กาบแก้วบัวบาน (๘)
ทางอีศาน ฉบับที่๘ ปีที่๑ ประจำเดือนธันวาคม ๒๕๕๕
คอลัมน์: นวนิยาย
Column: Novel “Karb Kaeo Bua Baan” (Glassy Lotus Petals)
ผู้เขียน: ณรงค์ฤทธิ์ ศักดารณรงค์

เจ้าสุวรรณนาคินทร์นั่งผงาดอยู่บนบัลลังก์หิน ข้างบัลลังก์ด้านซ้ายและขวา ทหารถือดาบยืนอารักขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เครื่องบายศรีชุดใหญ่ตั้งเรียงรายอยู่ด้านหน้า ขันทองคำบรรจุน้ำสาบานตั้งอยู่บนโต๊ะ ดาบใหญ่ในฝักวางสงบบนพาน ชายชราแต่งกายชุดขาวนั่งเงียบอยู่ตรงกลางท่าทางของผู้เฒ่าไม่ต่างจากพราหมณ์ผู้ทำพิธี ด้านหลังผู้เฒ่ามีกลุ่มชายสูงวัยนั่งเรียงแถว แต่ละคนสงบเงียบแทบไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหายใจ กลุ่มผู้เฒ่าชุดขาวทำให้พิธีดูขลังและศักดิ์สิทธิ์ เยื้องไปด้านขวาเป็นที่นั่งของเหล่าขุนศึก แต่ละคนแต่งกายเหมือนจะออกรบ ด้านซ้ายแน่นขนัดด้วยเหล่าทหารทะลวงฟัน แต่ละคนยืนถือดาบสีหน้าถมึงทึง ตามด้วยเหล่าทหารม้าและพลธนู ด้านหลังสุดคลาคล่ำไปด้วยชาวเมืองสีทันดร

เหมราชแต่งชุดขุนพลเดินตามสาครไปยืนอยู่กลางลานพิธี สายตาทุกคู่มองไปยังเขาเป็นจุดเดียวถึงจะผ่านพิธีดื่มน้ำสวามิภักดิ์เป็นสหายเจ้าเชียงรุ้งมาแล้ว แต่บรรยากาศต่างกัน ศรีโคตรบูรประกอบพิธีในท้องพระโรง สีทันดรจัดยิ่งใหญ่บนลานมุจลินทร์ ทั้งที่ผ่านพิธีใหญ่ที่ศรีโคตรบูรมาแล้ว แต่ก็ยังสะทกสะท้านหวั่นไหว พยายามข่มใจให้สงบกลับเต้นระทึกเหมือนกลองลั่นรัวเสียง กวาดสายตามองไปรอบ ๆ เห็นทหารและชาวเมืองแน่นขนัด ใจก็ยิ่งระส่ำสั่น ขณะกำลังยืนเด่นสง่าอยู่กลางลานพิธี หูแว่วได้ยินเสียงเหมือนชายชุดขาวย้ำพูดให้ทำตามคำสั่งหลวงพ่อ ใจที่กำลังสงบประหวั่นพรั่นพรึงขึ้นอีก ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้า เหมือนมีหญิงงามเชิดหน้าชายตาทักทายด้วยรอยยิ้ม ยิ่งมองก็ยิ่งตื่นตะลึงหญิงสาวชุดดำกรีดกรายรำชดช้อยอยู่ในดวงจันทร์

เสียงย่ำฆ้องกระหึ่มขึ้นติดต่อกัน ตามด้วยเสียงกลองรัวลั่นดังสนั่นลานมุจลินทร์ ผู้เฒ่าชุดขาวเริ่มประกอบพิธี ประณมมือแล้วบริกรรมพึมพำในลำคอ กล่าวนมัสการพระศรีรัตนตรัย อัญเชิญปวงเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์ เทพแห่งภูเขา เจ้าแห่งน่านน้ำ รวมทั้งเหล่ามเหสักข์วิญญาณทั่วทุกหัวระแหง สถิตบนสรวงสวรรค์หรือแหล่งหล้าใด ต่างก็ให้มาเป็นสักขีพยานและอวยชัยในการสถาปนาขุนพลแห่งสีทันดร มือขวาจับดาบขึ้นกระชากออกจากฝักคมขาววับ ตวัดแกว่งเหนือศีรษะสามรอบแทงปลายดาบลงในน้ำสาบานสามครั้ง วางฝักดาบลงที่เดิมแล้วมือซ้ายจับเทียนจุดไฟหยดลงในน้ำสาบานดังฉ่า ๆ เปล่งเสียงร่ายมนต์แช่งน้ำได้ยินทั่วบริเวณพิธี ตวัดดาบไปมาพร้อมกับสะบัดเทียนวนรอบขันน้ำสาบาน กลุ่มผู้เฒ่าชุดขาวสวดมนต์ขึ้นพร้อมกัน ผู้ประกอบพิธีจุ่มเทียนลงดับไฟในน้ำสาบาน ฟาดฟันดาบในอากาศสามครั้ง ต่อจากนั้นนำดาบไปส่งให้เจ้าสุวรรณนาคินทร์ มโหรีประโคมผสมเสียงกระหึ่มฆ้องกลองลั่นรัวเป็นระยะ เสียงไชโยดังกึกก้องขึ้นสามครั้ง พลธนูยิงธนูไฟสู่ท้องฟ้าพลดาบประดาบดังสนั่น

