บทที่ ๑๑ เพื่อนใหม่
ฉันเดินทางจากเบอร์ลินสู่บรูไน เป็นการเดินทางข้ามทวีปจากยุโรปสู่เอเชีย จากเคยอยู่ประเทศที่มีสภาพอากาศหนาวเหน็บ ปีที่ฉันเดินทางไปเยอรมนี ช่วงฤดูหนาว (ธันวาคมกุมภาพันธ์) อุณหภูมิติดลบ – ๒๐ องศาเซลเซียส หิมะตกหนักในช่วงฤดูหนาว
ฉันรู้สึกสะท้านทุกครั้งที่ต้องออกจากบ้าน เสื้อผ้าที่สวมใส่หนา ๓-๔ ชั้น ต้องมิดชิดปิดคอ ปิดหู ปิดปาก สวมถุงมือ ถุงเท้า ร้องเท้า กว่าจะออกจากบ้านแต่ละทีแต่งตัวเหมือนตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ ต้องแน่ใจว่าเสื้อผ้าป้องกันมิให้ความหนาวเย็นเล็ดลอดเข้ามาได้
ช่วงที่ฉันชอบที่สุด คือ ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม-พฤษภาคม) เป็นช่วงที่ต้นไม้ ดอกไม้เริงร่า ต้อนรับแสงอาทิตย์ ที่รอดชีวิตจากฤดูกาลที่หนาวเหน็บอันยาวนาน
ฤดูร้อน (มิถุนายน-สิงหาคม) ผู้คนจะตื่นเต้น ดีใจกับวันอากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใส หากพบเจอกันจะทักทายด้วยความตื่นเต้น ตอนฉันเดินทางไปถึงใหม่ ๆ ไม่เข้าใจทําไมแค่เห็นแดดต้องดีใจแต่พออยู่ไปนาน ๆ อากาศหนาวเย็น มืด ครึ้มเกือบทั้งปี จึงเข้าใจว่า วันไหน อากาศดี ๆ เป็นวันที่น่าตื่นเต้นจริง ๆ
ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-พฤศจิกายน) อากาศจะเย็นลงและมีฝน ช่วงนี้ใบไม้จะเปลี่ยนสีเหลืองบ้าง แดงบ้าง ดูสวยงามแปลกตา ช่วงนี้ฉันจะตื่นตาตื่นใจกับต้นไม้ใบไม้หลากสีงดงาม
ฤดูกาลที่แตกต่างกันทําให้ชีวิตมีสีสัน อารมณ์ ความรู้สึกของฉันจะผันแปรตามฤดูกาล พอเดินทางมาพบกับสภาพอากาศร้อนชื้น แถบเส้นศูนย์สูตร ทําให้ต้องปรับตัวในการใช้ชีวิต แต่ฉันก็คุ้นเคยกับสภาพอากาศเช่นนี้เพราะไม่ต่างจากเมืองไทยเท่าใดนัก
ทันที่เดินทางถึงเสรี เบกาวัน เมืองหลวงของบรูไน ความรู้สึกแรกที่แปลกไป คือ การแต่งตัวของผู้คน ผู้หญิงจะสวมใส่ชุดบาจูกูร่ง (Baju Kurung ) เป็นชุดประจําชาติ เสื้อแขนยาวเนื้อผ้าบางเบา กระโปรงยาวกรอมเท้า สีสันสดใส พร้อมผ้าคลุมผม
ส่วนผู้ชาย จะนุ่งชุด บาจู มลายู (Baju Melayu) เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวที่ทําจากผ้าไหม ผ้าฝ้าย หรือโพลีเอสเตอร์ มีผ้าอีกผืนคล้ายกระโปรงที่พันรอบเอว
ระหว่างเดินทางจากสนามบินสู่บ้าน ฉันตื่นเต้นกับสิ่งแวดล้อมใหม่ บ้านเมืองดูสะอาด สะอ้าน ต้นไม้น้อยใหญ่เรียงรายตลอดสองข้างทาง การเรียนรู้สิ่งแวดล้อมใหม่ของฉันเริ่มต้นอีกครั้ง
บ้านหลังใหม่ของเราเป็นบ้านหลังใหญ่อยู่บนเขา มองเห็นทิวทัศน์รอบ ๆ เมือง บริเวณโดยรอบเป็นสวนป่า มีผลไม้หลากหลาย ทุเรียน เงาะ มังคุด ผักชนิดต่าง ๆ ดอกแค ผักบุ้ง ฉันชอบใจเพราะเป็นคนชอบธรรมชาติ กลางคืนจะมองเห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้า และมองเห็นแสงไฟระยิบระยับ เป็นจุดเล็ก ๆ กระจายเต็มเมือง
