(3) Covid-19 เรียนรู้จากสถานการณ์ (21/3/20) #อีกเท่าไร
ผู้ติดเชื้อ 100,000 คนแรกเกิดขึ้นใน 12 สัปดาห์แรกของการระบาด เพิ่มอีก 100,000 ใน เพียง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา และดูเหมือนว่าจะถึง 300,000 ภายใน 2 วันนี้ เพราะวันที่ 20/3/20 มีผู้ติดเชื้อทั่วโลกเกือบ 280,000 คนแล้ว
ลองคิดดูว่ แสนแรกใน 12 สัปดาห์ แสนที่สองใน 2 สัปดาห์ แสนที่สามใน 2 วัน นี่คือการเพิ่มขึ้นแบบคูณ หรือexponential จึงไม่แปลกที่ผู้นำประเทศยกการคาดการณ์ของนักระบาดวิทยามาบอกประชาชนว่า ถ้าไม่ร่วมมือกันทุกฝ่ายอย่างจริงจัง ปล่อยไปแบบนี้ มีหวังเห็นคนติดเชื้อในรัฐในประเทศของตนกว่าครึ่งแน่ๆ
เช่น ภายในสองเดือนข้างหน้า คนอเมริกัน 25 ล้านคนจากประชากรแคลิฟอร์เนีย 40 ล้านจะติดเชื้อ ผู้ว่าการรัฐเกวิน นิวซอมบอกประชาชน หรือที่นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เกลบอกว่า คนเยอรมัน 30-40 ล้านติดเชื้อนี้แน่
แต่ละรัฐแต่ละประเทศจึงค่อยๆ ออกมาตรการและกฎหมายที่เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ เพื่อต้องการให้ทุกคนร่วมมือกันสะกัดการแพร่ระบาดอย่างระเบิดของไวรัสนี้ วิธีดีที่สุด คือ การไม่สัมผัสกัน อยู่ห่างๆ กัน ถ้าขอร้องไม่ได้ก็ต้องมีคำสั่งเป็นกฎหมายออกมาอย่างที่เกิดที่อิตาลี ฝรั่งเศส สเปน และกำลังจะเกิดที่เยอรมัน
หรือที่เริ่มจากเบาไปหาหนักอย่างที่แคลิฟอร์เนียและหลายรัฐ และหลายประเทศที่สั่งปิดสถานที่ต่างๆ ที่มีคนชุมนุมกันมาก ร้านอาหาร พับบาร์ สนามกีฬา และห้ามมีการชุมนุมกันเกิน 3 คน ไปจนถึง 5 คน 10 คน แตกต่างกันไปในแต่ละรัฐและประเทศ
มาตรการเหล่านี้มีคนวิพากษ์วิจารณ์ว่า ถ้าคนร้อยละ 95 ทำตามคำแนะนำ อีกเพียงร้อยละ 5 ไม่ทำ ทำไมต้องจำกัดเสรีภาพกันขนาดนั้น (หมายถึงปิดประเทศ ปิดเมือง อยู่แต่ในบ้าน) คำตอบที่ผู้นำให้ก็คือ ก็ 5% ที่แหละที่จะทำให้ 95% ติดไปด้วย เพราะนี่เป็นเรื่องของโรคระบาดที่ต้อง “เอาให้อยู่” 100%
คนที่ต่อต้านและไม่เห็นด้วยก็อ้างต่อไปว่า เศรษฐกิจพังหมด คนตกงาน ไม่มีจะกิน จะฆ่าหนูทำไมต้องเผาบ้าน รัฐบาลก็ตอบว่า ถ้าหนูนำเชื้อโรคมาทำให้คนในบ้านตายหมดจะทำไง บ้านนั้นสร้างใหม่ได้ แต่คนตายทำให้กลับฟื้นคืนมาไม่ได้ (วรรคนี้เขียนเอง สารภาพว่ายังไม่ได้ยินใครแย้งและตอบแบบนี้)