เมื่อสิ้นสุดพิธีแช่งน้ำของผู้เฒ่าชุดขาว ลานมุจลินทร์กลับเข้าสู่ความเงียบ ท้องฟ้าคืนนี้สว่างไสวด้วยพระจันทร์เต็มดวง เจ้าสุวรรณนาคินทร์ยกดาบขึ้นเหนือศีรษะ ตวัดฟาดฟันไปมาในอากาศ คมดาบต้องแสงจันทร์วาวด้วยประกายสีรุ้ง ลดดาบลงระดับอกแล้วประกาศเสียงดัง

“ข้าขอแต่งตั้งสหายเหมราชเป็นขุนพล จารึกนามเป็นเจ้าโคมคำ มีหน้าที่ปกป้องน่านน้ำสีทันดรพิทักษ์อาณาจักรมหานครกาบแก้วบัวบาน ข้าขอมอบดาบสายฟ้าให้เป็นดาบประจำตัว” กวาดสายตามองไปรอบ ๆ จ้องมองหน้าเหมราชแล้วเปล่งเสียงประกาศ “ตั้งแต่บัดนี้ไป เจ้าโคมคำเป็นขุนพลเมืองสีทันดร จงใช้ดาบสายฟ้าเป็นอาวุธเพื่อปกป้องน่านน้ำสีทันดร พิทักษ์อาณาจักรมหานครกาบแก้วบัวบาน จงเป็นขุนพลผู้กล้าซื่อสัตย์ จงรักภักดี” ปล่อยให้ลานมุจลินทร์ตกอยู่ในความเงียบ จากนั้นจึงประกาศขึ้นด้วยเสียงกังวาน “ถ้าเจ้าโคมคำทรยศ ขบถผิดน้ำสาบาน จงตายด้วยคมดาบสายฟ้า”

เสียงไชโยกระหึ่มขึ้นติดต่อกันสามครั้ง เจ้าสุวรรณนาคินทร์ฟาดฟันดาบสายฟ้าในอากาศ ฉับพลันนั้น เมฆเคลื่อนบังดวงจันทร์ ท้องฟ้ามืดมิดลมกระโชกพัดแรง อสุนีบาตฟาดสายเปรี้ยงปร้างน่านน้ำป่วนซัดคลื่นกระหน่ำฝั่ง ฝนหลั่งทั่วฟ้าสายน้ำไหลนองลานมุจลินทร์

เมื่อเหตุมหัศจรรย์ผ่านไป ทุกอย่างกลับสู่ปกติเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เจ้าเมืองสีทันดรกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วประกาศเสียงดัง

“ดาบสายฟ้าเป็นดาบอาญาสิทธิ์ ดาบอยู่ในมือผู้ใด ผู้นั้นทรงอำนาจสูงสุด ผู้ใดขัดขืน ผู้นั้นเป็นขบถ ต้องประหารชีวิตด้วยดาบสายฟ้า”

เจ้าสุวรรณนาคินทร์ตวัดดาบฟาดฟันอีกสามครั้ง คมดาบต้องแสงจันทร์ส่องประกายวูบวาบจากนั้นเสียบดาบเข้าฝักแล้วมอบให้เหมราชขุนพลแห่งสีทันดรรับดาบด้วยใจเต้นระทึก เขารู้สึกตัวเองไม่เหมือนเดิม อานุภาพดาบสายฟ้าทะลุทะลวงไหลไปทั่วร่าง สายเลือดแห่งความเป็นนักธุรกิจเหือดหายเป็นปลิดทิ้ง กลับกลายเป็นเจ้าโคมคำขุนพลแห่งสีทันดร เมื่อตัวตนคนเก่าหายไปขุนพลผู้กล้าตัวตนคนใหม่เข้ามาแทนที่ ตลอดชีวิตไม่เคยเป็นทหารออกทัพจับศึก แต่เมื่อดาบอาญาสิทธิ์อยู่ในมือ จิตใจพลันฮึกเหิมด้วยวิญญาณของนักรบ

เสียงแคนดังกังวานขึ้น โหวดพิณโปงลางลั่นกระหึ่มตามมา ท่วงทำนองเนิบช้าเหมือนแว่วมาแต่ไกล กระชับกระชั้นอยู่ใกล้ ๆ ได้ยินไปทั่วลานมุจลินทร์ สาวงามนางหนึ่งสวมมงกุฎดอกไม้บนมุ่นมวยผม ใส่เสื้อแขนยาวสีแดงคาดแถบสีขาวผ่าอกด้านหน้า นุ่งผ้าถุงสีดำลายตีนจกสีขาว พาดสไบสีเหลืองอ่อน คาดเข็มขัดเงินเดินนวยนาดออกมาเยื้องกรายรำ

“รำสีทันดร นาฏศิลป์คู่บ้านคู่เมือง เจ้าศรนารีรำแสดงในพิธีสำคัญเท่านั้น” เจ้าสุวรรณนาคินทร์พูดเสียงทุ้ม “ค่ำคืนนี้ เจ้าน้องข้ารำสีทันดรด้วยตั้งใจมอบให้เจ้าโคมคำ”

“ข้าขอบใจท่านเจ้าเมือง”

“ขอบใจข้าทำไม จงขอบใจเจ้าศรนารี”