คืนนั้นฉันออกมาเดินเล่น ฟังเสียงจั๊กจั่น เรไร ร้องระงมเหมือนเสียงดนตรีขับกล่อมให้หลับไหลในยามราตรี
วันรุ่งขึ้น หลังจากจัดข้าวของเครื่องใช้เข้าที่ ฉันออกมาเดินเล่นริมระเบียง กําลังปล่อยใจเพลิน ๆ ทันใดนั้น เห็นต้นไม้สั่นไหว เหมือนมีลมพัดแรง แต่เพ่งมองดี ๆ ไม่ใช่เสียงลมแต่กลายเป็นฝูงลิงขนสีน้ำตาล กําลังปีนป่ายตามต้นไม้ ข้ามมาที่ระเบียงหน้าห้อง
ฉันได้แต่ยืนนิ่งไม่ไหวติง ไม่รู้จะทําอย่างไร นึกในใจคงเป็นเพื่อนใหม่ที่มาต้อนรับทักทาย ฝูงลิงจากป่าหลังบ้านจูงลูก จูงหลานมายืนเรียงกันหน้าสลอน กว่า ๑๐ ตัว
ฉันตกใจ ลิงก็ตกใจทำท่าแยกเขี้ยว ยิงฟัน ลิงทำท่าจะกระโจนมาใส่ ด้วยสัญชาตญาณฉันรู้ว่าสัตว์ป่าย่อมต้องป้องกันตัวรู้เมื่อรู้ว่ามีภัย แต่นี่มิใช่ภัยอันตรายเป็นเพียงการเผชิญหน้าระหว่างฉันกับลิง
วินาทีนั้นไม่รู้จะทําอย่างไร ฉันได้แต่ยืนสงบจิต สงบใจ ทําใจดีสู้ลิง ค่อย ๆ ส่งสายตาเว้าวอนว่า ฉันมาดีมิได้มาร้าย ฉันเพิ่งเดินทางมาถึงมาอาศัยอยู่บ้านหลังนี้
เรามาทําสัญญาไมตรีระหว่างกันดีไหม ฉันเป็นเพื่อนใหม่ของเธอไง เพิ่งย้ายมาจากแดนไกล โปรดรับฉันไว้ในอ้อมใจให้เป็นเพื่อนของเธอด้วยนะ
ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร พร้อมส่งยิ้มหวานจากใจ ฉันส่งยิ้มให้งามที่สุดในชีวิตเท่าที่จะทําได้ ฉันสอดส่ายสายตาดูว่า ตัวไหนคือจ่าฝูง เพราะต้องการส่งสัญญาณให้รู้ว่า ฉันมาดี
ฉันสังเกตจากท่าทางความเป็นผู้นํา รู้ว่า เจ้าลิงด้านหน้าแน่เทียวคือ ท่านผู้นํา ฉันส่งพลังจิต พลังใจ พร้อมรอยยิ้มให้อีกครั้ง และพูดว่า พ่อลิงจ๋า พ่อลิงสุดหล่อ ฉันมาจากแดนไกลเป็นเพื่อนใหม่ของพวกเธอมาอาศัยที่บ้านหลังนี้
ฉันรู้ว่า พวกเธออยู่มาก่อน และเป็นเจ้าของผืนป่าแห่งนี้ ฉันสัญญาว่า จะดูแลต้นไม้ทุกต้น และดูแลพวกเธอเป็นอย่างดี ขอให้เราเป็นเพื่อน เป็นมิตรที่ดีต่อกัน ค่อยช่วยเหลือ ดูแลกัน เธอจะโอเคไหม
ฉันสังเกตเห็นสีหน้า แววตา ท่านผู้นําทำท่าทางครุ่นคิด จากเดิมแยกเขี้ยว ยิงฟัน เปลี่ยนเป็นแสยะยิ้ม เผยให้เห็นฟันคม เขี้ยวแหลม น่าหวาดเสียว หากท่านผู้นําตัดสินใจขย้ำคอฉันจะเป็น อย่างไร นึกแล้วเสียวไส้ ทำใจดีสู้ลิง
ฉันยังคงส่งยิ้มให้เป็นเป็นระยะ ๆ ส่งสัญญาณเหมือนคลื่นไวไฟเพื่อไม่ให้ขาดสายฉันเชื่อว่าพลังแห่งรักจากหัวใจจะส่งถึงหัวหน้าลิงอย่างแน่นอน
ท่านหัวหน้าสุดหล่อเอียงคอมองฉันอย่างชั่งใจ ฉันแทบจะหยุดหายใจในและลุ้นระทึกกับการตัดสินใจครั้งสำคัญ ทันใดนั้น ฉันเห็นท่านหัวหน้าพยักหน้ารับไมตรีที่ฉันมอบให้พร้อมยกมือส่งสัญญาณให้ลิงทั้งฝูงล่าถอย
ฉันเห็นแล้วอดขำไม่ได้ ฝูงลิงกว่า ๑๐ ตัว ค่อย ๆ เดินถอยหลังอย่างระมัดระวัง สายตาจดจ้องมองฉันอย่างไม่วางตา เดินถอยห่างจนแน่ใจว่าปลอดภัย ฝูงลิงกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ ส่งเสียงเจี๊ยก ๆ แล้วห้อยโหน โจนทะยานหายลับไปกับดงป่าหลังบ้าน
