรณ์แล้ว ทำไมวันนี้ยังมีปัญหาการขาดแคน ได้รับคำตอบว่า เพราะมีแผนดีแต่ไม่มีการนำไปปฏิบัติ คำตอบแบบกำปั้นทุบดินและจริงใจดีที่วิพากษ์ตนเอง เขาอธิบายว่า อุปกรณ์การแพทย์ที่ขาด ส่วนหนึ่งเพราะคิดว่า สั่งจากอินเดียและจีนถูกกว่ามาก ไม่คุ้มผลิตตุนไว้เมื่อยังไม่เกิดปัญหา และก็ไม่นึกว่าจะเกิดโรคระบาดขนาดนี้จนผู้ผลิตทำให้ไม่ทัน
@ มี “แอป” (application) ที่ใช้กับสมาร์ทโฟนเพื่อแจ้งว่า ที่ผ่านมาเจ้าของได้ติดต่อกับใครบ้าง เพื่อว่าถ้าติดเชื้อเมื่อใดก็แจ้งเจ้าหน้าที่ให้ตามคนที่เราติดต่อสัมพันธ์นั้น ก็จะสะกัดการระบาดได้มากขึ้น ที่จีนและเกาหลีมีการใช้แอปนี้และสะกัดการระบาดของโควิด19 อย่างได้ผล เพราะสามารถตามผู้เกี่ยวข้องได้ทุกคน แต่ที่เยอรมันก็ยังถกเถียงกันว่า ไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรือไม่ แม้จะบอกว่า แอปนี้จะต้องเก็บข้อมูลเป็นความลับ โดยเจ้าของแอปที่แจ้งเจ้าหน้าที่ก็จะไม่ถูกเปิดเผยชื่อ ก็ไม่รู้ว่า ท้ายที่สุดจะมีการใช้แอปนี้ที่เยอรมันและที่อื่นๆ หรือไม่ ประชาธิปไตยจ๋าเกินไปก็ทำให้แก้ปัญหาได้ช้าและยากเหมือนกัน !
@ ยามวิกฤติได้เห็นน้ำใจของประเทศต่างๆ ที่แบ่งปันช่วยเหลือเกื้อกูลกัน จีนที่กำลังพ้นวิกฤติจัดส่งผู้เชี่ยวชาญ อุปกรณ์ไปช่วยประเทศต่างๆ ในยุโรป เอเชีย แอฟริกา ไทยก็ได้รับด้วย รวมทั้งสหรัฐอเมริกา ซึ่งยังมีคนทะลึ่งทำสงครามการค้าต่อไปแบบไม่รู้กาละเทศะ เตือนให้คนอเมริกันระวังติดเชื้อไวรัสจากสินค้าจากจีน เล่นเอาจีนตอบกลับไปแสบๆ ว่า ถ้างั้นก็ระวังติดเชื้อจากเครื่องช่วยหายใจ เสื้อผ้าสำหรับหมอพยาบาล และหน้ากากอนามัยที่จีนส่งไปช่วยอเมริกาด้วยนะ แถมด้วยการด่ากลับว่า ที่อเมริกา มารยาทระบาดช้ากว่าไวรัสโคโรนามาก !
@ นอกจากได้เห็นคนร้องเพลงและปรบมือให้กำลังใจแพทย์พยาบาลและบุคลากรสาธารณสุขที่ทำงานหนัก ยังเห็นอะไรดีๆ อีกมากมายอย่างองค์กรหน่วยงานเดิม และกลุ่มจิตอาสาใหม่มากมายที่เกิดขึ้นเพื่อช่วยเหลือคนที่ลำบากเพราะการระบาดนี้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ คนที่ต้องกักตัวเองในบ้าน คนที่มีลูกเล็กแต่ต้องออกไปทำงานบริการหรืองานจำเป็นเพื่อตนเองและสังคม เกิดกลุ่มจิตอาสาตามเมืองต่างๆ ทั่วไปหมด มีการจัดการเป็นเครือข่ายอย่างน่าชื่นชม
@ ภาพที่เคยเห็นตอนเกิดสึนามิที่ญี่ปุ่นเมื่อ 9 ปีก่อน ที่คนญี่ปุ่นแบ่งปันอาหารกัน วันนี้ก็มีที่เยอรมันที่นำอาหาร ขนมใส่ถุงพลาสติกไปวางไว้สำหรับผู้ที่ขาดแคลน ไทยเราก็มี มีการจัดการเป็นกลุ่มเป็นองค์กร หรือไปทำโรงทานที่วัด หรือร้านอาหารที่แจกอาหารฟรีอย่างที่เชียงใหม่และที่กรุงเทพฯ และอาจมีในจังหวัดอื่นๆ ที่ไม่เป็นข่าว