“แต่ข้า…”

“เหตุใดเจ้าชักช้านัก” เจ้าสุวรรณนาคินทร์พูดอย่างเป็นกันเอง “เจ้าช่วยชีวิตข้าจากการไล่ล่าของนกหัสดิน ค่ำคืนนี้ก่อนเจ้าศรนารีกลับสู่มหานครกาบแก้วบัวบาน จงออกไปรำกับเจ้าน้องข้า” ทอดสายตามองเจ้าศรนารีที่กำลังเยื้องกรายรำใต้แสงจันทร์แล้วมองสบตาเหมราช “ขุนพลของข้า เจ้าอย่าทิ้งเวลาให้นานนัก จงออกไปรำคู่เจ้าน้องข้า หาไม่แล้ว เจ้าจะไม่มีโอกาสงาม ๆ เช่นนี้อีก”

“แต่ข้า…”

“นั่นปะไรเล่า เจ้าน้องข้ากำลังจะไปแล้ว” ทันใดนั้น…

เสียงกลองรัวลั่นได้ยินไปทั่วลานมุจลินทร์ ฟังแล้วเหมือนสัญญาณเตือนภัยอะไรสักอย่าง ผู้คนแตกตื่นโกลาหล เหล่าทหารทะลวงฟันกระชากดาบปราดออกไปข้างหน้า ทหารแต่ละเหล่ากรูออกไปปรับขบวนพร้อมสู้ ท่าทางเหมือนตกอยู่ในวงล้อมข้าศึก แต่ละคนกระชับอาวุธในมือ และในพริบตานั้น กลุ่มชายชุดเขียวบุกเข้ามาจู่โจม เหมราชตวัดดาบสายฟ้าออกไปร่วมสู้ ทั้งที่ไม่เคยจับดาบออกทัพสู้ศึกมาก่อน เหตุการณ์ที่กำลังเผชิญขณะนี้ปลุกวิญญาณให้เขากลายเป็นนักรบโดยไม่รู้ตัว คมดาบสายฟ้าปลิดวิญญาณชายชุดเขียวล้มลงจมกองเลือด ชายชุดเขียวคนหนึ่งเงื้อดาบพุ่งทะลวงฟันทหารสีทันดร ท่วงท่าฟันดาบรุนแรงน่ากลัว ทหารสีทันดรล้มลงคนแล้วคนเล่า

เหมราชกุมดาบสายฟ้าบุกเข้าสู้โดยไม่เกรงกลัว ดาบกระทบดาบเสียงดังสนั่น ผลัดกันรุกผลัดกันถอยจนฝุ่นคลุ้ง ชายชุดเขียวฟันดาบเข้าใส่ทั้งแรงและเร็ว เหมราชหลบพ้นคมดาบได้อย่างหวุดหวิด จังหวะที่คู่ต่อสู้เสียหลัก เขาฟันดาบสายฟ้าโต้ตอบสุดแรง ชายชุดเขียวร้องเสียงหลงยืนโงนเงนไปมาแล้วทรุดฮวบลง ชายชุดเขียวแต่ละคนตื่นตะลึงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหนือการคาดคิด บางคนเริ่มถอดใจไม่คิดสู้ ถอยกรูด ๆ แล้ววิ่งหนี ชายชุดเขียวที่เหลือแตกฮือวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง

เหมราชไม่รู้กลุ่มชายชุดเขียวเป็นใคร เมื่อชายชุดเขียวคนล่าสุดสังเวยคมดาบสายฟ้าด้วยชีวิตกลุ่มชายชุดเขียวที่เหลือวิ่งแตกฝูงหนี เพียงเท่านี้ก็คาดเดาได้ว่า ผู้ตายต้องเป็นระดับหัวหน้า ในใจได้แต่คิด เป็นใครช่างเถิด เพราะเขาได้ทำหน้าที่ขุนพลแห่งสีทันดรอย่างดีที่สุด

ชายชุดเขียวชั้นเชิงดาบเกรี้ยวกราดที่เพิ่งตายไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นขุนไกรหัวหน้าทหารทะลวงฟันผู้ไม่เคยแพ้ใครแห่งเวียงวารินทร์ พิธีแต่งตั้งขุนพลและมอบดาบอาญาสิทธิ์จัดผ่านไปหยก ๆ เมื่อหัวหน้าทหารทะลวงฟันของแถนฟ้าลือเอาชีวิตมาสังเวยคมดาบสายฟ้า ชัยชนะเหนือขุนไกรในครั้งนี้ ส่งให้เหมราชกลายเป็นเจ้าโคมคำขุนพลผู้เลื่องลือนาม

วันเวลาผ่านไป…

เจ้าโคมคำทำหน้าที่ปกป้องน่านน้ำสีทันดรอย่างเข้มแข็ง ที่ไหนมีเจ้าโคมคำ ที่นั้นมีสาครเป็นสหายคู่ใจ และยังมีกำลังทหารเป็นบริวารอีกสามสิบคน ทหารแต่ละคนเชี่ยวชาญการต่อสู้ ใช้อาวุธได้ดีทั้งดาบ หอก ทวนและธนู นับแต่นี้ไปไม่มีอีกแล้วหนุ่มนักเรียนนอกชื่อเหมราช และไม่มีนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงแห่งกรุงเทพมหานคร มีก็แต่เจ้าโคมคำขุนพลผู้พิชิตแห่งสีทันดร