ฉันเล่าให้แม่บ้านที่เคยอยู่ที่นี้ฟังว่า พบฝูงลิงที่ริมระเบียงห้อง เกิดประจันหน้ากันไม่สามารถหลบหนีได้ทันและฉันรอดปลอดภัยจากการถูกขย้ำด้วยคมเขี้ยวของฝูงลิง
แม่บ้านตบอกผางอย่างอกสั่นขวัญแขวนบอกว่า ทีหลังอย่าให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกเพราะเป็นการเผชิญหน้าอย่างกระชั้นชิดที่น่าหวาดเสียว ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ลิงป่าฝูงนี้ดุร้ายยิ่งนัก
หลังผ่านเหตุการณ์หวาดเสียวมาได้อย่างหวุดหวิดสักพัก เมื่อตั้งตัวได้ฉันเริ่มปฏิบัติหน้าที่ออกเดินสายพบปะผู้คน เรียนรู้วิถีชีวิตที่แตกต่าง ทั้งความเชื่อ ศาสนา วัฒนธรรม
ฉันทำความรู้จักเพื่อนใหม่ชาวบรูไนด้วยการไปพบปะตามงานเลี้ยงต่าง ๆ ชาวบรูไนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม มีความเป็นอยู่ค่อนข้างสะดวกสบายเพราะประเทศร่ำรวย มีรายได้จากการค้าขายน้ำมัน รัฐบาลดูแลเป็นอย่างดี ให้เรียนฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และค่ารักษาพยาบาลรัฐก็ออกให้ ประชาชนส่วนใหญ่มีความสุขพอสมควร
การทักทาย คือ การจับมือ เมื่อปล่อยมือแล้วจะเลื่อนมาแตะไว้ที่หน้าอกตรงหัวใจ ถือเป็นการให้เกียรติ การทักทายเพศตรงข้าม เมื่อเจอฝ่ายชาย ผู้หญิงต้องรอให้ฝ่ายชายยื่นมือมาก่อน เพราะผู้ชายมุสลิมบางคนอาจไม่สัมผัสมือผู้หญิง
ข้อควรจำ คือ ชาวบรูไนจะไม่ใช้นิ้วชี้ชี้ไปที่สิ่งของ เป็นการไม่สุภาพ ให้ใช้นิ้วโป้งแทนครั้งแรก ๆ ฉันไม่ชินกับสิ่งนี้ แต่อยู่ไปแล้วก็สนุกกับการใช้นิ้วโป้งแทนนิ้วชี้ บางครั้งฉันเผลอกลับมาทำที่เมืองไทย เวลาฉันพูดและจะชี้อะไร ฉันจะใช้นิ้วโป้งชี้สิ่ง ๆ นั้น เพื่อน ๆ จะหัวเราะขบขันกับสิ่งที่ฉันทำเสมอ
ชาวบรูไนส่วนใหญ่รักครอบครัว เป็นครอบครัวใหญ่ที่อบอุ่น เวลาฉันไปกินข้าวกับครอบครัวเพื่อน เราจะรู้จักกันทั้งหมด ตั้งแต่ปู่ ย่า ตา ยาย ลูก หลาน เหลน โหลน ฉันต้องพยายามจำชื่อสมาชิกในครอบครัวให้ได้ หากไปคราวหน้าเรียกชื่อสมาชิกในครอบครัวได้ถูกเขาจะดีใจว่า เราจำได้และให้ความสำคัญ สิ่งนี้เป็นเสน่ห์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้เขาประทับใจ
อาหารประจำชาติที่ฉันมักได้รับประทาน คือ อัมบูยัด เป็นแป้งเหนียว ๆ ข้น ๆ ทำด้วยแป้งสาคู ตัวแป้งจะยืด ๆ ไม่มีรสขาดอะไร ต้องกินกับซอสรสเปรี้ยว และมีเครื่องเคียง อีก ๒-๓ ชนิด เช่น ผักสด เนื้อห่อใบตอง หรือปลาทอด ทุกครั้งที่ฉันเจออัมบูยัด ฉันมักจะเลี่ยงไม่กินแป้ง เพราะกินทีไรนึกว่ากําลังกินกาวหรือแป้งเปียกทุกครั้ง
วันหนึ่ง ฉันไปกินข้าวบ้านเพื่อน อาหารพื้นเมืองเต็มโต๊ะ เรียกชื่อไม่ถูกอะไรเป็นอะไรที่คุ้นเคย คือ เนื้อสะเต๊ะ เป็นเนื้อที่คลุกเครื่องเทศและย่างเสียบไม้ บางอย่างหน้าตาคล้ายมัสมั่น เจ้าของบ้านชวนฉันกิน ว่าแล้วยกจานมาให้พร้อมเปิบมืออย่างเอร็ดอร่อย