คำตอบที่รัฐบาลส่วนใหญ่ให้ก็ คือ ยอมเจ็บให้จบดีกว่า รอไปข้างหน้าจะร้ายแรงจนแก้ไม่ได้ ดูที่อิตาลีเมื่อวานวันเดียวติดใหม่ 6,000 คนตายวันเดียว 627 ติดเชื้อรวมจะ 50,000 คนแล้ว ที่เยอรมันก็เพิ่มวันเดียว 5,000 คน รวมติด 20,000 สเปนก็หนัก ติดใหม่ 3,500 รวม 22,000 สหรัฐอเมริกาปาเข้าไปเกือบ 20,000 ติดวันเดียวเกือบ 6,000 ประเทศอื่นๆ ในยุโรปก็สาหัสกันถ้วนหน้า
รัฐบาลในประเทศต่างๆ บอกประชาชนว่า ขอให้อดทนเพื่อส่วนรวม ปิดบ้านเพียงสองสามสัปดาห์ ความจริงก็เป็นความหวัง (wishful thinking) มากกว่าข้อเท็จจริง เพราะหลายประเทศก็ขยายเวลา “ปิด” และ “ขัง” มาเรื่อยๆ เพราะสถานการณ์ไม่ได้ดีขึ้น อย่างที่อิตาลี ฝรั่งเศส สเปน
แต่ที่ผู้นำประเทศต่างๆ บอกประชาชนและทำให้คนเชื่อไม่น้อยเพราะมีกรณีจีน และอีกหลายประเทศที่สถานการณ์ดีขึ้น และสามารถชะลอการแพร่ระบาดได้ คนเริ่มออกจากบ้านไปทำงาน ไปชมดอกเชอรี่บาน ดอกซากุระบาน เป็นภาพที่ให้ความหวังว่าทุกอย่างต้องกลับคืนมาในเร็ววัน
นักระบาดวิทยา ผู้เชี่ยวชาญในหลายประเทศมีความเห็นตรงกันว่า จะชะลอและหยุดการระบาดของโควิด19 นี้ได้ก็ต้องร่วมมือกันทำตามมาตรการต่างๆ อย่างที่จีนและอีกหลายประเทศทำสำเร็จ ยังไม่มียาที่ใช้ได้ตรงๆ ไม่มีวัคซีนป้องกัน และเชื่อว่าการระบาดน่าจะ “พีค” ในสองสามเดือนข้างหน้า ถึงวันนั้นจะมีคนติดเชื้อคนตายเท่าไรก็ไม่อยากคิด แต่สุดท้ายก็น่าจะมีปัจจัยต่างๆ ร่วมกันทำให้ไวรัสนี้ลดการระบาดลงไปในที่สุด
นักระบาดวิทยาบอกว่ามีอยู่ 3 วิธีที่จะ “เอาชนะ” โควิด19 ได้ คือ
วิธีที่ 1 วัคซีน มีการเร่งผลิตวัคซีนกันในหลายประเทศ หลายโครงการเป็นความร่วมมือกันระหว่างประเทศ
1.ที่อเมริกาโดยสถาบันวิจัยหลายแห่งที่ทดลองกับผู้ใหญ่ 45 คน อายุ 18-55 ปี เริ่มขั้นต้นเมื่อวันที่ 16 มีนาคมนี้ ร่วมกับบริษัทเอกชน เรียกวัคซีนนี้ว่า inRNA-1273 โดยบริษัทไบโอเทค Modena ที่เมืองแคมบริดช์ คาดว่าจะได้ปีหน้า
2.ที่เมืองจีน สถาบันการแพทย์ทหารทดลองวัคซีนต้านไวรัสนี้ทดลองกับคน 108 คนที่สุขภาพดี 16 มีนาคมถึง 31 ธันวาคม ร่วมกับบริษัทเอกชนที่ฮ่องกง ขณะที่ทดลองกับสัตว์ ต่อไปทำในห้องแล็ป คงเสร็จในปีหน้า
3.ที่อังกฤษ ที่มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด จะทดลองกับคนในเดือนหน้า เพราะเป็นวัคซีนบางส่วนตัวเดิมที่เคยผ่านขั้นตอนการวิจัยแรกๆ มาก่อน จึงสามารถทำทางลัดได้ และต้องเร่งเพราะสถานการณ์โลกวิกฤติ คาดว่าจะได้กลางปีหน้า แต่คงก่อนวัคซีนของอเมริกา เพราะเคยทำวัคซีนอีโบล่ามาแล้ว และนำออกใช้ก่อนที่จะได้รับการนุญาตเป็นทางการอีก
