Journey of Life ชีวิตใหม่
คํานํา
มนุษย์ออกเดินทางตั้งแต่เกิด เมื่อลืมตาดูโลกคือ ประสบการณ์แรกที่ได้พบโลกใบใหม่ เมื่อเติบใหญ่ชีวิตหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามวัย ตามเหตุการณ์ที่ผันแปรไป
ระหว่างการเดินทางฉันได้พบกัลยาณมิตรมากมาย ผู้เป็นคนคอยชี้ทาง ประคับประคอง ช่วยเหลือเกื้อกูลกันตลอดมา ความรัก ความผูกพันเกิดขึ้นระหว่างกัน
นอกจากนั้น ฉันยังได้รับความรัก ความอบอุ่นจากครอบครัว ผู้บ่มเพาะให้เป็นฉันทุกวันนี้ ทําให้มีพลังในการก้าวเดินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยความมุ่งมั่นพร้อมที่จะแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้ผู้คน
ขอบคุณพ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ สามี ลูกชายทั้งสองที่คอยสนับสนุนให้กําลังใจ ทําให้ฉันได้ทําตามฝันอีกหนึ่งฝันคือ การเขียนหนังสือ ขอบคุณครูปราย พันแสง ผู้จุดประกายทําให้ฉันร้อยเรียงเรื่องราวออกมา
วัยเยาว์ฉันมีโอกาสเรียนรู้โลกกว้าง ทําให้มีฝันมีจินตนาการอยากเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ เมื่อมีโอกาสไปทํางานต่างประเทศ ได้เก็บเกี่ยวเรียนรู้ประสบการณ์ผ่านการพบปะผู้คน สังคม วัฒนธรรมที่แตกต่างกัน บนความแตกต่างกลับพบความเหมือนคือ การมีความรักความผูกพันระหว่างกัน
ข้อเขียนชุดนี้จะบอกเล่าเรื่องราวชีวิตฉันที่ออกเดินทางตามล่าหาฝัน พบความสุข ทุกข์ เศร้า เหงา สมหวัง ผิดหวัง ครบทุกรสชาติ ระหว่างการเดินทางค้นพบความรัก ความผูกพันระหว่างผู้คน ต่างเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม สัมผัสดื่มด่ำกับธรรมชาติ ต้นไม้ ดอกไม้ รวมถึงสัตว์ทั้งหลาย
หลังการเดินทางมาอย่างยาวนาน ฉันค้นพบความงดงามที่เกิดขึ้นภายใน ยอมรับและเข้าใจความเป็นไปของสรรพสิ่ง ทําให้รู้ว่าทุกสิ่งที่ผ่านมาล้วนเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่ามีความหมาย
อยากชวนผู้อ่านท่องโลกกว้างไปด้วยกัน การเดินทางที่ผ่านมาเป็นการเดินทางภายนอก เมื่อฉันนําประสบการณ์เหล่านั้นมาสํารวจ ใคร่ครวญจนตกผลึกทางความคิด พบโลกภายในเป็นความสุขเรียบง่าย จึงอยากแบ่งปันเรื่องราวเหล่านี้
ขอเชิญติดตามเรื่องราวชีวิตผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่เดินทางมากกว่าครึ่งชีวิต บัดนี้ค้นพบว่าความสุขมิได้อยู่ไหนไกลอยู่ใกล้ ๆ ในใจเรานี่เอง
“สำรวจโลกภายนอก…ผ่านการเดินทาง
สำรวจโลกภายใน…ผ่านใจตนเอง”
บทที่ ๑ จุดเริ่มต้น
เด็กหญิงตัวน้อยผจญภัยท่องโลกกว้าง ผ่านการเดินทางคนเดียวตั้งแต่เด็ก แม่บอกว่าอยากฝึกให้ฉันมีความมั่นใจและตัดสินใจด้วยตัวเอง การเรียนรู้เช่นนี้เป็นการเรียนนอกตํารา เป็นประสบการณ์ผ่านการเดินทาง โดยศึกษาสิ่งต่าง ๆ รอบตัว และสังเกตผู้คนรอบข้างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ปิดเทอมแม่บอกให้ฉันเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ การได้เดินทางคนเดียวเป็นชีวิตที่สนุก ตื่นเต้น ท้าทาย สําหรับเด็กน้อยอย่างฉัน แม่ส่งฉันขึ้นรถไฟเดินทางไปผจญภัยด้วยตัวเอง เสียงหวูดรถไฟดังก้อง เป็นสัญญาณว่าการเดินทางกําลังจะเริ่มขึ้น หัวใจเด็กน้อยพองโตโบกมือให้แม่ที่ยืนยิ้มให้ที่ชานชาลา ตะโกนเสียงดังลั่นว่า แม่จ๋า หนูไปก่อนนะ ได้ยินเสียง ฉึก..ฉัก..ฉึก..ฉัก ฉึก..ฉัก เหมือนเสียงดนตรีที่ให้จังหวะการเคลื่อนตัวของม้าเหล็ก มุ่งตรงสู่จุดหมายปลายทาง