ฉันเห็นดังนั้นนึกถึง สุภาษิตทีว่า เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ไม่รอช้า ฉันคว้าจานวางตรงหน้า เปิบมือหน้าตาเฉย หยิบข้าวกับแกงเนื้อเข้าปาก ซี๊ดซ๊าดอย่างเอร็ดอร่อย กินไปคุยไป เจ้าของบ้านดีใจ เพื่อนใหม่อย่างฉันให้ทำอะไรก็ทำ ให้กินอะไรก็กิน เป็นที่ถูกอกถูกใจ
ความลับของฉันที่อยากบอกทุกคน คือว่า หากวันใดต้องไปงานเลี้ยงและต้องกินข้าวกับเพื่อน ๆ สิ่งที่จะมัดใจเจ้าของบ้าน คือ กินทุกอย่างที่ขวางหน้า ชื่นชมอาหารและเติมบ่อย ๆ เจ้าของบ้านจะยิ้มหน้าบานด้วยความดีใจ
ฉันจะเริ่มอดข้าวตั้งแต่เช้า กินอะไรรองท้องนิดหน่อย พอไปถึงงานเลี้ยง กําลังหิวเต็มที่ ยกอะไรมา ฉันฟาดเรียบกําลังหูอื้อ ตาลาย เอาอะไรเข้าปากอร่อยทั้งนั้น
ฉันกลายเป็นที่รู้จักในหมู่เพื่อนใหม่ชาวบรูไนและเพื่อนชาวต่างชาติ ต่างจองตัวฉันจ้าละหวั่น มีงานบ้านใดฉันจะได้รับเชิญทุกทีเป็นการทำหน้าที่ทูตสันถวไมตรีไปในตัว เชื่อมความสัมพันธ์ ผูกมิตร ไมตรีด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความรู้สึกดี ๆ ที่มีต่อกัน
บางวัน ฉันชวนเพื่อน ๆ มาเลี้ยงตอบแทนที่บ้าน เมนูเด็ด คือ ส้มตํา ต้มยํากุ้ง ผัดไทย ต้มข่าไก่ ส่วนของหวานที่โปรดปราน คือ ข้าวเหนียวมะม่วง ข้าวเหนียวทุเรียน
บางวัน ฉันจะเสี่ยงชีวิตไปเจรจากับหัวหน้าลิง เพื่อขอแบ่งปัน เงาะ มังคุด ทุเรียน ในสวนป่าหลังบ้านมาเลี้ยงแขกอย่างอิ่มหนำสำราญ ผลไม้ที่เก็บสด ๆ จากต้น เป็นที่ชื่นชอบของแขกทุกคน แต่ที่ตลกขบขัน คือ เรื่องราวที่ฉันเล่าเรื่องการพบฝูงลิงและสามารถเจรจาทำสัญญาไมตรีกับฝูงลิงสำเร็จ
ฉันเล่าว่า บางวันฉันจะนําอาหารอันโอชะ คือ กล้วยน้ำหว้า แตงกวา แครอท ไปฝากเพื่อนลิง อาหารจัดเรียงอย่างสวยงามบนใบตองแสดงถึงความตั้งใจที่มอบให้
บางวันแถมด้วยอาหารพิเศษ ถั่วพิชาตาชิโอ และถั่วลิสงแกะเปลือกแล้วอย่างดี เพื่อนลิงคงรู้ว่า ฉันตั้งใจนําของกำนัลมาให้ ขณะเพื่อนรักต่างสปีชีส์กินกันอย่างสนุกสนานสำราญใจ ฉันได้แต่นั่งมองและอมยิ้มอย่างมีความสุข
ขณะฉันนั่งมองเพลิน ๆ เพื่อนลิงหันมายิ้มเห็นเขี้ยวแหลม ๆ เงาวับ หากเป็นเมื่อก่อนฉันคงเผ่นแน่บไม่เหลียวหลัง แต่ครั้งนี้ เริ่มคุ้นชินจึงได้แต่ยิ้มตอบอย่างสบายใจ เพื่อนชาวบรูไนและเพื่อนต่างชาติเมื่อได้ฟัง ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ลิงพันธ์ดุไม่น่าเชื่อจะเชื่องเช่นนี้
ฉันเล่าเสริมว่า ช่วงอยู่เบอร์ลินฉันมีเพื่อนเป็นต้นไม้ ชื่อ มันเฟรด ฉันมักจะเข้าป่าไปคุยกับต้นไม้บ่อย ๆ พอมาบรูไนได้เพื่อนใหม่เป็นฝูงลิง ยังนึกไม่ออกว่า จะตั้งชื่ออย่างไร
เพื่อนนั่งฟังอ้าปากค้าง เรื่องเล่าจากต้นไม้สู่ฝูงลิงช่างน่าสนใจ เรื่องเหล่านี้ทำให้ฉันเป็นที่รู้จักในวงกว้างของสังคมเล็ก ๆ ที่บรูไน
