นวนิยาย : กาบแก้วบัวบาน (๓)
ทางอีศาน ฉบับที่๓ ปีที่๑ ประจำเดือนกรกฏาคม ๒๕๕๕
คอลัมน์: นวนิยาย
Column: Novel “Karb Kaeo Bua Baan” (Glassy Lotus Petals)
ผู้เขียน: ณรงค์ฤทธิ์ ศักดารณรงค์
เหมราชตื่นนอนแต่เช้า ด้วยไม่อยากจมอยู่กับความเหงาจึงลงจากเรือนรับรองไปเดินชมสวนดอกไม้ มองไปทางไหนเห็นแต่ดอกไม้สะพรั่งบานฝูงผีเสื้อบินฉวัดเฉวียนไปมา ม่านหมอกสีขาวคลี่คลุมไปทั่วบริเวณ ขณะกำลังเพลินชมมวลดอกไม้นานาชนิดใจหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาหยกๆ เมื่อคืน นึกถึงตอนที่ออกไปจับคู่รำกับเจ้าฟ้าคำหยาด มีโอกาสได้ใกล้ชิดธิดาแสนสวยของเจ้าเมืองศรีโคตรบูร หลังจากดื่มน้ำสวามิภักดิ์สาบานเป็นสหายเจ้าเชียงรุ้ง เขากลายเป็นเจ้าเหมราชมีศักดิ์และฐานะเป็นเจ้าชาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนความฝันแต่เป็นความจริง และเป็นความจริงที่ยากจะเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ ฝังใจสงสัยจนกระทั่งเดี๋ยวนี้แต่ไม่มีคำตอบ สิ่งเดียวที่ทำได้คือปล่อยวางให้ทุกอย่างกลมกลืนโดยไม่ฝืนตัวเอง
ขณะกำลังเพลินชมดอกไม้ พุ่มดอกไม้ข้างหน้าสะบัดไหวยวบยาบ ผีเสื้อแตกฝูงว่อนบินกระจายหนี งูใหญ่ตัวหนึ่งชูคอขึ้นผงกหัวแผ่พังพานเหนือพุ่มดอกไม้ ตวัดลิ้นอ้าปากเห็นเขี้ยวแหลมโง้ง อสรพิษร้ายขู่เสียงฟู่ ๆ เหมือนจะพุ่งเข้ามาฉก เหมราชตกใจกลัว ยืนนิ่งไม่ต่างกับโขดหินเพียงชั่วอึดใจ เจ้างูยักษ์ค่อย ๆ ลดหัวต่ำลงแล้วเลื้อยหายไปรวดเร็ว ทุกอย่างกลับสู่ปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีก็แต่กลิ่นดอกไม้หอมฟุ้งในสายลม
ถึงเหตุการณ์จะผ่านไปในพริบตาเดียว แต่เหมราชยังไม่หายตกใจกลัว เย็นเฉียบไปทั้งตัวไม่กล้าแม้แต่จะก้าวเท้าเดิน กระทั่งมีเสียงคนเดินใกล้เข้ามาทางด้านหลังจึงรวบรวมความกล้าค่อย ๆ หันกลับไปมองดู เจ้าของเสียงเดินกลายเป็นเจ้าฟ้าคำหยาดยืนยิ้มหวานอยู่ใกล้ ๆ จึงกลบเกลื่อนพิรุธทำเป็นเดินเข้าไปหาด้วยความดีใจ เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าฟ้าคำหยาด สถานการณ์แปรเปลี่ยนต่างจากเมื่อคืน ความสวยบวกรอยยิ้มหวานของธิดาเจ้าเมืองมีเสน่ห์มนต์ขลัง ความเงียบเหงากลับกลายเป็นอบอุ่นและอยากอยู่ใกล้ ๆ แข็งใจพยายามจะพูดแต่ธิดาเจ้าเมืองชิงเอ่ยปากก่อน
“ขออภัย ข้าไม่มีเจตนารบกวน”
“ไม่หรอกครับ ไม่รบกวน” เหมราชรีบปฏิเสธ “ผมต่างหาก ต้องขออภัย”
“เจ้าเหมราช” น้ำเสียงของเจ้าฟ้าคำหยาดอ่อนหวาน “เราเดินเล่นด้วยกันนะ”
“ด้วยความยินดีเลยครับ” เหมราชตอบรับทันที “ผมไม่รู้จักทาง ช่วยนำทางด้วยนะครับ”
“ไม่หรอก ไม่มีผู้ใดนำทาง” ถึงจะปฏิเสธ แต่คำพูดของเจ้าฟ้าคำหยาดยังคงละมุนหวาน “ระหว่างเราสองคน มีก็แต่หลอมรวมใจเดินเคียงคู่ไปด้วยกัน”
