นางแตงอ่อน

คอลัมน์ นางในวรรณคดีอีสาน

นางในวรรณคดีเป็นคำจำกัดความของตัวละครฝ่ายหญิงที่เป็นตัวเอก นั้นก็หมายถึงเหล่านางเอกผู้ที่มีสิริโฉมงดงาม เป็นปมเรื่องเป็นตัวดำเนินเรื่องในแนวนิยายนิทานของทุกชนชาติ และในวรรณคดีทางภูมิภาค ที่ราบสูงทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็ยังคงปรากฏความงาม ความอ่อนโยนของนางเหล่านั้นไม่แพ้วรรณคดีของภาคอื่น นางในวรรณคดีอีสานที่ผู้เขียนจะได้กล่าวถึงต่อไปก็คือนางที่มีนามว่า แตงอ่อน มาจากวรรณคดีเรื่องนางแตงอ่อน วรรณคดีเรื่องนี้ทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือบางพื้นที่ใช้ชื่อว่า มหาวงศ์ แตงอ่อน ทางภาคกลางใช้ชื่อว่า เจ้าหญิงแตงอ่อน

เรื่องราวของนางแตงอ่อนเริ่มต้นที่ มีเมืองอยู่เมืองหนึ่งชื่อว่านครโกสี พระราชาผู้ครองนครมีพระโอรสนามว่าท้าวมหาวงศ์ องค์ชายมหาวงศ์ผู้นี้มีสิริโฉมงดงามดั่งพระอินทร์ ดังบทประพันธ์ในคำกลอนอีสานที่มีชื่อว่าโคลงสาร ได้พรรณนารูปโฉมของเจ้าชายมหาวงศ์ไว้ว่า

ตั้งหาก งามเลิศล่ำ โสมเจ้าเกิ่งอินทร์ แท้แล้ว

ชื่อว่า มหาวงศ์เจ้า กุมารแม่นชื่อ เจ้าแล้ว

เมื่อเจ้าชายมหาวงศ์อายุได้ ๑๕ ปี ได้พาเหล่าขุนนางออกเดินทางไปต่อไก่ที่ชายป่านอกพระนคร การต่อไก่ หมายถึง การนำไก่ต่อมาล่อไก่ป่าให้ออกมาติดกับนั้นเอง ด้วยว่าบุพเพสันนิวาสที่เจ้าชายมหาวงศ์ต้องพบกับเนื้อคู่ ทำให้เจ้าไก่ต่อตัวนั้นวิ่งตามไก่ป่าหายเข้าไปในป่าลึก เจ้าชาย และขุนนางคนสนิทซึ่งมีชื่อว่า ขุนคาน ขุนเค่ง ขุนทุม ทั้งสามคนได้วิ่งตามพระองค์ชายไปจนถึงริมแม่น้ำ ในขณะนั้นเป็นเวลาใกล้ค่ำทั้งสี่คนจึงได้นอนพักอยู่ที่ริมน้ำ

คืนนั้นเจ้าชายมหาวงศ์สุบินว่าได้พบหญิงสาวผู้มีรูปร่างหน้าตางดงาม คล้ายเทพธิดาบนสวรรค์ เมื่อทรงตื่นบรรทมจึงเล่าความฝันนั้นให้เหล่าขุนนางที่ติดตามฟัง ฝ่ายขุนคานจึงได้เล่าว่าบริเวณใต้มหานทีแห่งนี้เป็นที่อยู่ของนครใต้บาดาล เป็นเมืองของพญาจระเข้นามว่าท้าวกุมพล เมื่อพระองค์ชายมหาวงศ์ทราบดังนั้นจึงปลงใจเชื้อว่าหญิงสาวในความฝันนั้นต้องอยู่ในนครใต้บาดาลนี้เป็นแน่ จึงออกคำสั่งให้ให้ขุนคานกับขุนทุมดำน้ำลงไปสำรวจเพื่อให้เห็นเป็นประจักษ์แล้วรีบกลับขึ้นมารายงาน ทั้งสองคนน้อมรับคำสั่งแล้วรีบดำลงไปมหานครใต้น้ำ