@ ที่เยอรมัน การลงแขกแบบโบราณน่าจะกลับมาอีก เพราะตอนนี้เริ่มมีการเก็บเกี่ยวพืชผลทางการเกษตร แต่ขาดแรงงาน ซึ่งปกติมาจากโปแลนด์และประเทศในยุโรปตะวันออกนับล้านคน โควิด19 ทำให้การไปมาหาสู่แทบเป็นไปไม่ได้ ทำให้เริ่มเห็นการ “ลงแขก” ระดมเพื่อนบ้านที่ “ว่างงาน” หรือตกงานมาช่วยกันทำงานในนาในสวน ซึ่งทางการก็คงไม่เคร่งครัดห้ามทำ เพราะไม่ทำก็ขาดแคลนอาหาร เพียงแต่ว่า ทำอย่างไรให้เว้นระยะห่างทางสังคมตามกฎเกณฑ์ยามไวรัสระบาดนี้
@ วันอาทิตย์ชาวคริสต์คงไม่ได้ไปโบสถ์กัน ลานมหาวิหารเซ็นปิเตอร์ที่กรุงโรมที่เคยมีคนไปรวมกันเป็นแสน วันนี้ว่างเปล่า เห็นภาพโป๊ปเดินอยู่คนเดียวไปทำพิธีประทานพรให้ “โรมและโลก” ((Urbi et Orbi) (โดยตำแหน่งพระสันตะปาปาเป็นบิชอปของกรุงโรมและประมุขของศาสนจักรโรมันคาทอลิกทั่วโลก) แต่ทุกนิกายทุกระเทศก็ยังมีพิธีกรรมทางศาสนาในวันอาทิตย์ มีการถ่ายทอดสด ออนไลน์ หรือไม่ก็มี “ไดรฟ์อิน” อย่างที่อเมริกา คือขับรถไปร่วมพิธี โดยไม่ต้องออกจากรถเหมือนไปดูหนัง (กลางแปลง) แบบ drive-in
@ มีข่าวที่ไม่น่าแปลกใจว่า ผู้นำศาสนาบางท่านถือโอกาสเตือนคนอเมริกันแรงๆ ว่า อเมริกาได้ทำบาป หนักหนาสาหัสมาก ปราศจากศีลธรรม โรคระบาดนี้คือการเตือนของพระเจ้าให้กลับใจ ไม่รู้นักการเมืองและนายทุนทั้งหลายได้ยินและฟังหรือไม่ ในขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ใช้ “กฎหมายสงคราม” บังคับบริษัท GE ยักษ์ใหญ๋ให้ผลิตเครื่องช่วยหายใจที่ขาดแคลนหนักมาก
และเกือบประกาศปิดรัฐนิวยอร์คและอีกหลายรัฐ (lockdown) ่แต่ก็เบรคไว้ก่อนที่จะบานปลายทางการเมือง ตอนแรกก็จะให้อเมริกากลับสู่ภาวะปกติในวันอิสเตอร์ (12 เมษายน) ตอนนี้ขยายมาตรการต้านไวรัสไปหลังอิสเตอร์อีก โดยไม่ลืมคุยโวว่าอเมริกาคือสุดยอดของโลกในการต่อสู้ไวรัสนี้ โดยลืมไปว่า อเมริกาได้กลายเป็นศูนย์กลางการระบาดโลกไปแล้ว (อยากรู้ควาหมายของ narcissist เทพเจ้าจากตำนานกรีก ไม่ต้องไปหาในวิกิพีเดีย ดูที่ประธานาธิบดีอเมริกันคนนี้ก็พอว่า ความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบหลงตัวเองเป็นอย่างไร)
@ ขณะที่รอยารอวัคซีน นักวิทยาศาสตร์และนักการเมืองหลายคนเชื่อว่า ไวรัสตัวนี้ที่สุดก็จะหายไปเองเมื่อแพร่ระบาดไปถึงจุดหนึ่ง จุดที่ว่านั้นเคยคาดกันว่าน่าจะหมายถึงประชากร 2 ใน 3 ติดเชื้อและเกิดภูมิต้านทาน จนไวรัสนี้ระบาดต่อไปไม่ได้และมันก็แตกสลายตายไปเองตามธรรมชาติของมัน แต่ที่ต้องช่วยกันเต็มที่วันนี้ในการดูแลผู้ป่วยและป้องกันการระบาด เพราะคนป่วยคนตายมีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจและสังคม ปล่อยให้ระบาด ให้คนป่วยคนตายไปแบบนั้นไม่ได้
(มีประสบการณ์ หรือพบเห็นเรื่องราวดีๆ ที่มากับวิกฤติก็เล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ เพราะผมก็ทราบเท่าที่อ่านและฟังจากสื่อต่างๆ เท่านั้น)