ระหว่างเจ้าสุวรรณนาคินทร์และเจ้าโคมคำทั้งสองผูกพันใกล้ชิดยิ่งกว่าพี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกัน เจ้าเมืองสีทันดรมอบม้าศึกให้เป็นรางวัลมันเป็นม้าที่มีลักษณะพิเศษต่างจากม้าทั่วไป ขนสีนิลคราม ตรงแสกหน้ามีวงกลมสีขาว ตัวสูงใหญ่ขนแผงคอชันงาม กล้ามอกหนา ทรงพลังปราดเปรียว วิ่งแรงเร็ว ตะเบ็งร้องเสียงกังวาน เจ้าโคมคำตั้งชื่อใหม่ให้เป็นเจ้านิลคราม ม้าคู่ใจพาเขาและเหล่าทหารห้อตะบึงไปทั่วทุกพื้นที่ แต่ละครั้งที่

ผาดโผนสู้ศึก ถึงไม่ใช่เจ้าเมืองแต่มีดาบสายฟ้าเป็นดาบอาญาสิทธิ์ เขาจึงเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดในสมรภูมิ

เส้นทางชีวิตของเหมราชเปลี่ยนไป เขาไม่ใช่นักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรงอีกแล้ว แต่กลายเป็นเจ้าโคมคำขุนพลผู้พิทักษ์เมืองสีทันดร ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านมหานครกาบแก้วบัวบาน ชีวิตใหม่จะสวยงามเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ หรือคาวคลุ้งด้วยกลิ่นเลือด กระหึ่มด้วยเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญโหยหวนคร่ำครวญด้วยเสียงปีศาจร้าย รุ่งโรจน์หรือดับสลายในสมรภูมิ มันเป็นทางสายใหม่ที่เขาตัดสินใจเลือกด้วยตัวเอง

หน้าที่หลักของเจ้าโคมคำคือนำทหารออกลาดตระเวน การปฏิบัติภารกิจแต่ละครั้งต้องควบม้านำหน้าทหารให้สมกับตำแหน่งขุนพล ครั้งนี้เหมือนทุกครั้งที่เคยปฏิบัติ เขาควบม้านำหน้าทหารมาถึงภูเขาแบ่งสายน้ำ ขณะกำลังมองสำรวจไปรอบ ๆ พลันสายตาเหลือบเห็นเวียงจันทรายืนอยู่บนเนินหินข้างหน้า จึงชักม้าตรงเข้าไปหาด้วยความตื่นเต้นดีใจ หญิงสาวมองดูขุนพลแห่งสีทันดรด้วยสีหน้าราบเรียบ ถึงจะไม่แสดงความรู้สึกออกมา แต่ดวงตาบ่งบอกถึงความตื่นเต้นดีใจไม่ต่างไปจากเจ้าโคมคำ

“เวียงจันทรา” เจ้าโคมคำลงจากหลังเจ้านิลคราม จากนั้นจึงเดินเข้าไปหาแล้วพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้น “เราได้พบกันแบบไม่คาดคิด ข้าดีใจมาก”

“ข้าขอแสดงความดีใจด้วย” เวียงจันทราพยายามข่มความรู้สึกให้เป็นปกติ “ที่เจ้าเป็นขุนพลเมืองสีทันดร”

“สำหรับเจ้า ข้าคือ…เหมราช”

“เจ้าโคมคำ เจ้าเป็นถึงขุนพลมีดาบสายฟ้าเป็นดาบอาญาสิทธิ์ อย่าได้พูดเช่นนี้อีก” เวียงจันทราแย้งแล้วพูดต่อเสียงสั่นเครือ “ข้ามาดักรอพบเจ้า ก็เพื่อสั่งลา”

“สั่งลารึ เจ้าจะสั่งลาข้าไปไหน” เจ้าโคมคำถามด้วยสีหน้าฉงน “จากเจ้าวันก่อน ข้าเป็นทุกข์มากที่สุด พบกันวันนี้ ข้าไม่ยอมให้เจ้าจากข้าไป” มองสบตาแน่นิ่งอยู่ครู่ใหญ่แล้วพูดต่อ “ทั้งเจ้าทั้งผู้เฒ่าสีโห ต้องกลับไปสีทันดรพร้อมกับข้า”

เจ้าโคมคำเดินไปหยุดยืนอยู่ต่อหน้าเวียงจันทรา หญิงสาวยืนนิ่งไม่มีคำพูดหลุดผ่านออกมาจากริมฝีปาก ยืนนิ่งแล้วโผเข้าซบหน้าลงกลางอกขุนพลเมืองสีทันดร คำพูดมากมายทำท่าจะพรั่งพรูออกมาให้ได้ยิน ทว่ากลับหายไปหมดสิ้น สาครและเหล่าทหารได้แต่มองดูด้วยความเห็นใจกระทั่งเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เวียงจันทราจึงผละออกจากอ้อมแขนแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว

“ข้ามาก็เพื่อสั่งลา”

“ระหว่างเรา ไม่มีสั่งลา” น้ำเสียงเจ้าโคมคำทุ้มกังวาน “เจ้าก็รู้ ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ถ้าไม่มีเจ้าข้าจะอยู่ได้อย่างไร”