จากการผูกมิตร ไมตรีระหว่างกัน เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างคนและสัตว์ การสื่อภาษาบางครั้งไม่ต้องใช้คําพูด ความรัก ความเมตตาสามารถส่งต่อถึงกันได้ด้วยหัวใจเดียวกัน ดังเช่นฉันกับลิงเป็นตัวอย่างของความจริงใจและเป็นมิตรต่อกัน ฉันเชื่อว่า สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ไม่ว่าคนหรือสัตว์
นอกจากนี้ ฉันยังผูกมิตร ไมตรีกับผู้คนรอบด้านทั้งเรื่องหน้าที่การงาน ความสัมพันธ์ส่วนตัว การเชื่อมสัมพันธ์ค่อย ๆ ก่อกำเนิดขึ้นทีละน้อย สิ่งนี้เป็นประตูสำคัญที่ทำให้ฉันประสานงานต่าง ๆ ได้อย่างดี
หากมีสิ่งใดที่ต้องการความช่วยเหลือ ฉันจะเดินไปกระซิบเบา ๆ กับเหล่าภริยาที่เป็นใหญ่ เธอจ๋าเธอช่วยฉันหน่อยนะจ๊ะ ช่วยฉันทำเรื่องนี้หน่อยนะ ไม่นานงานสำเร็จเรียบร้อยราบรื่น
“ฉันเชื่อว่า ความรัก ความผูกพัน มิตรภาพ เกิดขึ้นได้ทุกความสัมพันธ์ การสื่อสารบางครั้งไม่ต้องใช้คำพูด เพียงส่งพลังแห่งรักและปรารถนาดีที่มีต่อกัน ย่อมสามารถส่งต่อถึงกันได้ด้วยหัวใจเดียวกัน”
บทที่ ๑๒ ฉุกคิด
ช่วงชีวิตที่บรูไน เป็นการเจริญสัมพันธไมตรีกับผู้คน งานทางการคือการพบปะผู้คนมากมายทั้งระดับสูงและชาวบ้าน เป็นวิถีชีวิตที่น่าสนใจผู้คนส่วนใหญ่มิต้องดิ้นรนเพราะรัฐบาลดูแลสวัสดิการอย่างดี ประชาชนมีความเป็นอยู่ค่อนข้างสุขสบาย
ฉันอยู่บรูไนสักพักมีโอกาสเข้าร่วมประเพณีฮารีรายา (Hari Raya) เป็นวันเฉลิมฉลองในศาสนาอิสลาม หลังจากถือศีลอดในเดือนรอมฎอน ๑ เดือน
ช่วงนี้เป็นช่วงที่เพิ่งเสร็จสิ้นจากการถือศีลอดที่ชาวมุสลิมต้องอดข้าว อดน้ำ ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้น จนพระอาทิตย์ตก พอพ้นช่วงศีลอด จะเข้าสู่การเฉลิมฉลองประเพณีฮารีรายา
แต่ละบ้านจะเตรียมอาหารกันอย่างสนุกสนาน ด้วยความที่เพื่อนเยอะฉันได้รับเชิญให้ไปร่วมงานเฉลิมฉลอง ตามธรรมเนียมจะจัดงาน ๓ วัน จะทำอย่างไรจึงจะไปร่วมงานบ้านเพื่อนให้ครบภายในระยะเวลาที่กำหนด
ฉันนั่งนับนิ้วมือทั้งมือยังไม่ครบคงต้องใช้อีกหลายมือ เมื่อคํานวณเวลาแล้วพบว่า ฉันต้องทำสถิติไปบ้านเพื่อนให้ได้วันละไม่ต่ำกว่า ๓๐ บ้านในหนึ่งวัน
ช่วงนั้น เป็นช่วงกินมาราธอนที่ฉันต้องไปแต่ละบ้านแข่งกับเวลา ประเพณีคือไปถึงบ้านไหนต้องกินสิ่งที่เจ้าของบ้านเตรียมไว้ให้ จะกินมากกินน้อยไม่ว่ากันขอให้ได้กิน
วันแรก ของงานเฉลิมฉลอง ฉันเริ่มภารกิจตั้งแต่เช้า ไปบ้านเพื่อนหลังแรก ๆ ยังพูดคุยสนุกสนาน กินอาหารอย่างมีความสุข แต่พอเริ่มไปหลาย ๆ บ้าน สปีดการกินเริ่มช้ากระเพาะประท้วงว่าทำงานหนักแรงเริ่มตก ทำอย่างไรหนอ
ฉันเริ่มจับเวลาไปบ้านละไม่เกิน ๑๕ นาที งานนี้เป็นงานที่ต้องกินแข่งกับเวลา ตะวันบ่ายคล้อย หนังท้องตึงหนังตาหย่อน บอกตัวเองว่าภารกิจยังไม่เสร็จสิ้นต้องให้บรรลุเป้าหมาย กินต่อไปอย่าได้ถอย!