ฉันนั่งมองวิวระหว่างทางขณะขบวนรถไฟเคลื่อนตัวผ่านทุ่งข้าวเขียวขจี ต้นไม้น้อยใหญ่เรียงรายมากมาย ลมเย็น ๆ ปะทะใบหน้า ฉันสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากธรรมชาติ ภาพตรงหน้างดงามราวภาพวาด ฉันนึกสนุกหลับตาจินตนาการเห็นภาพตัวเองวิ่งโลดแล่นไปยังท้องทุ่งกว้างเบื้องหน้าอย่างมีความสุข เป็นอิสระ ฉันยิ้มน้อย ๆ กับตัวเอง โอ! แค่คิดก็มีความสุขแล้ว
ระหว่างการเดินทางอันยาวไกลจะมีเจ้าหน้าที่เดินไปมาคอยถามว่า ต้องการอาหารและเครื่องดื่มไหม ฉันส่ายหน้าปฏิเสธรอให้รถไฟจอดตามสถานี จะมีพ่อค้าแม่ค้านําข้าวเหนียว ไก่ย่าง พร้อมมะพร้าวน้ำหอมลูกเล็ก ๆ และผลไม้ต่าง ๆ มาขาย นั่นคืออาหารอันโอชะของฉัน
นึกถึงภาพข้าวเหนียวไก่ย่างทีไร น้ำลายไหลทุกครั้ง ฉันกินอาหารมื้อนั้นอย่างเอร็ดอร่อย อิ่มแล้วหนังท้องตึงหนังตาหย่อน ฉันเอนกายพักผ่อนนอนฟังเสียงล้อเหล็กที่ดังฉึก..ฉัก..ฉึก..ฉัก…ฉึก…ฉัก การเคลื่อนตัวเป็นจังหวะ และเสียงหวูดดังเป็นระยะ ๆ ขับกล่อมให้ฉันหลับไปอย่างมีความสุข เมื่อถึงที่หมายยามเย็นก่อนตะวันลับขอบฟ้า รถไฟเทียบชานชาลา ฉันมองเห็นป้ายืนโบกมือให้แต่ไกล
เมื่อเดินทางถึงเมืองกรุง ฉันเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมาย เรียนวิทยาศาสตร์ที่ท้องฟ้าจําลอง ศึกษาชีวิตสัตว์ที่เขาดิน ฝึกว่ายน้ำในสระกว้างกับเพื่อน ๆ ที่น่าตื่นเต้นคือ ฉันได้ลองเล่นสเก๊ตน้ำแข็งครั้งแรกในชีวิต ขณะวิ่งถลาบนลานกว้าง หัวใจเด็กน้อยอย่างฉันล่องลอยเป็นอิสระ เกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าว่าอยากจะเดินทางไปไกลสุดขอบฟ้า
การเดินทางสู่โลกกว้างเป็นการเปิดตา เปิดใจ ของเด็กคนหนึ่งให้ได้รับประสบการณ์ที่ทําให้มีความคิดกว้างไกล เกิดแรงผลักดันขับเคลื่อนภายใน มีความเชื่อนําไปสู่ความฝันว่า ฉันน่าจะเดินทางไปได้ไกลมากกว่าแค่การนั่งรถไฟจากบ้านไปเมืองกรุง
เมื่อเดินทางกลับบ้านต่างจังหวัด ความฝันอยากเดินทางท่องโลกกว้างดังขึ้นเป็นระยะ ๆ วันหนึ่งฉันชี้นิ้วน้อย ๆ ขึ้นบนฟ้า บอกแม่ว่าฉันจะนั่งเครื่องบินไปให้ไกลสุดขอบฟ้า แม่บอกว่า ฝันไกลตกลงมาเจ็บนะลูก ฉันตอบอย่างมั่นใจ ด้วยแววตาแห่งความมุ่งมั่น ตกไม่กลัว ตายก็ไม่กลัว ขอให้ได้ทําตามฝันก็พอ นั่นคือ จุดเริ่มต้นในการออกเดินทางตามล่าหาฝันของฉันในวันนั้น
ฉันเก็บความปรารถนาอย่างแรงกล้าเอาไว้ในหัวใจดวงน้อย ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไรฉันก็ไม่เปลี่ยนใจเพราะนี่คือเป้าหมายในชีวิต สิ่งนี้เป็นแรงผลักดันให้ฉันตื่นขึ้นมาทุกวันที่เต็มเปี่ยมด้วยพลัง พร้อมที่จะทําสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้ฝันเป็นจริง