“หน้าที่ข้าคือเฝ้าเจดีย์พ้นทุกข์” เวียงจันทราข่มความรู้สึกพูดเสียงต่ำในลำคอ “เจ้าและข้าต่างก็มีภารกิจต้องปฏิบัติ ข้าทำหน้าที่ของข้า เจ้าทำหน้าที่ของเจ้า ภารกิจของเรายังไม่สิ้น” น้ำเสียงขาดเป็นห้วง ๆ ในลำคอ “เจ้าเป็นขุนพล อย่าอ่อนแอให้ข้าเห็น เจ้าจงเข้มแข็ง”

“ไม่มีเจ้า ข้าจะเข้มแข็งได้อย่างไร”

“คำพูดของเจ้า ฟังแล้วข้า…”

“ข้ารักเจ้า คิดถึงเจ้า ตามหาเจ้า ข้าไม่ยอมให้เจ้าไปจากข้า” เจ้าโคมคำเว้นระยะด้วยการมองลึกเข้าไปในดวงตาแล้วเน้นเสียงพูดหนักแน่น “เจ้าบอกข้าเอง ระหว่างเราสองคน ไม่พลัดพราก ไม่จากไป ไม่สั่งลา” เงียบจนทั่วบริเวณตกอยู่ในความเงียบ จากนั้นจึงพูดต่อ “เมื่อได้พบเจ้า ข้าดีใจจนบอกไม่ถูก ข้าอยู่ที่ไหน เจ้าต้องอยู่ที่นั่น”

“ข้ามีหน้าที่ต้องทำ”

“หน้าที่ของเจ้า คือรักข้า” น้ำเสียงของเจ้าโคมคำนุ่มนวล หนักแน่น จริงจัง “หน้าที่ของข้าคือรักเจ้า หน้าที่ระหว่างเราสองคน คือรักเท่านั้น”

เจ้าโคมคำไม่ฟังคำพูดโต้ตอบต่อไปอีก เดินตรงเข้าไปอุ้มเวียงจันทราขึ้นหลังเจ้านิลคราม จากนั้นตวัดตัวเองขึ้นไปนั่งซ้อนหลังแล้วควบเจ้านิลครามไปทันที สาครและทหารอารักขารีบควบม้าตาม กระทั่งควบม้าไปถึงบริเวณหน้าผาสูง สถานที่แห่งนี้สาครเคยพามาหลบซุ่มดักจับทหารของแถนฟ้าลือ เป็นที่เร้นลับอยู่ห่างไกลในป่ารกทึบบริเวณหน้าผามีหินกระจัดกระจายไปทั่ว หินบางแห่งระดะโผล่เหมือนคนเดินไปมา บางแห่งเรียงรายเหมือนเหล่าขุนศึกควบม้าสู่สนามรบ บางแห่งเป็นกลุ่มก้อนใหญ่เหมือนโขลงช้างยาวเหยียด

“ทุกคนหยุดก่อน” เจ้าโคมคำหยุดม้าแล้วหันกลับมาบอกสาครและทหารติดตาม “ตรงนี้ทำเลดีที่สุด มีฉากกำบังแน่นหนา อยู่ในป่าลึกกลางหุบเขา ยากที่ใครจะตามมาพบได้” ลงจากหลังม้าแล้วประคองเวียงจันทราลงมายืนอยู่ข้างเสาหิน “ที่ตรงนี้ห่างจากเจดีย์พ้นทุกข์ไม่มากนักหรอกถ้าดูให้ดีก็จะเห็นยอดเจดีย์ทางโน้น…” ชี้ให้เวียงจันทรามองดูยอดเจดีย์โผล่พ้นปลายไม้แล้วพูดต่อ “ข้าขอร้อง ถึงจะอยู่ไม่ไกลจากเจดีย์พ้นทุกข์ เจ้าอย่ากลับไปอีก”

“หากข้าต้องกลับไปล่ะ”

“ไม่หรอก เจ้าไม่กลับไป ข้ารู้”

เจ้าโคมคำเดินสำรวจไปทั่วบริเวณหน้าผา ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะเวียงจันทรามาอยู่ในความรับผิดชอบ จำเป็นต้องปกป้องคุ้มครองให้ปลอดภัย หลังจากสำรวจบริเวณจนมั่นใจแล้วจึงเดินกลับมาหยุดยืนต่อหน้าสาครแล้วตั้งคำถาม

“เสาหินแต่ละต้น ทำไมสีขาวอมเขียวคล้ายหยก”

“มีตำนานยาวนาน”

“รูปทรงแปลก ๆ ยิ่งเสาหินห้าต้นบริเวณหน้าผา แต่ละต้นทั้งใหญ่ทั้งสูง ข้าอยากรู้นักสาครมาพบที่นี้ได้อย่างไร”

“ข้าไม่รู้อะไร รู้ก็แต่เพียงเป็นผาหินขาว”

พูดจบสาครเดินนำหน้าเข้าไปภายในถ้ำ เจ้าโคมคำเกี่ยวแขนเวียงจันทราเดินตาม หญิงสาวข่มความตื่นเต้นด้วยการหายใจลึกยาว กวาดสายตามองสำรวจด้วยความรู้สึกเหมือนถ้ำเป็นบ้านของตน ถึงจะอยู่ในป่าลึกกลางหุบเขาแต่เริ่มรู้สึกอบอุ่นมองไปทางไหนภายในถ้ำเห็นแต่หินสีขาวอมเขียวเหมือนมีใครมาตกแต่งให้สวยงาม สาครปล่อยให้ทั้งสองตื่นตะลึงความงามของถ้ำ ตัวเองเดินกลับออกไปสมทบทหารที่รออยู่ข้างนอก