เหมราชเย็นยะเยียบไปทั่วทั้งร่าง คำพูดของเจ้าฟ้าคำหยาดมีความหมายทั้งปฏิเสธ เชิญชวนและตัดสิน นอกจากนุ่มนวลแสดงถึงความอ่อนโยนแล้ว ยังอ่อนหวานและเฉียบคมอีกต่างหาก ยิ่งฟังก็ยิ่งป่วนใจบาดลึกเข้าไปในความรู้สึก
“เจ้าฟ้าคำหยาดครับ คือว่า…”
เหมราชพยายามจะพูดกับเจ้าฟ้าคำหยาด แต่ไม่กล้าพูดด้วยภาษาชาวเมืองศรีโคตรบูร ด้วยยังพูดไม่คล่องปาก จริงแล้วรู้สึกกระดากมากกว่าขณะที่เจ้าฟ้าคำหยาดยิ้มเอียงอายแล้วเดินไปเรื่อย ๆ เธอเอื้อมมือไปเด็ดดอกไม้ยื่นส่งให้ เขารับด้วยความเต็มใจ ทั้งสองเดินเคียงคู่เพลินชมดอกไม้ในสวนสะพรั่งบาน ชายหนุ่มเริ่มใกล้ชิดเป็นกันเองผูกพันและอบอุ่นต่างจากเมื่อคืนที่ผ่านมา ขณะเดินมาหยุดใกล้ ๆ กอมหาหงส์ที่ชูดอกขาวระย้าใต้ต้นลั่นทม เจ้าฟ้าคำหยาดเอื้อมเด็ดดอกมหาหงส์ส่งให้ พร้อมบอกชื่อและความหมายที่ชาวเมืองรับรู้
“สะเลเต ราชินีดอกไม้แห่งศรีโคตรบูร”
“ชื่อแปลกดี” เหมราชรับมาถือไว้อย่างทนุถนอม “ที่บ้านผม เรียกมหาหงส์”
“ชื่อออกไพเราะ”
“ครับ”
“ชูช่อผลิบานอยู่บนต้น เรียกดวงจำปา”
“ที่บ้านผมเรียกลั่นทม”
“เจ้าเหมราช ถ้าลำบากเจ้านัก กรุณาใช้ภาษาศรีโคตรบูร” เจ้าฟ้าคำหยาดยิ้มเปิดเผย วางกิริยาท่าทางได้สมเป็นธิดาเจ้าเมือง อ่อนหวานและสง่าโฉม มีเสน่ห์รัดรึงใจชวนให้เคลิบเคลิ้ม “รับปากเจ้าพี่เชียงรุ้งแล้วนี่ เจ้าจะพูดภาษาศรีโคตรบูร”
“คือว่า ผม…”
“ตราบที่เจ้าอยู่ศรีโคตรบูร จงพูดภาษาของข้า” เจ้าฟ้าคำหยาดพูดเสียงหนักแล้วเดินไปเด็ดดอกสะเลเตส่งให้เหมราช “ราชินีดอกไม้แห่งศรีโคตรบูร ข้ามอบให้เจ้าด้วยใจบริสุทธิ์ จงถนอมอย่าให้บอบช้ำ”
เจ้าฟ้าคำหยาดเป็นธิดาเจ้าเมือง และน้องสาวเจ้าเชียงรุ้ง ความสวยบวกกับความอ่อนหวานกลายเป็นพันธนาการมัดใจให้เหมราชรู้สึกใกล้ชิดโดยไม่รู้ตัว ค่อย ๆ ซึมซับแล้วก่อเกิดเป็นอบอุ่นระหว่างเจ้าฟ้าคำหยาดและเหมราช ถ้อยคำภาษาพูดไม่ต่างกันมากนัก ถึงเขาไม่คุ้นกับการใช้คำว่าข้า แทนตัวเอง ไม่ถนัดปากที่จะเรียกคนอื่นว่า เจ้าแต่เขาเป็นนักเรียนนอกที่คลุกคลีในแวดวงธุรกิจทั้งยังเป็นหนุ่มเนื้อหอมมีชื่อเสียงในสังคมผู้ดีมาก่อน จึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาปรับตัวนัก
“เจ้าคงมีเรื่องเล่ามากมาย มีเรื่องใดสนุก เล่าให้ฟังบ้างนะ”
“เรื่องอื่นไม่มี นอกจากขอบใจ”
“ขอบใจเรื่องอันใด”
“ก็…” เหมราชพูดตะกุกตะกัก “ทุกสิ่งทุกอย่าง”
“ที่เจ้าพูด ข้าไม่เข้าใจ”
“ค่ำคืนที่ผ่านมา เจ้าฟ้าคำหยาดให้เกียรติข้ารำกับข้า” เหมราชเงยหน้าขึ้นมองสบตาธิดาเจ้าเมือง นิ่งชั่วครู่แล้วพูดด้วยภาษาศรีโคตรบูร “ขอบใจเจ้ามาก”
