ขี้ข้าเขา : ชาติชั่วอย่างดี
ทางอีศาน ฉบับที่ ๙ ประจำเดือนมกราคม ๒๕๕๖
คอลัมน์: บ้านเมืองเรื่องของเรา
Column: Back to the Root
ผู้เขียน: สมคิด สิงสง
หลายปีก่อนหน้านี้ผมเขียนบทเพลงออกมาเพลงหนึ่ง ตั้งชื่อว่า “ขี้ข้าเขา” มีการนำเสนอบ้างแต่ยังไม่แพร่หลายเป็นเรื่องเป็นราว
“ขี้ข้าเขา เอ๋ยบักขี้ข้าเขาบอกบ่เอา บักหมากินความคึดบักห่ากินหัวมึงเอยช่างทำเฉยเมยเป็นตาน่างึดบักปอบกินตับกินไส้กินฮอดหัวใจจนหมดความคึด…”
โดยที่พยายามรวบรวมถ้อยคำสำนวนที่พ่อแม่แก่เฒ่าก่นด่าลูกหลานที่ดื้อด้านมึนชา บอกไม่ได้ใช้ไม่ฟัง… คำป้อยแช่งด่าทอเหล่านี้จะระเบิดออกมาจากเบื้องลึกของหมากหัวใจ ถ้าไม่ได้ก่นด่าถ้อยคำอันสะใจเหล่านี้ เสมือนหนึ่งยังมีสิ่งที่ค้างคาอยู่ในมโนสำนึก แต่เมื่อได้ผรุสวาทออกไปก็เป็นอันผ่อนคลายในอารมณ์
ขี้ข้าเขา : ขี้ข้าใคร ?
ผมมีข้อสงสัยลึก ๆ ในใจมานาน…
ถ้อยคำที่ว่า “บักขี้ข้าเขา” หรือ “อีขี้ข้าเขา”
ที่พ่อแม่แก่เฒ่าผรุสวาทขึ้นมาอย่างหนำใจนั้นมันหมายถึงอะไร ? ขี้ข้าใคร ? เมื่อไหร่ ?
สมัยเรียนประวัติศาสตร์ในโรงเรียน ครูบาอาจารย์มักจะอบรมบ่มสอนเราให้มีความทะนงใจในชาติ (ไทย) ด้วยเหตุผลที่ปั้นแต่งขึ้นมาว่าเราไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นแก่ชาติใด เว้นแต่ในยุคสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้เสียกรุงแก่พม่า ๒ ครั้ง แต่ก็มีวีรกษัตริย์ทรงรวบรวมไพร่พลกอบกู้กรุงศรีอยุธยามาได้ทั้ง ๒ ครั้ง
ผมเคยสนทนากับ ฯพณฯ พูมี วงวิจิด ทั้งในยุคที่ท่านทำหน้าที่ผู้ว่าการประธานประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ปฏิบัติหน้าที่แทนเสด็จเจ้าสุพานุวง เมื่อครั้งที่ผมนำคณะนักเขียนสโมสรนักเขียนภาคอีสาน ไปเยือน สปป.ลาว อย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของสมาคมนักประพันธ์ลาว กระทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรม และครั้งหลังเมื่อท่านเกษียณและเจ็บป่วยแล้ว
ท่านบอกพวกเราว่าการศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ถ้าเราอยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยม แล้วมองผ่านช่องหน้าต่างหรือประตู เราก็จะเห็นภาพภายในกรอบประตูหรือหน้าต่าง แต่เมื่อใดที่เราออกจากห้องสี่เหลี่ยมนั้น แล้วมองไปโดยรอบ เราจะเห็นโลกทั้งโลก
ท่านยกตัวอย่างให้เราฟังว่า ตอนเสียกรุงศรีอยุธยาหนที่สองให้แก่พม่านั้น จักรวรรดินิยมอังกฤษได้อินเดีย อัฟกานิสถาน และพม่าเป็นเมืองขึ้นแล้ว…
หรือเราเคยเป็นขี้ข้าจักรวรรดินิยม ?
หมายความว่าเบื้องหลังพม่าในเวลานั้นคืออังกฤษ…อย่างนั้นหรือ ?