4.ที่เยอรมัน โดยบริษัท CureVac เป็นเรื่องระหว่างประเทศเพราะข่าวที่นายทรัมป์เสนอเงินก้อนใหญ่ “ซื้อ” โครงการทดลองวัคซีนนี้ เพราะมีความเป็นไปได้มากทีสุด ข่าวนี้ทำให้อียูโกรธ และทุ่มเงิน 80 ล้านยูโรช่วยสนับสนุนโครงการนี้ ที่จะออกมาทดลองในเดือนมิถุนา-กรกฎานี้ ผลิตได้ถึง 10 ล้านโดสในครั้งเดียว ใช้ได้กับคนหลายล้านคนพร้อมกัน
นายกรัฐมนตรีรัฐบาเดิน วูร์เตมแบร์ก (เมือง Tuebingen ฐานการทดลองและผลิตวัคซีนอยู่ในรัฐนี้) มั่นใจสูงมากว่า วัคซีนนี้สำเร็จออกมาทดลองกับคนได้ในไม่กี่เดือนนี้ เพราะทุกฝ่ายให้การสนับสนุนเต็มที่ ทั้งงบประมาณและนักวิจัย (ถึงไม่แปลกใจทำไมนายทรัมป์นักธุรกิจใหญ่ถึงสนใจทุ่มเงินก้อนใหญ่สนับสนุน เพราะถ้าสำเร็จเขาได้เป็นประธานาธิบดีต่ออย่างแน่นอน)
สถานการณ์วิกฤติหนัก และการระดมสรรพกำลังและทุนเพื่อการวิจัยครั้งนี้ ไม่ว่าที่ไหนสำเร็จก็จะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติที่เหมือนกับอยู่ในวันสิ้นโลก (apocalypse) หรือคนเรือแตกลอยคออยู่กลางทะเลที่บ้าคลั่ง มีอะไรมาให้จับก็ต้องรีบคว้า ถ้าได้เรือใหญ่หลายลำมาช่วยก็จะรอดได้ง่ายขึ้น
วิธีที่ 2 ภูมิคุ้มกันที่ได้จากการติดเชื้อนี้มาก่อน คนที่ติดไวรัสโควิด19 และหายก็ได้อานิสงค์ ได้ภูมิคุ้มกันและโดยหลักแล้วไม่น่าจะติดเชื้อนี้อีก การที่คนจำนวนหนึ่งมีภูมิคุ้มกันก็จะลดปัญหาและมีคนที่ทำงานได้สะดวกมากขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
วิธีที่ 3 การปรับเปลียนพฤติกรรม เหมือนอย่างที่กำลังทำกันอยู่ คือ การล้างมือ การไม่สัมผัสกัน ไม่อยู่ใกล้กัน ปิดสถานที่คนไปร่วมกันมากๆ การกักบริเวณ เมือง บ้าน และอื่นๆ คนต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตที่เคยทำยามปกติมาเป็นวิถียามวิกฤติ ที่ต้องคิดถึงส่วนรวมมากที่สุด
อยากให้ข้อสังเกตเรื่องวัคซีนว่า อาจไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะเอชไอวีเอดส์เกิดมาเกือบ 40 ปี ยังไม่มีวัคซีนป้องกันได้ เคยมีการทำวิจัยหลายโครงการ โครงการใหญ่ที่ทำในไทยโดยกระทรวงสาธารณสุขและภาคีในไทยร่วมกับหน่วยงานของสหรัฐอเมริกา ทดลองกับคนไทย 16,402 คนที่ชลบุรีและระยอง เสร็จตั้งแต่ปี 2009 ปรากฎว่าได้ผลเพียงร้อยละ 30 เอาไปทดลองต่อในแอฟริกาใต้กับ 5,407 คนเมื่อปี 2016 ผลออกมาเมื่อปีที่แล้วก็คล้ายกับที่ได้ทำในไทยก่อนนั้น จึงประกาศว่าไม่สำเร็จ