ฉันมารู้ภายหลังว่าสิ่งนี้เรียกว่า Passion การมี Passion ทําให้ฉันมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทําสิ่งต่าง ๆ ด้วยความอดทน มุ่งมั่น แม้มีปัญหาอุปสรรคก็ไม่ย่อท้อ เหนือสิ่งอื่นใดคือ การลงมือทําอย่างจริงจัง จึงจะไปถึงฝั่งฝันดังที่ตั้งใจ
ฉันเชื่อว่า การจะทําอะไรยิ่งใหญ่ต้องเริ่มต้นจากก้าวเล็ก ๆ หากทําด้วยความตั้งใจและเต็มที่กับทุกเรื่อง ทําด้วยด้วยหัวใจเต็มร้อย
“ฉันเชื่ออย่างหมดใจว่า ฝันฉันจะเป็นจริงสักวัน
ฝันให้ไกล…ไปให้ถึง”
บทที่ ๒ ตามล่าหาฝัน
เมื่อฝันอยากเดินทางไปให้ไกลสุดขอบฟ้า ฉันมุ่งมั่นด้วยการตั้งใจเรียน วางแผนชีวิต และวางแผนอนาคตให้ตนเอง ฉันสนใจอ่านหนังสือแนวสร้างแรงบันดาลใจ สมัยนั้นหนังสือค่อนข้างหายากและยังไม่มีโซเชี่ยลให้ค้นคว้าหาข้อมูลเช่นทุกวันนี้
จําได้ว่า ฉันอ่านหนังสือของหลวงวิจิตรวาทการเรื่อง กําลังความคิด กล่าวถึงความมหัศจรรย์ในการฝึกประสาท ฝึกสมาธิ ค้นหาปฏิภาณ ไหวพริบ ฝึกความจํา และการสังเกต ทําให้ฉันได้แนวทางในการค้นหาตนเอง
ฉันอ่านหนังสือแนวการสร้างหนทางมุ่งสู่ความสําเร็จในชีวิต ฉันฝึกทําแบบฝึกหัดโดยการสํารวจตัวเองด้วยการตอบคําถาม และอ่านบทความที่เกี่ยวกับการสร้างแรงบันดาลใจ หนังสือเหล่านี้ได้จุดประกายไฟฝันของฉันให้ลุกโชน
นอกจากการอ่านหนังสือแล้ว ฉันยังสนใจสิ่งต่าง ๆ รอบตัว สังเกตผู้คนรอบด้านผ่านการเดินทาง สิ่งเหล่านี้ได้หล่อหลอมให้ฉันกลายเป็นนักผจญภัยด้วยการสํารวจโลกตั้งแต่เด็ก
เมื่ออายุ ๑๗ ปีฉันอยากออกเดินทางท่องโลกอีกครั้ง ปรารถนาจะโบยบินอย่างอิสระ ฉันขอแม่ไปเรียนกรุงเทพฯ เพื่อเรียนรู้โลกจริง ๆ เป็นการตัดสินใจที่จะไปใช้ชีวิตด้วยตนเอง
แม่บอกว่า หากตัดสินใจเช่นนี้ขอให้ทําทุกอย่างให้ดีที่สุด ขอให้ฉันสอบเข้าโรงเรียนชื่อดัง เรียนมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง และทํางานให้ประสบความสําเร็จ แม่จึงจะยอมตามที่ขอ
ฉันตกลงทําตามความต้องการของแม่ มุ่งมั่น ตั้งใจเรียน จนสอบเข้าโรงเรียนมัธยมชื่อดังในกรุงเทพฯ เมื่อสอบได้แม่เดินทางไปส่งฉันด้วยตนเอง เราสองคนแม่ลูกนั่งรถไฟเดินทางจากบ้านต่างจังหวัดมุ่งหน้าสู่เมืองกรุง
การเดินทางเริ่มต้นอีกครั้ง ฉันตื่นเต้นดีใจที่จะได้ไปใช้ชีวิตด้วยตนเอง แม่บอกว่าตั้งแต่นี้ไปให้ทําตัวดั่งนก บินให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไปได้ แม้ท้องฟ้ากว้างใหญ่เพียงใดขอให้ไปให้สุดขอบฟ้า ให้ดูแลตัวเองทั้งเรื่องการเรียนและอนาคต แม้กระทั่งสมุดพกแม่บอกให้เซ็นเอง รับผิดชอบตัวเอง
ฉันได้รับอิสระในการดําเนินชีวิตตั้งแต่บัดนั้น ก่อนจากกัน แม่พูดด้วยเสียงหนักแน่นว่า แม่เชื่อมั่นว่าเลี้ยงลูกมาดีต้องได้ดีสักวัน