ณ นครของท้าวกุมพลนั้นเป็นนครของจระเข้ผู้มีอิทธิฤทธิ์ ท้าวกุมพลมีมเหสีคือนางทองแดง และมีพระกุมารนามว่า กุมภา พระธิดานามว่า แตงอ่อน และมีพระกุมารอีกพระองค์นามว่า วรกัน แต่เป็นที่น่าประหลาดเจ้าหญิงแตงอ่อนนั้นกลับมีพระวรกายเป็นมนุษย์ผู้หญิงที่งดงามเปรียบดังสาวสวรรค์นางฟ้า ซึ่งแตกต่างจากชาติกำเนิดที่เป็นจระเข้ ความงามของเจ้าหญิงแตงอ่อนได้พรรณนาไว้ในบทประพันธ์ว่า

        ตั้งว่า     สอยวอยหน้า  พรหมพะกายแอวกิ่ว 
            ผิวแลบเกลี้ยง   มือส่วยสิ่งเหลา
            เกศาซ้อง    งามออนอิดอ่อน
            ผมเกศเกล้า  เขียวเกลี้ยงดั่งเทา    แท้แล้ว
        ชื่อว่า ศรีกษัตริย์น้อย นางงามแตงอ่อน       ก่อนแล้ว

เมื่อขุนคานและขุนทุมดำน้ำลงไปก็ได้พบกับนครใต้บาดาลที่มีปราสาทราชวังอันกว้างใหญ่ไม่แพ้นครโกสี ทั้งขอบเขตปริมณฑลก็งามยิ่งล้ำ ทันใดนั้นขุนคามและขุนทุมได้ไปเห็นนางผู้หนึ่งซึ่งก็คือเจ้าหญิงแตงอ่อน พระธิดาในท้าวกุมพลกับนางทองแดง สองขุนได้พรรณนาลักษณะความงามของเจ้าหญิงแตงอ่อนไว้ว่า

        ตั้งว่า     โฉมศรีเข้ม  คือคำทั้งแท่ง
            โฉมแจ่มเจ้า คือเพี้ยงดั่งเขียน
            คอคางคิ้ว   หูตาคือเสี่ยน
            นิ้วแลบส่วย กลมเกลี้ยงสิ่งเหลา
            สองขุนเยี่ยม    เห็นนางใจสิขาด  ตายแล้ว
        เพราะว่า  เห็นแจ่มเจ้า  งามล้นลื่นคน    เจ้าเอย

รัศมีความงามวิไลลักษณ์ของเจ้าหญิง เกือบทำให้ทั้งสองขุนหัวใจวายตายลงในน่านน้ำ จากนั้นจึงรีบกลับมารายงานองค์ชายมหาวงศ์ทราบเรื่อง ด้วยคำพรรณนาของขุนคานและขุนทุมทำให้จิตใจของพระองค์ชายกระสับกระส่ายอยากพบประสบพักตร์เจ้าหญิงแตงอ่อน ณ เวลานั้นเลย ขุนทั้งสามจึงได้เชิญเสด็จรีบกลับนครโกสีเพื่อที่จะได้ให้ท้าวโกสีส่งพระราชสาส์นมาสู่ขอตามธรรมเนียมขัตติยกษัตริย์

เมื่อกลับถึงนครโกสี ขุนทั้งสามจึงได้ถึงเรื่องราวที่พระองค์ชายได้ไปประสบมาพร้อมทั้งบอกถึงจิตใจของพระองค์ชายปรารถนาเจ้าหญิงแตงอ่อนแห่งนครกุมพลมาเป็นพระชายา ท้าวโกสีทราบความดังนั้นจึงให้แต่งราชสาส์นด้วยถ้อยคำอันสุนทรเพื่อสู่ขอพระราชธิดาแห่งนครกุมพล ทั้งสั่งให้เตรียมขบวนเชิญพระราชสาสน์ไปยังนครกุมพลดังพระประสงค์