“เพียงขอบใจเท่านั้นรึ” น้ำเสียงของเจ้าฟ้าคำหยาดเบาหวิว “เหตุอันใดเล่าจึงไม่มีสิ่งใดมากกว่าคำขอบใจ”
“ก็…” เหมราชเริ่มประหม่า “ข้าพูดด้วยความจริงใจทั้งนั้น”
“ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร”
“ความจริง ไม่ต้องพิสูจน์”
“ก็ได้ ข้าเชื่อ เจ้าพูดความจริง” เหมราชพยายามรวบรวมความกล้ากลับคืนมาโดยเร็ว เดินไปชวนคุยไป จนในที่สุดอาการประหม่าหายขาด เมื่อความกล้ากลับมาอีกครั้งเขาจึงกล้ามองสบตาเจ้าฟ้าคำหยาดอย่างไม่สะทกสะท้าน ทั้งสองมองลึกเข้าไปในดวงตาของกันและกัน ต่างฝ่ายต่างผุดเผยอยิ้ม ขณะเดินเคียงคู่กันมาหยุดอยู่กลางสวน เหมราชเปรยขึ้น
“มองไปทางไหนก็เห็นดอกไม้สวย ๆ ทั้งนั้น”
“ศรีโคตรบูร เมืองดอกไม้งาม” เจ้าฟ้าคำหยาดพูดหนักแน่นแต่อ่อนหวาน “ที่ข้ามอบให้เจ้าจงถนอมอย่าให้มีมลทิน”
“ข้าจะถนอมยิ่งชีวิต”
“สัญญาได้หรือไม่”
“ข้าให้สัญญา”
“ถ้าเจ้าผิดสัญญา”
“ไม่ ข้าไม่มีวันผิดสัญญา”
“คำสัญญาของเจ้า ขอจดจำไว้ตลอดชีวิตข้า” เจ้าฟ้าคำหยาดพูดเสียงหนัก ท่าทีและสีหน้าแสดงถึงความรู้สึกจริงจัง “ดอกไม้งามศรีโคตรบูร ข้ามอบให้เจ้าเป็นสัญญาใจ และเป็นคำมั่นที่ผูกพันระหว่างเจ้ากับข้า” มองลึกเข้าไปในดวงตาเหมราชแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงมั่นคงเด็ดเดี่ยว “เราสองคนผู้หนึ่งผู้ใดผิดสัญญา ผู้นั้นชีวิตจะหาไม่”
“เจ้าฟ้าคำหยาด ข้า…”
“หรือเจ้าไม่ใส่ใจคำสัญญา”
“หามิได้” เหมราชปฏิเสธ แล้วพูดต่อด้วยความรู้สึกสะทกสะท้าน “คำพูดเจ้าน่ากลัว”
“สัญญาที่ข้าให้เป็นสัญญาจากใจจริง” คำพูดของเจ้าฟ้าคำหยาดจริงจัง มองหน้าเหมราช แล้วถามด้วยน้ำเสียงไม่หวั่นไหว “เจ้ากลัวด้วยรึ”
“ไม่ แต่ข้า…”
“สะเลเตเป็นสักขีพยาน”
“คือว่า…”
“ราชินีแห่งดอกไม้ เป็นสัญญาใจระหว่างเจ้าและข้า”
คำพูดของเจ้าฟ้าคำหยาดถึงอ่อนหวานแต่ก็แฝงความกร้าวกล้า เหมราชไม่เคยได้ยินคำมั่นสัญญาจากปากหญิงสาวคนใดมาก่อน ฟังคำมั่นสัญญาของน้องสาวเจ้าเชียงรุ้งแล้วถึงกับอึ้ง คำพูดนั้นอ่อนหวานก็จริง แต่ยืนกรานเด็ดเดี่ยว เพียงเวลาผ่านไปไม่เท่าไรจิตใจก็ยิ่งถูกผูกมัด ไม่อยากถลำลึก แต่ความรู้สึกจมดิ่งสู่พันธนาการ จากใกล้ชิดเป็นสนิทสนมแล้วกลายเป็นผูกพัน อารมณ์ดื่มด่ำก่อตัวขึ้นเงียบ ๆ ค่อย ๆ ซึมซับเร้นแฝงในใจขณะที่ทั้งคู่เดินเคลียคลอหยอกล้อหัวเราะ เหมราชเด็ดดอกไม้ใกล้มือส่งให้เจ้าฟ้าคำหยาด ธิดาเจ้าเมืองยื่นมือรับด้วยกิริยาสะเทิ้นอาย มือเขาพลาดไปแตะนิ้วเรียวงามนั้น แม้เพียงเฉียดฉิว แต่เป็นครั้งแรกในชีวิตสาว ทั้งที่สัมผัสเพียงเบา ๆ ถึงกับร้อนผ่าวไปทั่วทั้งกาย