ฉันทำหน้าที่กินอย่างตั้งใจ ภารกิจที่บ้านหลังสุดท้าย เที่ยงคืนพอดี ฉันบอกเพื่อนว่ากินมาตั้งแต่เช้า ไม่มีพื้นที่ในท้องเหลือแล้ว ขอแค่ชาอุ่น ๆ สักแก้วก็พอ เพื่อนใจดีบอกว่าเข้าใจ ฉันกลับถึงบ้านหมดแรงล้มตัวลงนอนอยากจะข่มตาหลับ แต่ทำไม่ได้ กระเพาะประท้วง ฮือ ฮือ ฮือ เจ้านายใช้งานหนักเกินไป
วันรุ่งขึ้น ภารกิจยังไม่เสร็จสิ้น ต้องตระเวนไปเยี่ยมบ้านเพื่อนอีกหลายหลัง ครั้งนี้ฉันเริ่มรู้จักเทคนิคพบทางหนีทีไล่ เดินไปทำทีหยิบขนมกินทีละชิ้นสองชิ้นพอให้เจ้าของบ้านสบายใจ พอได้เวลาก็ลากลับแล้วเดินทางไปบ้านต่อไป
วันแรกทำแต้มได้ดี วันนี้ตัวเลขจึงเหลือบ้านเพื่อนวันละประมาณ ๑๐ – ๑๕ หลัง วันนี้ดีหน่อย เลือกกินแต่อาหารเบา ๆ สลัดผัก ผลไม้ และขนมเท่านั้น วันนี้ภารกิจเสร็จสิ้น ๓ ทุ่มพอดี
วันสุดท้ายดีใจ บอกเพื่อน ๆ ว่า ขอกินน้ำ หรือ ชาก็พอ เพราะกินหนักมา ๒ วันแล้ว เพื่อนบอกว่า ไม่เป็นไร แค่เธอมาเยี่ยมก็ดีใจ ฉันได้ยินดังนั้นอยากกระโดดกอดและหอมเพื่อนสักฟอด ลืมไป เพื่อนตัวใหญ่ หนวดเฟิ้มยืนยิ้มให้อย่างรู้ใจ
หลังเสร็จสิ้นประเพณีการกินมาราธอนครั้งนั้น ฉันขอพักร่าง พักกระเพาะ ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงกินอาหารเบา ๆ และงดอาหารเย็นเพื่อให้ท้องได้หยุดพัก กว่าร่างกายจะเข้าที่ต้องใช้เวลาอีกหลายวัน
หลังจากนั้น มีเรื่องที่ทำให้ฉันตื่นเต้นสุดชีวิต คือ ฉันได้ร่วมงานสำคัญที่ประทับตราตรึงใจจวบจนทุกวันนี้ ฉันได้เข้าร่วมงานพระราชพิธีเสกสมรสเจ้าชายอับดุลมาลิก พระราชโอรสในสมเด็จพระราชาธิบดีฮัสซาน่าโบลเกียห์ สุลต่านแห่งบรูไน กับ น.ส. ราบิอาดุล อาดาวิยยะห์ หญิงสาวสามัญชน
ณ พระราชวัง อิสตานา นูรูล อิมาน ณ บันดาร์เสรี เบกาวัน บรูไน ซึ่งเป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีห้องทั้งหมด ๑,๗๘๘ ห้อง สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ๕ สระ ห้องอาบน้ำ ๒๕๗ ห้อง และโรงรถขนาดใหญ่จอดรถได้ ๑๑๐ คัน
งานเฉลิมฉลองจัดอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเท่าที่ฉันเคยเห็น จัดงานเป็นเวลารวมทั้งสิ้น ๑๑ วัน ท่ามกลางแขกเหรื่อที่มาร่วมงานอย่างคับคั่งทั่วโลก ทั้งพระบรมวงศานุวงศ์และแขกจากต่างประเทศกว่า ๕,๐๐๐ คน
ในวันงานพระราชวังตกแต่งอย่างสวยงาม มีทหารกองเกียรติยศแต่งชุดเต็มยศยืนรับแขกมางาน ทางเดินปูลาดด้วยพรมแดงตลอดทาง ขณะเดินมีดนตรีขับกล่อมและมีแสงไฟระยิบระยับประดับประดาทั่วบริเวณ ฉันรู้สึกเสมือนหนึ่งเดินในสรวงสวรรค์
ในวันงาน ฉันโชคดีได้นั่งแถวหน้าติดทางเดินไม่ไกลจากจากพระบรมวงศานุวงศ์และคณะทูตานุทูตจากประเทศต่าง ๆ ขณะที่คู่บ่าว สาว เสด็จผ่าน ฉันถวายความเคารพและยืนตะลึงกับภาพตรงหน้า เจ้าชายอับดุลมาลิก ฉลองพระองค์ในชุดตามธรรมเนียมสีทองเหลืองอร่าม