เมื่อขบวนเชิญราชสาส์นมาถึงนครกุมพล ท้าวกุมพลทราบความครบถ้วนทุกกระบวนแล้ว พระองค์ยินดีที่จะเป็นทองแผ่นเดียวกันจึงได้ยกพระธิดาแตงอ่อนให้เจ้าชายมหาวงศ์แล้วให้เดินทางไปนครโกสีพร้อมกับคณะราชทูต ทางด้านเจ้าชายมหาวงศ์เมื่อทราบข่าวการมาของเจ้าหญิงแตงอ่อนแล้วจึงรีบแต่งพระองค์อย่างพระราชกุมารแห่งนครโกสี ทั้งจัดแต่งเตรียมขบวนตอนรับพระชายาอย่างสมพระเกียรติ เมื่อเจ้าหญิงแต่งอ่อนมาถึง ท้าวโกสีจึงได้จัดพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าชายมหาวงศ์กับเจ้าหญิง แตงอ่อน ทั้งพิธีราชาภิเษกเจ้าชายให้ขึ้นปกครองนครโกสีแทนพระบิดา และตั้งเจ้าหญิงแตงอ่อนเป็นพระอัครมเหสีแม่เมืองนครโกสีสืบไป

เรื่องราวทั้งหมดคงจบบริบูรณ์ด้วยดีหากไม่เกิดเรื่องราวความขัดแย้งต่อจากนี้ คือ
ยังมีแม่เฒ่าไวยะกา เมียเศรษฐีมีลูกสาวอยู่ ๕ คน เมื่อเศรษฐีผู้เป็นสามีได้เสียชีวิตลง แม่เฒ่าเธอ ได้นำธิดาทั้ง ๕ มาถวายเป็นบาทบริจาริกาแด่ท้าวมหาวงศ์ เรื่องนี้ได้ไปถึงพระกรรณของนางแตงอ่อน ด้วยนางเป็นแม่เมืองผู้ใจดีและมียึดมั่นในความดี นางจึงไม่ได้รู้สึกถือโทษโกรธเคืองแต่อย่างใด อีกอย่างก็หาได้รู้ถึงจิตใจของชาวมนุษย์อย่างถ่องแท้ว่ามนุษย์นั้นมีเล่ห์กลอุบายหลายร้อยเล่มเกวียน เมื่อท้าวมหาวงศ์รับนางทั้งห้า มาเป็นบาทบริจาริกาแล้วจึงได้ให้นางทั้งห้าไปอยู่ในอำนาจของนางแตงอ่อน พร้อมทั้งให้แม่เฒ่าไวยะกาเป็นคุณท้าวอยู่ในราชสำนักฝ่ายใน

ต่อมาเมื่อท้าวมหาวงศ์เสด็จออกไปคล้องช้างเผือก ด้านนางแตงอ่อนก็ทรงครรภ์ได้ ๗ เดือน นางจึงมีจิตใจกังวลไม่อยากจะให้พระสวามีออกจากเมืองไป ด้วยจิตใจนางนั้นรู้สึกถึงภยันตรายที่จะเข้ามาทำร้ายตนและลูกในครรภ์ ท้าวมหาวงศ์จึงได้ปลอบประโลมจิตใจนางให้หมดห่วงภยันตรายทั้งหลาย พระองค์ได้ฝากให้แสนเมืองขุนนางผู้ใหญ่สำเร็จราชการแทนพระองค์ และคอยคุ้มครองพระมเหสีอย่าให้มีภยันตรายพ้องพาล เมื่อนางทรงครรภ์จวนจะคลอดท้าวเธอได้ฝากคุณท้าวแม่เฒ่าไวยะกาและนางสนมทั้งห้า คอยปรนนิบัติไม่ให้รับความลำบากแต่งสักสิ่ง แม้เพียงนั้นนางก็ยังหาได้วางพระทัยไม่ เมื่อได้ฤกษ์ท้าวมหาวงศ์จึงเสด็จออกไปคล้องช้างตามที่ขุนนางได้กราบทูล