“ดวงจำปา เจ้ามอบให้ข้าจริงรึ” เจ้าฟ้าคำหยาดแกล้งกระซิบถาม แซมดอกไม้ที่มวยผมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “จริงหรือไม่จริง สุดแต่การกระทำของเจ้า สำหรับข้าแล้ว ถือเป็นคำมั่นสัญญาสูงสุด”
“เป็นอะไรก็ได้ ข้ามอบให้ด้วยใจจริง”
“ดวงจำปาเป็นดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ หมายถึงความมั่นคง ยิ่งใหญ่ ซื่อสัตย์ สะเลเตเป็นดอกไม้แห่งความรัก ดวงจำปาอยู่ที่ไหน สะเลเตอยู่ที่นั้น”
น้ำเสียงของเจ้าฟ้าคำหยาดกังวานแจ่มใสใบหน้าเอิบอาบยิ้ม เกี่ยวแขนเดินเคียงคู่เหมราชไปเรื่อย ๆ ผ่านหลากหลายไม้ดอกที่กำลังชูช่อสะพรั่งบาน ผ่านเรือนโบราณที่เงียบเหงารอบสวนดอกไม้ ธิดาเจ้าเมืองหันมาสบตาเหมราชอีกครั้ง มองเงียบ ๆ อยู่นานเหมือนกำลังค้นหาอะไรสักอย่างถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงเน้นเสียงพูด
“เจ้าเหมราช คำมั่นสัญญาที่ให้ข้า จงรักษาด้วยชีวิต”
“เจ้าฟ้าคำหยาด”
ไม่มีคำพูดหลุดจากเรียวปากงามของเจ้าฟ้าคำหยาดอีก ธิดาเจ้าเมืองเอาแต่จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเหมราช กลิ่นดอกไม้หอมฟุ้งตามลม ผีเสื้อจับคู่บินฉวัดเฉวียนเหนือยอดจำปา ถึงจะเคลิ้มไปกับคำพูดของเจ้าฟ้าคำหยาด แต่เหมราชเริ่มคิดถึงธุรกิจการค้าที่รับผิดชอบ เมื่อตัวเองถูกตัดขาดติดต่อใครไม่ได้ จะต้องอยู่ศรีโคตรบูรอีกนานเท่าไรและกลับกรุงเทพมหานครได้เมื่อไรยังไม่มีคำตอบ ยิ่งคิดก็ยิ่งมืดแปดด้าน จึงได้แต่เดินเกี่ยวแขนเจ้าฟ้าคำหยาดเพลินชมดอกไม้ ขณะเดินเกือบถึงเรือนโบราณหลังใหญ่ เขาเห็นยอดไม้ไหวยวบยาบอยู่ข้างหน้า เหมือนมีตัวอะไรยาวใหญ่เลื้อยหายลับไปในพุ่มดอกไม้ด้วยความ
หวาดระแวงที่ฝังลึกในความรู้สึกจึงเพ่งมองอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ พยายามกวาดสายตามองสำรวจไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นมีอะไร จึงหันกลับไปดูด้านหลังกลับกลายเป็นเจ้าเชียงรุ้ง กำลังจะถามด้วยความสงสัยว่าทำไมมาเงียบ ๆ เจ้าเชียงรุ้งก็ชิงถามขึ้นก่อน
“ดอกไม้ในมือเจ้า ใครให้มารึ”
“เจ้าฟ้าคำหยาดมอบให้ข้า”
“น้องข้า” เจ้าเชียงรุ้งแกล้งถามเจ้าฟ้าคำหยาด “ดวงจำปาที่มวยผมเจ้า ใครเป็นเจ้าของ”
“เจ้าพี่…” เจ้าฟ้าคำหยาดเหนียมอาย “ก็ข้า…”
“ข้ามอบให้เอง เพื่อตอบแทนน้ำใจเจ้าฟ้าคำหยาด”
“โอ วิเศษมาก” เจ้าเชียงรุ้งพูดเสียงทุ้ม “ดอกไม้แห่งความรัก ดอกไม้แห่งความซื่อสัตย์ ทั้งสะเลเต ทั้งดวงจำปา ผลิบานในดวงใจเจ้าทั้งสองคน เยี่ยมยิ่งอะไรปานนี้” มองประสานสายตาเหมราชแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงกังวาน “สหายข้า เจ้าสัญญากับข้าได้หรือไม่”
“สัญญาอะไร”
“เจ้าจะมั่นคงซื่อสัตย์ต่อน้องข้าด้วยชีวิตเจ้า”
“ข้าสัญญา”
“เจ้าเข้าใจทุกถ้อยคำที่ข้าพูด ใช่หรือไม่”