แม่หาหอพักในเมืองไม่ไกลจากโรงเรียน เป็นห้องพักเล็ก ๆ สําหรับพักคนเดียว ในห้องมีเพียงโต๊ะเขียนหนังสือ เตียงนอนและตู้เสื้อผ้า ฉันใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว ต้องดูแลตัวเองในเรื่องการกิน อยู่ การใช้จ่าย วางแผนการเรียน วางแผนอนาคตทุกอย่างด้วยตัวเอง
ชีวิตไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด ต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นชิน ปรับใจให้ก้าวข้ามความเหงา ความว้าเหว่
การเรียนช่วงแรกฉันต้องตามเพื่อนให้ทันในแต่ละวิชา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ เด็กต่างจังหวัดอย่างฉันอ่านออก เขียนได้แบบงู ๆ ปลา ๆ แต่คนอย่างฉันไม่ย่อท้อ กัดฟันสู้ อะไร
ไม่รู้ก็ต้องรู้ให้จงได้ หากวิชาไหนไม่เข้าใจไปถามครูให้อธิบายหลังเลิกเรียน เพื่อนคนไหนเก่งวิชาใดฉันจะไปขอความรู้ให้ช่วยสอนให้จนกว่าจะเข้าใจ กว่าจะผ่านมาได้หืดขึ้นคอ
ฉันจบมัธยมมาได้อย่างเฉียดฉิว ตั้งใจอ่านหนังสืออย่างขะมักเขม้นเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังตามที่หวัง เพื่อไต่บันไดแห่งความฝันทีละขั้น ขณะเรียนก็หางานพิเศษทําเพิ่มพูนประสบการณ์ให้ตัวเอง ฉันได้พบปะผู้คนมากมาย หลากหลายอาชีพ บ่มเพาะให้รู้จักการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น
ก่อนเรียนจบปีสุดท้าย ฉันวางแผนจะเดินทางสู่โลกกว้างด้วยการไปสมัครงานสายการบินแห่งชาติ ตั้งใจฝึกฝนเคี่ยวกรําตัวเองจนสามารถสอบผ่านทุกขั้นตอน วันประกาศผลสอบปรากฏว่าสอบได้ ฉันดีใจ กระโดดโลดเต้น กู่ร้องตะโกนก้องฟ้า ฝันเป็นจริงสักที
ขณะกําลังมีความสุข จู่ ๆ ถูกดับฝันกลางคัน กําลังจะจบการศึกษาปริญญาอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือคว้า ผลปรากฏว่า ฉันสอบตกวิชาสุดท้าย ทําให้ไม่สามารถไปทํางานตามที่หวังเหมือนฟ้าถล่มดินทะลาย คับแค้นใจยิ่งนัก
วันนั้นฉันวิ่งพล่าน ร้องไห้ฟูมฟายไม่อายใคร ไม่รู้จะจัดการกับความโศกเศร้าเสียใจอย่างไร วิ่งรอบสนามฟุตบอลที่มหาวิทยาลัยไม่รู้กี่รอบ วิ่งไปตะโกนไปจนเสียงแหบแห้ง วิ่งจนเหนื่อยหอบ ทั้งน้ำตา น้ำเหงื่อ ไหลปนกันไม่รู้อะไรเป็นอะไร รสชาติเค็ม ๆ ปะแหล่ม ๆ
ฉันซมซานกลับห้องพักดั่งนกปีกหักไร้เรี่ยวแรง อ่อนล้าเหลือเกิน จะทําอย่างไรต่อไปกับชีวิต นั่งซบหน้าหมดอาลัยตายอยากกับพื้นห้อง หลับตาเห็นภาพตัวเองอยากโบยบินไปในนภากว้าง ปล่อยให้น้ำตารินไหลเป็นทาง นั่งซบหน้านิ่งนาน
ฉันค่อย ๆ ดึงสติกลับคืนมา ถามตัวเองว่าการผิดหวังครั้งนี้เพียงแค่เริ่มต้นจะยอมแพ้แล้วกระนั้นหรือ ทบทวนอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ร้องไห้ไปก็เท่านั้น ลุกขึ้นปาดน้ำตา ฝันไกลมิใช่หรือ หากจะไปให้ถึงฝั่งฝัน ต้องมุ่งหน้า อดทน ฝ่าฟัน หนทางยังอีกยาวไกล ยังมิถึงที่หมายจะไม่หยุดฝัน
ภาพวัยเด็กที่ชี้นิ้วขึ้นบนฟ้า บอกแม่ว่าจะเดินทางไกลสุดขอบฟ้าปรากฏในมโนภาพแจ่มชัด จริงซิ! เมื่อกล้าฝัน ต้องกล้าลงมือทํา ฝันไกลต้องไปให้ถึง
“ความล้มเหลว…มิใช่ความพ่ายแพ้
ตราบที่ยังมีลมหายใจ…จะต้องทำฝันให้เป็นจริงสักวัน”
(ติดตามตอนต่อไปฉบับหน้า)