วันเวลาผ่านไป ๒ เดือน ครรภ์ของพระนางแตงอ่อนก็ถึงเวลาจวนคลอด เหล่านักสนมกำนัลทั้งหลายต่างพากันวิ่งวุ่นในฝ่ายใน ขณะนั้นเองแม่เฒ่าไวยะกากับพระสนมทั้งห้าซึ่งถือว่าได้ถวายงานอย่างใกล้ชิด ตระเตรียมเครื่องยาน้ำร้อนก่อนที่จะถึงเวลาประสูติ ในขณะนั้น คุณท้าวเธอและบุตรีทั้งห้าได้วางแผนขับไล่นางแตงอ่อนออกจากเมืองเพื่อชิงตำแหน่งพระอัครมเหสีมาอยู่กับตัว เมื่อถึงเวลาใกล้คลอด แม่เฒ่าไวยะกาจึงเอาผ้ามาพันปิดดวงพระเนตรของนางแตงอ่อน โดยอ้างว่า พระแม่เจ้าพึ่งทรงครรภ์ครั้งแรกหากเห็นเลือดอาจทำให้หมดสติไปได้ กลัวจะไม่ปลอดภัย จากนั้นแม่เฒ่าเธอจึงไปนำลูกจระเข้มารอสับเปลี่ยนลูกในครรภ์ เมื่อเสียงแห่งความเจ็บปวดของนางแตงอ่อนก้องกังวานไปทั่วฝ่ายใน เหล่านักสนมผู้อื่นถูกสั่งให้อยู่ภายนอก นอกจากพระสนมทั้งห้ากับแม่เฒ่าไวยะกา เมื่อได้เวลาคลอดเสียงสุดท้ายก่อนที่พระนางเธอจะหมดสติเธอได้ยินเป็นเสียงร้องของเด็กน้อยผู้น่ารักน่าชังก่อนที่เสียงนั้นจะหายไปด้วยอาการที่พระนางวิสัญญีสลบ

เมื่อพระนางฟื้นคืนพระสติขึ้นมาก็ต้องตกพระทัย เมื่อพบพระราชกุมารเป็นลูกจระเข้ พระนางเธอได้แต่เศร้าโศกกรรแสงร้องไห้ด้วยไม่เชื่อว่า นี้เป็นพระราชกุมารของเธอ

ทางด้านท้าวมหาวงศ์ได้ทราบข่าวพระประสูติการของพระอัครมเหสีแตงอ่อนก็ทรงดีพระทัยรีบสั่งเตรียมไพร่พลกลับพระนครโกสีอย่างไม่รอช้า เมื่อเสด็จกลับมาถึงด้วยสีพระพักตร์อันอิ่มเอิบไปด้วยความสุขกลับเปลี่ยนสี เมื่อทรงทราบว่าพระโอรสที่ตนอุ้มนั้นเป็นจระเข้ ท้าวเธอหาได้กล่าวสิ่งใดไม่ ได้แต่เรียกพระอัครมเหสีและนางสนมพร้อมทั้งคุณท้าวไวยะกา กับเหล่าขุนนางซึ่งนำโดยแสนเมืองมาขึ้นเฝ้า พระองค์ได้ตรัสถามถึงความจริง พระนางแตงอ่อนได้แต่กล่าวยืนยันว่าพระกุมารนั้นเป็นมนุษย์โดยแท้ เพราะพระนางได้ยินเสียงเด็กร้องก่อนที่นางจะหมดสติไป ทางด้านเหล่าสนมทั้งห้า บุตรีของนางเฒ่าไวยะกาก็ได้แต่กราบทูลว่านางคลอดลูกเป็นจระเข้จริง เมื่อถามท้าวนางกำนัลอื่น ๆ ก็ได้แต่ตอบว่าหาได้เข้าไปถวายงานใกล้ชิดไม่ ด้วยอารมณ์ความโกรธ ท้าวมหาวงศ์จึงหยิบได้แส้มาโบยนางแตงอ่อนต่อหน้าเหล่าพระสนมและขุนนางทั้งหลาย พร้อมทั้งเนรเทศนางให้ออกจากเมืองไป
ภูธรท้าว คำเดียวตัดขาด
ท้าวโกรธกล้า คำเข้มบ่มาย
มึงจัก ไปตายก้ำ ทางใดก็ตามซ่าง มึงถ้อน
อย่าได้ ออดออดต้าน หวายเส้นสิออกไป แท้ดาย