“ข้าเข้าใจดี”
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เจ้าอย่าไปจากน้องข้า”
“ข้ารับปาก”
“ไม่ รับปากยังไม่พอ เจ้าจงสัญญากับข้า”
“ก็ได้ ข้าสัญญา”
“เจ้ามั่นใจรึ”
“ข้ามั่นใจ”
คำพูดโต้ตอบระหว่างเจ้าเชียงรุ้งและเหมราชเจ้าฟ้าคำหยาดยืนก้มหน้าฟังอย่างสงบ ทั้งที่สงบหากก็สะเทิ้นอาย แก้มแดงเรื่อ ไม่กล้ามองหน้าสบตาเจ้าเชียงรุ้ง ลึก ๆ ในใจอยากเดินหนีไปให้พ้นแต่ก้าวเท้าไม่ออก เจ้าเชียงรุ้งแลเห็นกิริยาน้องสาวก็รู้ใจนางดี
เหมราชนั้นตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเหมือนมีอำนาจทรงพลังอยู่เหนือความรู้สึก ยิ่งอยู่ต่อหน้าเจ้าฟ้าคำหยาดจึงตกปากรับคำเจ้าเชียงรุ้งโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด ทั้งสามคนเดินพูดคุยกันจนมาหยุดอยู่บริเวณที่เรียงรายด้วยพันธุ์ไม้หลายชนิดขณะที่ต่างฝ่ายต่างเพลินชมดอกไม้งาม เจ้าเชียงรุ้งพลันมองตาเหมราชแล้วเอ่ยเสียงกร้าวอีกครา
“จงจำไว้ น้องข้าเป็นแก้วตาพ่อแม่ข้า และเป็นดวงใจของข้า เจ้าต้องไม่ทำให้น้องข้าผิดหวังไม่เจ็บปวด ไม่หลั่งน้ำตา”
“ข้าไม่ทำเช่นนั้น”
“สัญญาได้หรือไม่”
“ทำไมต้องสัญญา เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์”
“โอ สหายข้า ถึงเจ้าไม่สัญญาแต่ข้ายินดียิ่งนัก” เจ้าเชียงรุ้งพูดนุ่มนวล “จงตอบข้า ด้วยจิตวิญญาณของเจ้า บัดนี้…เจ้าเป็นชาวเมืองศรีโคตรบูร”
“ด้วยจิตวิญญาณของข้า อยู่ที่ไหน ข้าเป็นคนของแผ่นดินนั้น”
“คำพูดเจ้าหนักแน่นยิ่งภูผา สูงยิ่งท้องฟ้า ลึกยิ่งกว่ามหานที”
เจ้าเชียงรุ้งพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม ทุกคำพูดซึมซ่านกังวานในความรู้สึกของเหมราช ทั้งสองใกล้ชิดสนิทกันมากขึ้นตามลำดับ ยิ่งเจ้าเชียงรุ้งแสดงให้เห็นว่าเป็นพี่ชายที่รักน้องสาวขาดใจ ก็ยิ่งทำให้เหมราชหวนคิดถึงนาฏนภางค์ ความรักความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าเชียงรุ้งและเจ้าฟ้าคำหยาด ไม่ต่างจากเขาและนาฏนภางค์ แสดงว่าเจ้าเชียงรุ้งเป็นคนซื่อบริสุทธิ์ มีทั้งน้ำใจและความจริงใจ
ท่วงท่าห้าวหาญของนักรบซ่อนลึกในบุคลิกที่มองเห็น แหลมคมด้วยสติปัญญา และแสดงออกมาอย่างแยบยลด้วยคำพูด ประสบการณ์ความเป็นนักธุรกิจทำให้เข้าถึงตัวตนของเจ้าเชียงรุ้งและเจ้าฟ้าคำหยาดได้ไม่ยาก จึงวางใจในความเป็นเพื่อนของเจ้าเชียงรุ้งได้สนิท และผูกพันใกล้ชิดเจ้าฟ้าคำหยาดโดยไม่หวาดระแวง ขณะเดินเคียงคู่เจ้าฟ้าคำหยาดตามเจ้าเชียงรุ้งไป เขาเริ่มเห็นต้นไม้ดอกกลายเป็นไม้สูงใหญ่ในป่าทึบ โขดหินเรียงรายสองข้างลำธารคดโค้ง นกร้องเกรียวกราวบนยอดไม้กลุ่มเมฆสีขาวไหลเลื่อนในท้องฟ้า