เมื่อทั้งสองอยู่ด้วยกันภายในถ้ำตามลำพัง เจ้าโคมคำขยับเดินเข้าหาเวียงจันทรา ต่างฝ่ายต่างเรียกร้องด้วยความรู้สึกจากหัวใจที่โหยหา ถึงลมข้างนอกจะโกรกพัดเข้ามาข้างในให้เย็นฉ่ำ กายต่อกายสัมผัสอุ่นกรุ่นโชนอย่างดื่มด่ำ ร่างแนบร่างซุกซบเหมือนจะเย้ยชะง่อนหิน กระทั่งเวลาผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอิบอิ่มยิ้มระรื่น ต่อจากนั้นประคองร่างเดินเคียงคู่ไปหยุดยืนบนแท่นหิน มองสำรวจรอบทั่วบริเวณแล้วนั่งลงเหมือนเจาะจงให้เป็นบัลลังก์รักคล้ายจะหมายมุ่งให้เทือกเขาสูงเป็นเรือนหอสายน้ำและราวป่าเป็นอุทยานดอกไม้ ควันหมอกและกลุ่มเมฆบนท้องฟ้าเป็นม่านบัง จักจั่นระงมร้องต่างเสียงมโหรีโหมบรรเลง

ภายในถ้ำกลายเป็นเรือนหอของเจ้าโคมคำและเวียงจันทรา ทั้งสองครองใจทะนุถนอมด้วยรักและผูกพัน สาครและทหารทำหน้าที่อารักขา ยิ่งวันเวลาผ่านไปหลายวัน แทนที่เวียงจันทราจะดื่มด่ำอย่างมีความสุข กลับวิตกกังวลมากขึ้นตามลำดับ ด้วยเป็นห่วงเจ้าโคมคำจะถลำลึกไม่ปฏิบัติหน้าที่ในความรับผิดชอบ ช่วงหลังไม่มีการออกลาดตระเวนเหมือนก่อน ถึงจะมีเป็นบางครั้งแต่ปล่อยให้สาครนำทหารออกสอดแนมตามลำพังเพื่อไม่ให้เจ้าโคมคำละเลยหน้าที่ในความรับผิดชอบ ทางเดียวที่ทำได้คือต้องไปจากเขาทันที

เช้าวันนี้ทหารสอดแนมมาแจ้งข่าวพบคนแปลกหน้าท่าทางไม่น่าไว้วางใจ จุดที่พบอยู่ไม่ไกลจากที่หลบซ่อนเท่าไรนัก เจ้าโคมคำและสาครพร้อมด้วยทหารอีกหกคนจึงออกลาดตระเวนด้วยตัวเอง เวียงจันทราอยู่คนเดียวแต่ภายในถ้ำ สายเกือบจะเที่ยงอยู่แล้วเจ้าโคมคำยังไม่กลับมา ยิ่งคิดยิ่งกระวนกระวายอดเป็นห่วงไม่ได้ จึงเดินออกมาข้างนอกแล้วไปยืนรับลมบนชะง่อนหินใต้ต้นประดู่ใหญ่ จุดที่ยืนห่างจากบริเวณปากถ้ำไม่ไกลนักทหารอารักขาตามไปเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ เมื่ออยู่คนเดียวจิตใจก็เริ่มสับสน คิดไม่ตกด้วยรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นภาระสร้างความยุ่งยากให้เจ้าโคมคำ ขืนอยู่ต่อไปมีแต่จะเป็นปัญหายุ่งยากไม่สิ้นสุด เพื่อตัดไฟแต่ต้นลมจึงฉุกคิดถึงเจดีย์พ้นทุกข์ ถอนหายใจยาวแล้วเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางของเจดีย์ ยอดเจดีย์โผล่เหนือปลายไม้สะท้อนแสงวาวอยู่กลางแดด ถึงจะมองเห็นราง ๆ แต่สว่างโชนขึ้นกลางดวงใจ

เวียงจันทราเพิ่งประจักษ์รู้ด้วยตนเอง จากพรากความรักเพียงคิดก็ปวดร้าว แต่หญิงสาวตัดสินใจเด็ดขาด ได้เวลาไปจากเจ้าโคมคำเสียทีจึงค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินลงจากชะง่อนหินใต้ต้นประดู่ใหญ่ เพียงก้าวแรกใจก็เริ่มปวดร้าว ทั้งที่รักแต่ทำไมจึงจากพราก น้ำตาไหลอาบแก้มสองข้้างเป็นทางยาว พิษแห่งความปวดร้าวเหนี่ยวรั้งเท้าที่กำลังก้าวเดินให้หยุด พยายามข่มความรู้สึกฝืนใจก้าวเท้าเดินต่อไปอีก แต่กลับอ่อนเปลี้ยหมดแรงก้าวเท้าไม่ออก หญิงสาวใจไม่แข็งพอที่จะพรากจากเขาไป ร่างทั้งร่างจึงทรุดลงบนเนินดิน