ที่เน้นการพัฒนาวัคซีนต้านไวรัสเอชไอวีเพราะการรณรง์การใช้ถุงยางอนามัย การให้คำปรึกษา ไม่ได้ผล เอดส์ระบาดระเบิดเถิดเทิงกว่าร้อยละ 20 ของผู้ใหญ่ในแอฟริกาหลายประเทศติดเชื้อเอชไอวี ทั้งๆ ที่โรคนี้ไม่ได้แพร่กระจายง่ายเลย มีเพียงไม่กี่วิธีเท่านั้น ป้องกันเอดส์ง่ายกว่าโควิด 19 มากนัก แต่คนเรา “ดีชั่วรู้หมดแต่อดไม่ได้”
ส่วนโรค SARS (Severe Acute Respiratory Syndrome) ซึ่งมีสาเหตุจากโคโรนาไวรัสชนิดหนึ่งที่เรียกว่า SARS Coronavirus (SARS-CoV) (ส่วนโควิด19 มีสาเหตุมาจากไวรัสที่มีชื่อทางการว่า SARS-CoV2) ยังไม่มีวัคซีนสำหรับ SARS ซึ่งแพร่กระจายเมื่อปี 2003 จากภาคใต้ของจีน ระบาดไป 17 ประเทศ คนติด 8,000 กว่า เสียชีวิต 700 กว่า ที่ใครๆ ก็คิดว่าหายไปหมดแล้ว แต่การเกิดขึ้นของโควิด19 ที่แท้ก็คือ SARS ตัวใหม่นั่นเอง ซึ่งเป็นพี่น้องตระกูลโคโรนาเหมือนกัน
การพัฒนาวัคซีนที่สำเร็จคือวัคซีนอีโบลา ที่ผลิตโดยสหรัฐอเมริกาสำเร็จเมื่อปีสองปีมานี้เอง นอกนั้นวัคซีนต้านไวรัสอื่นๆ ยังไม่สำเร็จ ส่วนหนึ่งเพราะไวรัสมีการกลายพันธุ์ แปรเปลี่ยนไปจนนักวิจัยไล่ตามไม่ทัน
ส่งท้ายวันนี้
*ชาวสเปนเปิดประตูหน้าต่างเคาะจานชามหม้อไหเพื่อให้กำลังใจแพทย์พยาบาล บุคลากรสาธารณสุขที่ทำงานหนักจนหมดแรง และข่าวบอกว่าเพื่อประท้วงมาตรการบางอย่างของรัฐบาลด้วย
*เด็กนักเรียนนักศึกษาที่เยอรมันปิดเรียน แทนที่จะอยู่บ้านเฉยๆ หลายคนอาสาไปซื้ออาหารการกิน ข้าวของเครื่องใช้ให้คนชราหรือใครที่ไม่อยากออกจากบ้าน (เยอรมันไม่มีวินมอเตอร์ไซค์)
*วันนี้มีข่าวจริงข่าวหลอกมากมายเรื่องยาเรื่องอาหารต้านโควิด19 ก็ขอให้ใช้วิจารณญาณ กินอาหารมีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนให้พอ และดีที่สุดก็ล้างมือบ่อยๆ แล้วเอามือล้วงกระเป๋าไว้ ไม่แตะหน้า ลดละเลิกบุหรี่และเหล้า เพราะทำให้ปอดและตับทำงานหนัก แทนที่จะไปช่วยขับพิษป้องกันตนเอง ต้านไวรัสกลับต้องมาไล่พิษจากบุหรี่กับเหล้าจนหมดแรง แล้วจะต้านไวรัสไหวไหมครับ เพราะโควิด19 ชอบปอดมาก กินเหมือนปลวกเลย คนติดถึงไอไม่หยุด (ขออภัยถ้าทำให้ใครผวา !)