ด้วยความแปลกใจจึงมองดูสายน้ำที่กำลังเอื่อยไหลในลำธาร เห็นน้ำไหลแล้วคิดถึงลำโขงในคืนที่ไปดูบั้งไฟพญานาคหวนคิดถึงหญิงสาวชุดดำที่ลานวัด ยิ่งคิดยิ่งกระวนกระวาย ไม่มีวี่แววของหญิงสาวชุดดำที่ศรีโคตรบูร จึงคิดต่อไปถึงนาฏนภางค์และใครต่อใครที่บ้าน ป่านนี้ทุกคนคงเป็นห่วงเขามาก ยิ่งคุณยายด้วยแล้วคงห่วงเขายิ่งกว่าใคร คุณพ่อคุณแม่คงตามหาวุ่นวายไปหมด หรือไม่ก็กลายเป็นข่าวใหญ่ทางหน้าหนังสือพิมพ์
ขณะเดินเงียบ ๆ เลียบเลาะลำธาร เผลอมองสบตาเจ้าฟ้าคำหยาด ฝ่ายหญิงแกล้งเมินมองดอกไม้ป่าที่แย้มบาน เขาต่างหากใจปั่นป่วนขึ้นมาทันที เหมือนถูกสะกดด้วยมนต์ขลัง ลืมกระทั่งนาฏนภางค์และหญิงสาวชุดดำ “สหายข้า เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่หรือ” เจ้าเชียงรุ้งถาม “เจ้าเงียบไปนะ”
“เปล่า”
“หากข้าเดาไม่ผิด” เจ้าเชียงรุ้งยิ้มอย่างมีความหมาย “คิดถึงเจ้าของดอกไม้ ใช่หรือไม่”
“อีกแล้ว เจ้าพี่…” เจ้าฟ้าคำหยาดกระเง้ากระงอด “ใครคิดถึงใคร และใครเจ้าของดอกไม้”
“นั่นปะไร” เจ้าเชียงรุ้งกระเซ้ากลั้วเสียงหัวเราะ “เจ้าน้องสารภาพเองนะ”
“เจ้าพี่…”
เจ้าเชียงรุ้งหัวเราะกังวาน เจ้าฟ้าคำหยาดกระเง้ากระงอดสะเทิ้นอาย แต่ปรายตามองเหมราชที่ยืนสงบเงียบ ถึงเขาจะเป็นรักแรกของเจ้าฟ้าคำหยาด แต่นางเป็นเพียงหญิงสาวคนแรกที่เขาใกล้ชิด นอกจากนาฏนภางค์แล้วเขาไม่เคยใกล้ชิดสนิท
สนมหญิงคนใดมาก่อน เมื่อพลัดหลงมาอยู่ในเหตุการณ์ที่ยากจะเข้าใจ จำต้องเข้าพิธีดื่มน้ำสวามิภักดิ์เป็นสหายเจ้าเชียงรุ้ง มีศักดิ์เป็นถึงเจ้าเหมราช กลายเป็นชาวศรีโคตรบูร ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเจ้าฟ้าคำหยาด แม้จะก่อเกิดในชั่วเวลาเพียงสั้น ๆ แต่ถลำลึกยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งลึกทั้งซึ้งเกินถอนตัว
เหมราชยืนนิ่งต่อหน้าเจ้าเชียงรุ้ง ทั้งที่เคียงคู่อยู่กับเจ้าฟ้าคำหยาด ใจกลับระส่ำคิดถึงหญิงสาวชุดดำ ท่วงท่าร่ายรำยังติดตาฝังใจไม่รู้ลืม
ทันใดนั้น…
บนท้องฟ้าปรากฏเสียงอื้ออึง ยิ่งใกล้เข้ามาก็ยิ่งดังเหมือนฟ้าร้อง เจ้าเชียงรุ้งยืนนิ่ง เจ้าฟ้าคำหยาดหน้าซีด เหมราชเงยหน้ามองไปยังทิศทางของเสียง ท้องฟ้ามืดมัวด้วยฝูงนกยักษ์ ผู้คนฝูงใหญ่ไม่รู้มาจากไหน ต่างแตกตื่นหวาดกลัววิ่งหนีอลหม่าน ทหารชุดแดงกระเจิงหนีไปคนละทิศละทาง อาวุธประจำกายหล่นเกลื่อน นกยักษ์ฝูงใหญ่บินผ่านไปรวดเร็ว นกยักษ์ตัวหนึ่งบินลัดฟ้ากลับมาแรงและเร็ว เสียงกระพือปีกดังสนั่น มันบินวนเวียนไปมาแล้วพุ่งลงจู่โจมฉับไว ชาวบ้านเคราะห์ร้ายคนหนึ่งกระแด่วดิ้นอยู่ในอุ้งเล็บ เพียงชั่วพริบตาเจ้านกยักษ์ก็ฟาดเหยื่อเคราะห์ร้ายด้วยงวง กางอุ้งเล็บขยุ้มแล้วบินหายลับไปในท้องฟ้า