ทหารอารักขาวิ่งเข้ามาช่วยประคองให้ลุกขึ้นนั่ง จังหวะเดียวกันนั้น เจ้าโคมคำควบเจ้านิลครามนำหน้าสาครและทหารกลับมา ขุนพลแห่งสีทันดรโผนลงจากหลังม้าแล้วปราดเข้าไปหาทันที เมื่อไปถึงจึงนั่งลงละล่ำละลักถาม

“เวียงจันทรา เจ้าเป็นอะไร ไม่สบายรึ”

“ข้าเปล่า”

“ก็ข้าเห็นเจ้า…

เจ้าโคมคำลั่นรัวคำถามจนฟังไม่ได้ศัพท์พยายามประคองเวียงจันทราให้ยืนขึ้นอย่างทุลักทุเล ทหารที่ช่วยประคองอยู่ก่อนจึงถอยกลับไปยืนดูอยู่ห่าง ๆ สาครและทหารติดตามเดินเข้ามาสมทบแต่ช่วยอะไรไม่ได้นอกจากยืนดูเท่านั้น

“ก็ข้าบอกแล้วไม่ใช่รึ ให้เจ้าอยู่แต่ในถ้ำ อย่าออกมาข้างนอก” เจ้าโคมคำพูดด้วยความเป็นห่วง “ท่าทางเจ้าเหมือนไม่สบาย”

“ข้าสบายดี ไม่มีอะไร” เวียงจันทราแข็งใจพูดเสียงแผ่ว “ลมพัดเย็นดี ข้าเพียงแต่ออกมาผึ่งลมเท่านั้น ไม่ต้องเป็นห่วงข้า”

“ข้าจะนั่งเป็นเพื่อนเจ้า” เจ้าโคมคำประคองเวียงจันทรากลับไปนั่งบนชะง่อนหิน ทิ้งช่วงเวลาให้หายเหนื่อยแล้วพูดสารภาพผิด “ด้วยหน้าที่ของข้า ข้าทิ้งเจ้าให้อยู่คนเดียว ข้าผิดเอง ข้าขอโทษ” ข่มความรู้สึกระทมทุกข์ด้วยการจ้องมองดวงตาทั้ง
คู่ เหมือนจะค้นหาอะไรสักอย่างที่แฝงลึกอยู่ข้างในเงียบอยู่นานจนกระทั่งบริเวณรอบ ๆ ก็พลอยตกอยู่ในความเงียบ กวาดสายตามองไปทั่ว ๆ แล้วสงบนิ่ง นิ่งกระทั่งพุ่มไม้ต้นหญ้าข้าง ๆ ต่างก็นิ่งตาม สลัดอารมณ์ขุ่นข้องหมองใจจนหมดสิ้นแล้วยืนหยัดคำพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เวียงจันทรเจ้าจงฟังข้า ถ้าไม่มีเจ้าอยู่เคียงข้าง ชีวิตข้าก็ไร้ความหมาย”

“ข้าผิดต่อเจ้าเอง” เวียงจันทราพูดด้วยน้ำตานองหน้า “ข้าสัญญา ต่อนี้ไปข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าไม่ไปจากเจ้าเด็ดขาด” หยุดหายใจแล้วสะอื้นพูด “เจ้าเองก็เช่นเดียวกัน จงรักข้า อย่าทิ้งข้า และอย่าไปจากข้า”

“โอ้ เวียงจันทรา”

“เจ้าโคมคำ”

ลมพัดผ่านยะเยือก กลิ่นดอกไม้ป่าหอมฟุ้ง ผีเสื้อบินคลอคู่จากยอดไม้เตี้ยสู่ยอดไม้สูง ฝูงนกร้องประสานเสียงจักจั่นพันธุ์แม่ม่ายลองไนดังกังวานหน้าผา ท้องฟ้าสีครามขาวโพลนด้วยกลุ่มเมฆ เจ้าโคมคำสวมกอดเวียงจันทราอย่างทะนุถนอม หญิงสาวอ่อนระทวยในอ้อมแขนอย่างอบอุ่น ชะง่อนหินใต้ต้นประดู่ใหญ่ระอุร้อนด้วยแรงรัก ยอดไม้ใบหญ้าลู่ไหวสะบัดลม ราวป่าสนั่นเสียงครึกโครมใกล้เข้ามา เสียงโห่ร้องผสมเสียงม้าวิ่งเกรียวกราวอยู่ไม่ไกล อึกทึกใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เหมือนอยู่หลังต้นไม้ถัดไป

“แถนฟ้าลือจู่โจม”

เสียงตะโกนบอกกันเป็นทอด ๆ เจ้าโคมคำคว้าดาบสายฟ้าผุดลุกขึ้นยืน เสียงม้าร้องและเสียงดาบกวัดแกว่งในอากาศได้ยินถนัดหู เพียงชั่วอึดใจเท่านั้น ทหารชุดเขียวควบม้ากรู ๆ เข้ามารุมล้อมขุนพลแห่งสีทันดรยืนเผชิญหน้าข้าศึกด้วยสายตาคมกริบ เวียงจันทรายืนเงียบอยู่ด้านหลัง สาครพร้อมด้วยทหารคู่ใจคว้าดาบกรูเข้ามายืนขนาบข้าง ถึงมีจำนวนน้อยและตกอยู่ในวงล้อม แต่ละคนฮึกเหิมพร้อมสู้กับเหล่าทหารของแถนฟ้าลือ