ขณะที่เจ้าสาวผู้โชคดี สวมชุดสีทองประดับประดาด้วยเครื่องเพชรและอัญมณีต่าง ๆ อย่างอลังการ ทั้งเพชรนิลจินดามากมาย พร้อมมงกุฎประดับด้วยมรกตรูปหยดน้ำ รองเท้าได้รับการออกแบบจาก Christian Louboutin คริสเตียน เลอบูเต็ง ดีไซน์เนอร์ชื่อดังจากฝรั่งเศส ส้นรองเท้าประดับตกแต่งด้วยคริสตัลจาก Swarovski สวาล๊อฟสกี้
ช่อดอกไม้ที่เจ้าสาวถือในมือล้วนเป็นเพชร พลอยอย่างดี ทั้งสองพระองค์ประทับอยู่บนบัลลังก์ภายในท้องพระโรง แวดล้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และช้าราชการชั้นผู้ใหญ่
ฉันนั่งด้านหน้า สามารถมองเห็นพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์อย่างเด่นชัด ฉันจ้องมองคู่บ่าว สาว ทั้งสองพระองค์แทบไม่กะพริบตา ตลอดงานพระพระราชพิธีเป็นไปตามธรรมเนียมโบราณ ทั้งสมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินี ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ต่างมาแสดงความยินดีกับคู่บ่าวสาว และมีการกล่าวคําอวยพร หลังเสร็จงานพิธีการ มีงานเฉลิมฉลองด้วยการกินเลี้ยงสุดเลิศหรูอลังการ
เจ้าหน้าที่เชิญแขกไปรับประทานอาหารที่ห้องจัดเลี้ยงที่ประดับตกแต่งอย่างสวยงามบนโต๊ะมีถ้วยชามที่ล้วนขลิบทองมลังเมลืองเหลืองอร่าม เมื่อภาชนะต้องแสงไฟจะส่องประกายระยิบระยับแวววับ อาหารทุกจานจัดมาอย่างประณีต สลักเสลาอย่างสวยงาม
แต่ละโต๊ะมีแขกประมาณ ๗-๘ คน อาหารที่เสิร์ฟล้วนคัดสรรจากวัตถุดิบอย่างดีที่สั่งตรงมาจากทั่วทุกมุมโลก ขณะรับประทานอาหารมีดนตรีขับกล่อมให้ความบันเทิงตลอดงาน
ขณะนักดนตรีบรรเลงฉันได้ยินเสียงเพลงไทยแว่วมาแต่ไกล หันกลับไปมองที่มาของเสียงพบว่า วงดนตรีจะเล่นเพลงประจำชาติแต่ละชาติเพื่อเป็นเกียรติแก่แขกที่มาร่วมงาน
ฉันดีใจสุดชีวิตที่ได้ยินเพลงไทยบรรเลงในท้องพระโรงแห่งนี้ อาหารมื้อนั้นเป็นอาหารรสเลิศที่วิเศษสุดมื้อหนึ่งในชีวิต
ขณะอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่สุดจะบรรยาย ฉันรู้สึกลอย ๆ เหมือนฝัน ความสุขท่วมท้นล้นทะลัก สุขเช่นนี้จะหาที่ใดในโลก ทุกสิ่งทุกอย่างถูกเสกสรร ปั้นแต่ง เนรมิตด้วยน้ำมือมนุษย์ เพื่อให้สวยงาม เลิศหรูอลังการมากที่สุดเท่าที่จะบันดาลให้เกิดขึ้นได้ เพื่อให้สมพระเกียรติกับการเป็นพระราชาธิบดีที่ร่ำรวยที่สุดประเทศหนึ่งในโลก
ขณะนั้นฉันต้องหยิกตัวเองหลายรอบว่า นี่เรื่องจริงหรือฉันฝันไป เพราะทุกสิ่งตรงหน้าถูกเนรมิตเหมือนดั่งอยู่บนสรวงสวรรค์ ทุกอย่างเลิศหรูอลังการจนไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคําพูด ขณะฉันตักอาหารเข้าปากด้วยช้อนขลิบทอง เบื้องหน้าคืออาหารเลิศรสที่ตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงาม
ขณะจิตฟูฟ่อง เคลิบเคลิ้มดั่งอยู่ในภวังค์ จู่ ๆ ได้ยินเสียงดังขึ้นในใจ บอกว่า “มองให้ดี พิจารณาให้ดี เจ้าเป็นใครมาทำหน้าที่อะไร สิ่งที่เจ้าเห็นตรงหน้า คือ สิ่งที่เป็นความจริง หรือเพียงภาพลวงตา” เสียงนั้นปลุกให้ฉันตื่น หยิกตัวเองอีกรอบ ภาพตรงหน้าคือความจริง แต่เป็นความจริงที่ไม่จีรัง ยั่งยืน
ฉันนั่งพิจารณาทุกอย่างช้า ๆ เรียกสติที่กําลังเคลิบเคลิ้มหลงใหลกลับคืนมา มองช้อนขลิบทองมลังเมลืองที่ใช้ตักอาหารเข้าปาก ทันใดนั้น ได้ยินเสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นในใจเบา ๆ
“ช้อนทองคำหรือช้อนสังกะสี ล้วนคือสิ่งเดียวกัน
คือภาชนะที่เพียงนำอาหารตักใส่ปากเท่านั้น
ไม่ว่าช้อนทำด้วยอะไร”
ช้อนทองคําแทบหล่นจากปาก ฉันหันมองรอบด้านอีกครั้ง ภาพความสวยงามตรงหน้าเหมือนดั่งสรวงสรรค์นี่ล่ะคืออะไร
หลังเสร็จสิ้นภารกิจจากงานเลี้ยง ฉันกลับบ้านด้วยความรู้สึกสับสน เกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกเมื่อครู่ เสียงในใจที่ดังขึ้นคืออะไร เหมือนมีคน ๒ คนโต้เถียงกัน เสียงหนึ่งบอกว่า สิ่งที่ฉันเห็นมองเห็น คือ สิ่งสมมุติที่มนุษย์เสกสรรปั้นแต่งขึ้นมา หากฉันหลงใหลกับสิ่งเหล่านี้ และยึดว่านี่คือความจริง คือ ความสุขที่แท้จริง ฉันจะไม่มีทางพบความจริงในชีวิต
ขณะนั้นได้ยินเสียงเดิมพูดซ้ำอีกว่า ภาพตรงหน้า คือ ภาพที่เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะหนึ่งเป็นเพียงสิ่งชั่วคราว ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ถาวร ไม่ควรยึด ไม่ควรหลงใหล เป็นเพียงภาพมายา ความเลิศหรู อลังการหาใช่ความสุขที่แท้จริง
ฉันถามต่อว่า แล้วความสุขที่แท้อยู่ตรงไหน ได้ยินเสียงตอบเบา ๆ ให้ฉันหลับตาสูดลมหายใจลึก ๆ ค่อย ๆ ทบทวน สิ่งที่อยู่ตรงหน้าดึงสติกลับคืนมา
ฉันนั่งนิ่งอยู่กับลมหายใจ เข้าออก เอาสติตามดูตามรู้เหมือนที่เคยฝึกมา นึกถึงเหตุการณ์ที่เคยอยู่วัดคนเดียว ค่อย ๆ รวบรวมความคิดที่ฟุ้งซ่านกลับคืนมา เกิดความสงบในจิต เห็นตัวเองกําลังยึดติด หลงใหล อยากมีอยากเป็นอยากครอบครองความสุขทางโลกเช่นนี้บ้าง นั่งเพลิน ๆ สะดุ้งอีกครั้ง ได้ยินเสียงจากภายใน ความจริงไม่ได้อยู่ที่ไหนไกล อยู่ในใจเธอนั่นเอง
จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ฉุกคิดกลับมาทบทวนเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ฉันจะทำเช่นไรจึงจะไม่ยึดติดกับสิ่งที่มองเห็น
ฉันพบว่า ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ไม่ว่า สุข ทุกข์ หากมองทุกสิ่งตามความเป็นจริงย่อมเห็นว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นตั้งอยู่ ดับไป คือความเป็นธรรมดาทั้งสิ้น
“ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านมา ผ่านไป ดั่งสายน้ำไหล เราจะยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งใด
หากมัวหลงใหลอยากมี อยากเป็น อยากยึดความสุขเช่นนี้เอาไว้
คงต้องวนเวียนกับความรู้สึกเช่นนี้ไม่จบสิ้น ”