สักครู่ฝูงนกยักษ์ก็บินกลับมามืดฟ้ามัวดินเสียงปีกกระพือดังอื้ออึงทั่วท้องฟ้า พวกมันบินใกล้เข้ามาจนเหมราชเห็นถนัดตา แต่ละตัวใหญ่โตเหมือนช้าง ขนสีขาวสลับลายสีน้ำเงิน ขนคอสีเลื่อมมุก ขนหน้าอกเหลือง ขนหางยาวคาดลายหลากสี หัวมีหงอนสีแดง จะงอยปากสีดำงุ้มแหลมซ่อนอยู่ใต้งวงสีทอง อุ้งปีกสองข้างแข็งแรงบินได้รวดเร็ว เล็บสีน้ำตาลปลายแหลมคม ประกายตาวาวกลอกมองรอบทิศทาง ร้องดังกังวานได้ยินทั่วทั้งป่า ท้องฟ้าหุบเขาสายน้ำกึกก้องด้วยเสียงร้องของนกยักษ์ ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง นกยักษ์ตัวหนึ่งพุ่งเข้าจู่โจมเจ้าฟ้าคำหยาดโดยเร็ว ธิดาเจ้าเมืองกรีดร้องด้วยความตกใจ เหมราชพุ่งเข้าไปกระชากตัวหญิงสาวล้มลง ฆาตกรเวหาพุ่งเข้ามาไล่ล่าอีกครั้ง กระพือปีกดังสนั่น อุ้งเล็บกางอ้าในท่าขยุ้มเหยื่อ เขาคว้าหอกที่หล่นอยู่บนพื้นพุ่งใส่นกยักษ์ทันที หอกพุ่งแหวกอากาศถูกตรงอุ้งปีกอย่างจังมันร้องดังลั่นด้วยความเจ็บปวด ปีกสองข้างเอียงเสียหลัก ถลาหล่นลงบนพื้นดินดังสนั่น แล้วจึงตะเกียกตะกายบินหนีขึ้นสู่ท้องฟ้ารวดเร็ว
เหมราชคว้าดาบที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมาถือด้วยมือขวา ขณะนกยักษ์อีกตัวโผนเข้าหาเจ้าฟ้าคำหยาดที่กำลังวิ่งหนี เขาวิ่งเข้าไปไล่ฟันไม่ยั้งมือ จนเจ้านกยักษ์ตั้งตัวไม่ติด เพียงชั่วพริบตาเดียว มันก็โผนทะยานสู่ท้องฟ้าแล้วบินหนีไปทันที เจ้าฟ้าคำหยาดแทบไม่เชื่อสายตัวเอง เป็นไปได้อย่างไร เหมราชถือดาบไล่ฟันนกยักษ์โดยไม่กลัวอันตรายเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของเจ้าเชียงรุ้งตลอด
เมื่อฝูงนกยักษ์หายลับไปจากท้องฟ้าเหตุการณ์กลับปกติ เจ้าเชียงรุ้งเดินเคร่งขรึมมาหยุดยืนต่อหน้าเหมราช นิ่งอยู่ชั่วครู่แล้วกล่าวชื่นชม
“เยี่ยมยิ่ง และช่างกล้าหาญ วีรกรรมของเจ้า”
“ข้าทำในสิ่งที่ต้องทำ”
“เจ้าปกป้องน้องข้า” เจ้าเชียงรุ้งพูดเสียงกร้าว “ไม่เพียงเท่านั้น เจ้าปกป้องศรีโคตรบูร”
“เป็นเกียรติของข้า” เหมราชพูดด้วยความจริงใจ “แต่ข้าแค่ทำในสิ่งที่ต้องทำ”
เหมราชสงสัย ทำไมช่วงที่ฝูงนกยักษ์บินมาจู่โจม ชาวเมืองศรีโคตรบูรไม่รู้วิ่งกระเจิดกระเจิงมาจากไหน ทำไมผู้คนจึงหวาดกลัวนกเหล่านี้ น่าสงสัยมากที่ผู้คนต่างแตกตื่นหนีไม่มีใครคิดสู้ แม้แต่เจ้าเชียงรุ้งและเจ้าฟ้าคำหยาดก็ยังตื่นกลัว ทำไมชาวเมืองศรีโคตรบูรไม่รวมตัวสู้ แต่ละคนเอาแต่หวาดกลัววิ่งหนีเอาตัวรอด
ที่จริงแล้วเขาไม่ได้กล้าหาญมาจากไหน เพียงแต่ไม่กลัวและกล้าจะต่อสู้เท่านั้น
“ศรีโคตรบูรเป็นหนี้บุญคุณเจ้า”
“ไม่หรอก ข้าไม่ได้เก่งกาจอะไร” เหมราชปฏิเสธคำพูดยกย่องของเจ้าเชียงรุ้ง “แค่จับดาบสู้กับมัน ก็เท่านั้นเอง”