เมื่อเหตุการณ์มาถึง ณ จุดนี้ นางก็จำเดินออกจากพระนครโกสี ท้าวนางเธอได้แต่หอบเอาความเศร้าโศก เสียพระทัย เจ็บปวดไปทั่วพระวรกายเจ็บไปทั่วดวงพระหทัย พระนางเธอได้แต่คิดถึงวันเวลาของความรักที่สวยงาม การได้อยู่กับคนที่ตนรักและร่วมสร้างครอบครัวด้วยกันมาถึงวันนี้ พระสวามีกลับหาได้สนพระทัยและรับฟังข้อเท็จจริงของนางแต่อย่างใด

เมื่อนางเดินทางมาสู่ชายป่าริมแม่น้ำเพื่อที่จะกลับคืนสู่นครกุมพลอันเป็นมาตุภูมิ นางก็ระลึกได้ถึง พระเชษฐากุมภาที่ได้มาบำเพ็ญพรตอยู่ในป่าแถบนี้ นางก็ได้ร้องเรียกหาท้าวกุมภาพี่ชายด้วยเสียงร้องปนสะอื้นไห้ เมื่อท้าวกุมภาได้ยินเสียงเช่นนั้นจึงรีบเดินตามหาเสียงนั้นจึงได้พบกับพระขนิษฐาแตงอ่อน นางเธอจึงได้เล่าเรื่องราวความเป็นไปแห่งชีวิตให้พระเชษฐาฟัง เมื่อเป็นเช่นนั้นท้าวกุมภาจึงได้แต่ปลอบนางน้องให้หายจากความเศร้าโศก พร้อมทั้งจะพานางไปร่ำเรียนศิลปวิทยาต่าง ๆ และบำเพ็ญพรตออกบวชอยู่ในป่าแห่งนี้ เมื่อเป็นเช่นนั้นนางจึงได้ทูลถามถึงพระบิดาพระมารดา ท้าวกุมภาจึงได้เล่าให้ฟังว่า พระบิดาและพระมารดาได้เสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว นครกุมพลตอนนี้ มอบราชสมบัติในท้าววรกันพระอนุชาเป็นผู้ปกครอง เมื่อนั้นนางเธอยิ่งทวีความทุกข์โทมนัสพระหฤทัยหาที่สุดมิได้ ด้วยทั้งคนที่นางรักผลักไสไล่ส่งนางออกจากนคร ทั้งบุพการีทั้งสองกลับมาด่วนจากบุตรผู้อาภัพนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับ

ด้วยเดชะบุญของพระนางแตงอ่อนนั้น ทำให้ทิพยอาสน์บัณฑุกัมพลขององค์อัมรินทราธิราชแข็งกระด้างขึ้นมา พระองค์จึงลงมาบวชให้สองกษัตริย์บำเพ็ญพรตรักษาศีล อีกทั้งได้เล่าถึงเรื่องราวของพระกุมารอันเกิดแต่พระนางเธอยังมีชีวิตอยู่ และพระกุมารนั้นจะเป็นผู้มาช่วยท้าวเธอคืนนครดังเดิม จากนั้นองค์อัมรินทร์จึงเสด็จกลับสู่วิมานไพชัยยนต์
ต่อมา ๗ ปี ท้าวมหาวงศ์ได้พบกับเด็กชายผู้หนึ่ง ทั้งสองเกิดวิวาทกันขึ้นเรื่องไก่ชน ทำให้เกิดการท้าประลองศรกัน ฝ่ายเด็กชายนั้นได้แผลงศรออกไปเพื่อจะเด็ดชีพของท้าวมหาวงศ์ แต่ลูกศรกลับกลายเป็นข้าวตอกดอกไม้ ท้าวมหาวงศ์จึงแปลกใจแล้วได้ถามถึงพ่อแม่เป็นผู้ใดมาจากเมืองใด ฝ่ายเด็กชายผู้นั้นจึงบอกว่า ข้าพเจ้ามีนามว่าเกดสุริยนยาน เป็นพระโอรสของท้าวมหาวงศ์กับพระนางแตงอ่อน พระบิดาได้ขับไล่พระมารดาออกจากเมืองไป ส่วนตัวข้าพเจ้าได้ถูกสับเปลี่ยนกับจระเข้และนำไปฝังไว้ใต้ต้นเกด แม่เทพลีลาเป็นผู้ขุดเอาข้าพเจ้ามาเลี้ยง เมื่อเป็นเช่นนั้นท้าวมหาวงศ์ได้รับทราบความจริงแล้วจึงตรัสไปว่าเราคือท้าวมหาวงศ์ จึงเชิญให้พระกุมารเข้าเมืองเพื่อนั่งบัลลังก์ แต่พระเกดกลับปฏิเสธ ด้วยตั้งปณิธานไปช่วยพระมารดาก่อนจึงจะพาพระมารดากลับคืนนครพร้อมกันถึงจะยินดีรับราชสมบัติ

เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น ท้าวมหาวงศ์จึงเสด็กลับพระนครด้วยความเสียพระทัย และหลงผิดตัดสินความพระมเหสีอันเป็นที่รักให้ประสบเคราะห์กรรมที่ลำบาก พระองค์จึงสั่งในคุมตัวแสนเมือง นางเฒ่าไวยะกา และพระสนมทั้งห้าแล้วนำไปจองจำในคุกจนกล่าวพระเกดสุริยนยานจะคืนนครจึงจะตัดสินโทษ

ด้านพระเกดสุริยนยานเมื่อได้ออกตามหาพระราชมารดาแล้วจึงไปพบกับกุมภาผู้เป็นลุง จึงทราบว่าพระมารดาถูกยักษ์หัตถจักรจับตัวไป พระเกดจึงรีบออกติดตาม เมื่อถึงนครของยักษ์หัตถจักร พระเกดจึงได้ต่อสู้และมีชัยชนะ อีกทั้งสามารถช่วยเหลือพระมารดาไว้ได้และเชิญท้าวเธอเสด็จคืนนครโกสี ฝ่ายพระนางแตงอ่อนได้แต่ร้องไห้ในความสุขที่รู้ว่าพระกุมารนั้นยังมีชีวิตอยู่

        แต่นั้น กษัตรีได้       ยินคำท้าวกล่าว   มานั้น
        นางก็   ยั่งยั่งน้ำ     ตาย้อยหลั่งไหล
            นางกษัตรีไท้    โซมเอาตนลูก
            นางก็ชมจูบ  ทั้งค้อยค่อยแถลง

เมื่อทั้งสองได้หายจากความเศร้าโศก พระเกดสุริยนยานจึงเชิญพระนางแตงอ่อนราชมารดาคืนนครโกสี ครองตำแหน่งพระอัครมเหสีท้าวมหาวงศ์ดังเดิม

เมื่อเสด็จถึงนครโกสี ท้าวมหาวงศ์ได้สั่งจัดเตรียมพิธีราชาภิเษกให้แก่พระเกดสุริยนยาน พร้อมทั้งรับขวัญพระมเหสีแตงอ่อน และได้กล่าวคำขอโทษที่ได้ขับไล่นางออกจากเมืองโดยไม่ยอมรับฟังทบทวนคำเพ็ดทูลจากนาง จากนั้นทั้งท้าวมหาวงศ์พร้อมพระมเหสีแตงอ่อนกับทั้งพระเกดสุริยนยานจึงได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

เรื่องจึงจบบริบูรณ์…

Related Posts

ไม่ทำตามกฎ
สำนึกร่วมทางประวัติศาสตร์
WP2Social Auto Publish Powered By : XYZScripts.com