“วาสุกรีมาเอง” สาครรีบรายงาน “คนบนหลังม้าที่อยู่ข้างหน้านั้นแหละแม่ทัพใหญ่ของแถนฟ้าลือ เจ้าเล่ห์ อำมหิต ฉายาขุนดาบกระหายเลือด”

“คนนี้รึ แม่ทัพวาสุกรี” เจ้าโคมคำเค้นเสียงพูด “งั้นก็ดีแล้ว ข้าจะขอท้าสู้ตัวต่อตัว”

“ชั้นเชิงดาบยากจะหาใครเทียบได้” น้ำเสียงของสาครเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและเป็นห่วง “ข้าเกรงว่า…อาจเสียทีเพลี่ยงพล้ำ”

“ข้าเป็นขุนพล หน้าที่ข้า คือรบ…”

“ข้ารู้ แต่…”

“สาคร” เจ้าโคมคำพูดตัดบทด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ข้าสั่งเจ้าให้คุ้มครองเวียงจันทราหนีไปเดี๋ยวนี้ ไปให้ไกลที่สุด”

“ไม่ ข้าไม่ไปเด็ดขาด” เวียงจันทราปฏิเสธ “ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า หากต้องตาย ข้าขอตายพร้อมกับเจ้า”

“ข้าก็จะไม่หนีไปไหน” สาครปฏิเสธอีกคน “เมื่อเจ้าสู้ ข้าก็จะสู้ร่วมกับเจ้า พวกเราทุกคนจะสู้ด้วยกัน ไม่มีผู้ใดคิดหนี” มองหน้าสบสายตาทหารทุกคน กัดฟันจนกรามเป็นสันนูน จ้องเขม็งไปยังทหารของแถนฟ้าลือ “หากต้องตาย พวกเราขอตายอย่างชายชาติทหาร”

สาครและทหารทุกคนยืนหยัดพร้อมสู้ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ถอยหนี คำสั่งของเจ้าโคมคำจึงเป็นหมัน มีก็แต่เลือดนักรบระอุพร้อมเผชิญหน้าเจ้าโคมคำจึงเปลี่ยนแผนด้วยการมองสำรวจกำลังของฝ่ายตรงกันข้าม วาสุกรีแม่ทัพใหญ่ของแถนฟ้าลือมาด้วยตัวเอง ทหารเวียงวารินทร์แต่ละคนหน้าตาเหี้ยมเกรียม กิริยาท่าทางแสดงความดุร้ายซ่อนลึกอยู่ในนิสัยใจคอ เพียงเห็นทหารแต่ละคนบนหลังม้าก็รู้ถึงความอำมหิตร้ายกาจ การต่อสู้กับวาสุกรีจึงไม่ง่ายที่จะกำชัย เจ้าโคมคำรู้ดีว่าตัวเองมีกำลังน้อยกว่า ทหารแต่ละคนถึงจะฮึกเหิมแต่จิตใจเริ่มหวั่นไหว มองไปทางไหนเห็นแต่ทหารเวียงวารินทร์ แต่ละคนแต่งกายชุดเขียวกลายเป็นสีเดียวกับต้นไม้ในป่า ประกอบกับตกอยู่ในวงล้อมใจก็ยิ่งระส่ำระสาย ลึก ๆ ในความรู้สึกเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ยิ่งไปกว่านั้นเขาเริ่มเป็นห่วงเวียงจันทรา

“อย่าห่วงข้า” เวียงจันทราพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว “เมื่อตัดสินใจสู้ จงออกไปสู้ด้วยความกล้า อย่ามัวคิดถึงแพ้หรือชนะ จงสู้ด้วยสติปัญญา”

คำพูดของเวียงจันทราปลุกให้ทุกคนฮึกเหิมขึ้นในฉับพลัน เจ้าโคมคำกวาดสายตามองไปรอบ ๆ อีกครั้ง เป็นการสำรวจเหล่าทหารฝ่ายตรงข้ามเพื่อให้แน่ใจ ถึงจะมีกำลังเพียงหยิบมือเดียวเมื่อเทียบกำลังทหารของวาสุกรี สู้อย่างไรไม่มีทางชนะเพราะน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ แต่ถ้าไม่บุ่มบ่ามใช้อารมณ์ให้ฝ่ายตนตกเป็นเบี้ยล่าง ทางชนะย่อมมีอย่างแน่นอน จึงพยายามสงบจิตใจคิดไตร่ตรองวางแผนสู้ วาสุกรียิ่งข่มขวัญเขม็งมองด้วยสายตาเย้ยหยัน ก็ยิ่งรู้สึกตัวเองเหมือนสมันน้อยกลางวงล้อมของเสือร้าย

‘…อย่ามัวคิดถึงแพ้หรือชนะ จงสู้ด้วยสติปัญญา’

คำพูดของเวียงจันทราปลุกเจ้าโคมคำให้ตื่นขึ้นมาผาดโผนสู้ ถึงกำลังทหารจะน้อยกว่าแต่ใช้สติปัญญาเป็นอาวุธ ทั้งที่หวั่นสะท้านฝ่อใจอยู่ในความกลัว ทุกคนกลับหาญห้าวด้วยจิตวิญญาณของนักรบ.

(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)

Leave a Reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

WP2Social Auto Publish Powered By : XYZScripts.com