ผมได้รับฟังมาว่าจักรวรรดินิยมยุโรป คืออังกฤษและฝรั่งเศสเขามีข้อตกลงกัน เอาลำน้ำเจ้าพระยาเป็นเส้นแบ่ง ฟากตะวันออกเป็นเขตอิทธิพลของจักรวรรดิบริเตนใหญ่ ครอบคลุมลุ่มน้ำสาละวินไปจนถึงอินเดียและตะวันออกกลาง ส่วนฟากตะวันตก ไล่ไปตั้งแต่ชี มูล โขง ไปจนตลอดอินโดจีน จักรวรรดินิยมฝรั่งเศสยึดครอง
ฝรั่งเศสยึดครองอินโดจีนอย่างเปิดเผย แล้วก็มีทำสนธิสัญญากับอังกฤษให้สยามเป็นรัฐกันชนแต่ก็กัดกร่อนอาณาเขตรัฐสยามอยู่เรื่อย ไม่ว่าอังกฤษหรือฝรั่งเศส
เรื่องนี้มีคนพยายามอธิบายว่าเป็นวิเทโศบายของสยามที่จะไม่เป็นเมืองขึ้นใครอย่างเปิดเผย แต่ผมว่านั่นล่ะอันตราย เพราะคนสยามและคนไทยในเวลาต่อมาไม่ได้สำเหนียกว่าตนเคยเป็นเมืองขึ้นของจักรวรรดิใด แต่ถูกเขากอบโกยทรัพยากรธรรมชาติไปไม่รู้กี่มากน้อย เช่นกรณีไม้สักทองทางภาคเหนือของเรา เป็นไม้สักคุณภาพดีที่สุดในโลกก็ถูกชักลากผ่านพม่าไปลงเรือยังท่าเรือน้ำลึกเมาะละแหม่ง
เพื่อผูกพันลึกซึ้งระหว่างรัฐสยามกับหัวเมืองล้านนา เจ้านางดารารัศมีจำต้องถวายตัวเป็นพระชายาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และเจ้าน้อยศุขเกษม (ลูกหลานเจ้าเมืองเชียงใหม่) ก็ถูกเรียกตัวกลับจากพม่า พลัดพรากจากจอมใจคือแม่นางมะเมียะ จนมาตรอมใจตายด้วยพิษสุราเรื้อรังที่กรุงเทพฯ
พร้อมกันนั้นรัฐสยามก็รับเอาแบบแผนการเมืองการปกครอง และการทหารมาจากยุโรป ผมไม่อยากจะคิดว่านี่คือการครอบงำของยุโรปที่มีต่อวัฒนธรรมบรรพชนของเรา และผ่านมาถึงลาว
“ระวังไทยสิจับกินบี…” นี่ก็คืออีกถ้อยคำที่พ่อแม่แก่เฒ่าของเราใช้กำราบลูกหลานที่กระจองอแง
จึงไม่แปลกที่วัฒนธรรมขี้ข้าเขาจะครอบงำความคิดจิตสำนึกของเรา
เปิดเสรีอาเซียน “ตั้งโต๊ะให้เขารุมกินเราหรือเปล่า?”
บนเวทีอภิปรายเรื่อง “บทบาทวรรณกรรมไทยในเวทีอาเซียน” ในวาระประชุมใหญ่ประจำปีของสโมสรนักเขียนภาคอีสาน เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา เนื่องในโอกาสอาเซียนจักผนึกเป็นหนึ่งเดียวอย่างรอบด้านในปี พ.ศ.๒๕๕๘ นี้ ผมนำเสนอแนวคิดที่ค่อนข้างแตกต่างไปจากวิทยากรท่านอื่น ๆ
คือผมบอกว่าไม่เป็นกังวลว่าวรรณกรรมไทยจะไปปรากฏตัวในเวทีอาเซียนได้มากน้อยแค่ไหนแต่สิ่งที่ผมเป็นกังวลมากกว่าก็คือ วรรณกรรมไทยจะช่วยคนไทยให้รู้เท่าทันอาเซียนมากน้อยเพียงใดต่างหาก หรือว่าเราจะเป็นได้แค่ “ขี้ข้าเขา” เช่นนี้ร่ำไปหรืออย่างไร ?
การตระเตรียมพลังงานไฟฟ้า ทรัพยากรน้ำและระบบสาธารณูปโภคทั้งหลายทั้งปวง แท้แล้วตระเตรียมเพื่อใคร ?
เพื่อคนไทย หรือเพื่อระบอบทุนข้ามชาติที่ประสานประโยชน์กับนายทุนชาติ กดหัวคนไทยลงเป็น “ขี้ข้า” อย่างที่เป็นมาและเป็นอยู่อย่างนั้นหรือไร ?
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติช่วยขยายความให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า หากคนไทยเราไม่รู้เท่าทันโลกสมัยใหม่ การเปิดเสรีอาเซียนก็ดังเราเปิดรั้วบ้าน แล้วก็ตั้งโต๊ะให้เขามารุมกินโต๊ะเราเท่านั้นเอง
ทำให้ผมนึกถึงถ้อยคำอมตะของพ่อแก่แม่เฒ่าที่ผรุสวาทลูกหลาน
“ขี้ข้าเขา ชาติชั่วอย่างดี”.