“ข้าเห็นเจ้าสู้ด้วยตาข้าเอง” เจ้าฟ้าคำหยาดพูดเบา ๆ “ขอบใจเจ้ามาก”
“อย่าได้เกรงใจข้า” เหมราชสบตาธิดาเจ้าเมืองผู้เลอโฉมแล้วพูดหนักแน่น “ถ้ากลับมาอีก ข้าจะไล่ล่าพวกมัน”
“สหายข้า เจ้ากล้าหาญมาก”
“นกอะไร ทำไมตัวใหญ่เหมือนช้าง”
“นกหัสดิน”
“นกหัสดิน” เหมราชทวนคำด้วยสีหน้างุนงง “เจ้านกร้ายเหล่านี้อาศัยอยู่ที่ไหน”
“ยอดเขาเอราวัณ” น้ำเสียงเจ้าเชียงรุ้งขมขื่น “พวกเราทำอะไรมันไม่ได้ ชาวเมืองศรีโคตรบูรตกเป็นเหยื่อพวกมัน”
เหมราชไม่อยากเชื่อหูตัวเอง เจ้าเชียงรุ้งเป็นเจ้าชายนักรบแห่งศรีโคตรบูร กลับยอมให้ชาวเมืองตกเป็นเหยื่อโดยไม่คิดสู้ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าสู้ เมื่อเกิดเหตุการณ์แต่ละคนต่างวิ่งหนีเอาตัวรอด ยิ่งได้ฟังคำพูดเจ้าเชียงรุ้งยิ่งอดสะท้อนใจไม่ได้ จึงระงับสติอารมณ์ข่มความรู้สึกโดยสูดหายใจลึก ๆ ลมอ่อน ๆ พัดแผ่ว กลิ่นดอกไม้ป่าหอมกรุ่น ๆ ไปทั่ว ขณะที่เขากำลังคิดหนักอยู่เงียบ ๆ ได้ยินเหมือนเสียงคนเดินมาข้างหลัง จึงหันกลับไปมอง ทหารกลุ่มใหญ่เดินใกล้เข้ามา หน้าตาแต่ละคนเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชาวเมืองเดินขวักไขว่ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่แสดงอาการหวาดกลัว
และในพริบตานั้น…
แม้แต่ป่าก็กลับกลายเป็นลานกว้างพลุกพล่านผู้คน มองไปทางไหนเห็นแต่บ้านเรือนเรียงรายสองฟากถนน พริบตาเดียวก็เหมือนเมืองเนรมิตเกิดขึ้นในฝัน ไม่อยากเชื่อแต่เป็นความจริง ถึงจะสงสัยแต่เหมราชเป็นฝ่ายเงียบ เหลือบมองเจ้าฟ้าคำหยาดที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ นางก็เงียบ หลังจากตกอยู่ในความเงียบครู่ใหญ่ เหมราชอดใจไม่ได้จึงเอ่ยปากว่า
“นกหัสดินไล่ล่าเราเป็นเหยื่อ ถ้าไม่สู้ชาวเมืองศรีโคตรบูรก็จะถูกล่าไปตลอด”
“สหายข้า ถึงจะสู้ ศรีโคตรบูรก็ไม่มีทางสู้”
“ไม่มีทางสู้” เหมราชมองตาเจ้าเชียงรุ้งอย่างคิดไม่ถึง “ทำไม”
“ได้เวลาอาหารเช้าแล้ว เราไปเรือนรับรองกันเถิด” เจ้าเชียงรุ้งกลับเปลี่ยนเรื่องพูด พร้อมเดินนำไปยังเรือนรับรอง “สำหรับศรีโคตรบูรแล้วนกหัสดินเป็นคำสาป พวกเราไม่มีทางสู้กับคำสาปยิ่งสู้ก็ยิ่งต้องคำสาป”
เหมราชหาญสู้นกหัสดินกระทั่งแตกฝูงพ่ายเขากลายเป็นวีรบุรุษผู้สร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่เหตุการณ์นี้ลือกระฉ่อนไปทั่วเมืองศรีโคตรบูร ทั้งเจ้าเมืองทั้งชาวเมืองต่างก็ชื่นชม แต่เขาก็ยังไม่รู้ไม่เข้าใจ เหตุใดชาวเมืองศรีโคตรบูรจึงไม่มีใครคิดสู้ทำไมจึงยอมจำนนต่อชะตากรรม ยอมตกเป็นเหยื่อ กลายเป็นผู้ถูกล่าตลอดไป.
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)