บทที่ ๑๓ กลับบ้าน

          สังคมเมืองหลวงที่บันดาร์ เสรี เบกาวัน บรูไน เป็นสังคมเล็ก ๆ มีประชากรเทียบเท่าจังหวัดหนึ่งในประเทศไทย ผู้คนรู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี มีความเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ โอบอ้อมอารีต่อกัน หลังจากเสร็จสิ้นงานในหน้าที่แล้ว ฉันยังได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับสังคมโดยทำงานการกุศลต่าง ๆ

          ฉันนําสินค้าจากประเทศไทยมาจำหน่ายเพื่อหารายได้ไปช่วยเด็กกําพร้า สินค้าที่นํามาขายมีมากมาย เช่น ผ้าไหม เสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องประดับ ของตกแต่งบ้าน อาหารแห้งของเหล่านี้ฉันค่อย ๆ สะสมทีละนิด ฝากเพื่อนฝูงที่ไปเยี่ยมให้ช่วยหิ้วไปให้

          เมื่อได้ของจำนวนมากพอสมควร ฉันเปิดบ้านเชิญชวนแขกผู้ใหญ่และเพื่อน ๆ ให้มาอุดหนุนสินค้า และแจ้งว่า เงินรายได้ทั้งหมดมอบให้การกุศล

          สินค้าที่นํามาจําหน่ายเป็นของดีราคาย่อมเยาว์ ผู้คนสนใจมาอุดหนุนคับคั่งสินค้าหมดลงในพริบตา หลังจากรวบรวมเงินที่ขายของได้จำนวนหนึ่ง ฉันเชิญชวนเพื่อน ๆ นําเงินรายได้ทั้งหมดไปบริจาคร่วมกัน ฉันประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและแจ้งความประสงค์อยากนําเงินไปมอบเป็นทุนการศึกษาให้แก่เด็กกําพร้า

          เจ้าหน้าที่พาเราเดินทางไปที่มัสยิดแห่งหนึ่ง วันนั้น มีเด็กประมาณ ๓๐ คน เราเตรียมอุปกรณ์การเรียน สมุด ดินสอ ปากกา ไปมอบให้ด้วย ขณะแจกของฉันสังเกตเห็นแววตาที่หม่นหมอง เต็มไปด้วยความเศร้า ฉันพูดคุยถามไถ่ได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตเด็กเหล่านั้นแล้วสะเทือนใจ

          วันนั้น ฉันกลับถึงบ้านคิดอยากทำอะไรเพิ่มเติม ถามเพื่อนบรูไนว่าจะช่วยอะไรได้อีกบ้าง เพื่อนบอกว่า หากเลี้ยงอาหารอร่อย ๆ ให้เด็กสักมื้อ เค้าคงดีใจ เด็ก ๆ ชอบแฮมเบอร์เกอร์ เพราะไม่ค่อยได้รับประทานอาหารเช่นนี้

          วันรุ่งขึ้น ฉันติตต่อร้านแฮมเบอร์เกอร์ขอเช่าสถานที่เพื่อจัดเลี้ยงพร้อมจัดการแสดงให้ความบันเทิงแก่เด็ก ๆ เมื่อผู้จัดการร้านทราบว่าเป็นงานการกุศล เขาใจดีไม่คิดเงินค่าเช่าสถานที่และแถมฟรีเครื่องดื่ม ให้ฉันจ่ายเฉพาะค่าอาหารเท่านั้น ฉันและเพื่อน ๆ ช่วยกันวางแผนนัดหมายเด็ก ๆ บอกให้ชวนเพื่อนและญาติมาร่วมงานด้วย

          วันนั้น ฉันกับเพื่อนชาวบรูไนและเพื่อนต่างชาติช่วยกันจัดงานอย่างสนุกสนาน ร้องรําทำเพลง สร้างความบันเทิงให้แก่เด็ก ๆ ฉันเห็นรอยยิ้ม ได้เสียงยินหัวเราะดังลั่นห้องจัดเลี้ยงเป็นภาพแห่งความสุข และความทรงจำดี ๆ อีกหนึ่งวัน

          เหตุการณ์ครั้งนั้น เป็นที่กล่าวขานในสังคมเมืองหลวงเล็ก ๆ หนังสือพิมพ์ได้มาทำข่าวครั้งนี้ด้วย เพราะเป็นกิจกรรมที่เป็นประโยชน์แก่สังคม ฉันกลายเป็นที่รู้จักในกลุ่มคนเหล่านี้ และมักได้รับเชิญให้ไปร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆ

          ฉันสนุกกับการไปพบปะ แลกเปลี่ยน เรียนรู้กับผู้คน หากไม่ติดขัดอะไร ฉันจะไปร่วมทุกกิจกรรม เช่น ปลูกป่า เก็บขยะในทะเล เดินป่า ปีนเขา ล่องแก่ง ท่องน้ำตก แม้กิจกรรมผาดโผน โหนเชือกข้ามภูเขา ปีนป่ายไปยอดเขา ฉันทำทั้งหมดเพราะถือเป็นเรื่องท้าทาย ฉันทำด้วยความสนุกสนานและเต็มใจ ทำให้ฉันกลายเป็นคนไทยที่คุ้นเคยกับชาวบรูไนได้อย่างดี

          นอกจากนี้ ฉันยังเข้าร่วมกิจกรรมกับสมาคมสตรี วันหนึ่งมีการประกวดชุดประจำชาติ ฉันเลือกชุดไทยสีชมพูสด โดดเด่น สะดุดตา ให้ช่างทำผมประดิดประดอยตกแต่งทรงผมพร้อมเครื่องประดับสุดอลังการ ขณะเดินประกวด ฉันนวยนาดเยื้องย่างดุจนางพญา พร้อมร่ายรํา ท่วงท่า สวยงาม ขณะนั้น นึกเพียงว่าอยากให้ทุกคนรู้ว่าชาติไทยไม่น้อยหน้าใคร วันนั้น มีผู้เข้าร่วมประกวดมากหน้าหลายตา ต่างแต่งตัวประชันกันอย่างเต็มที่ หลังจากลงจากเวทีฉันมั่นใจว่า สาวไทยไม่เป็นสองรองใคร คณะกรรมการตัดสินคัดเลือกสาวงามที่น่าสนใจ ฉันติดอันดับ ๑ ใน ๕ ดีใจที่สาวเหลือน้อยอย่างฉันได้รับคัดเลือกเช่นกัน

          ขณะนั้น ต้องมีการเดินประกวดกันอีกรอบ ในใจฉันตะโกนก้องว่า เอาน่า ! เป็นไงเป็นกัน อยากให้ชาติไทยขึ้นชื่อลือกระฉ่อน ขณะเดินฉันยกมือไหว้ พร้อมย่อตัวอย่างสวยงามฉีกยิ้มหวาน ปากกว้าง หน้าบาน พร้อมโบกมือให้เพื่อน ๆ ด้านล่างเวที ฉันเคยดูการเดินประกวดนางงามในทีวี จึงฉีกยิ้มสยามให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันยิ้มจนเหงือกแห้ง พร้อมโปรยเสน่ห์เต็มที่ ได้ยินเสียงเชียร์กึกก้องไทยแลนด์ ไทยแลนด์ ไทยแลนด์

          ในที่สุดผลการประกวดเป็นดังที่คาดหมาย สาวชุดไทยสีชมพูสด ก้าวขึ้นเวทีรับถ้วยรางวัล เสียงปรบมือดังสนั่นลั่นห้อง ฉันกลับบ้านด้วยความดีใจ นําชื่อเสียงมาให้ประเทศชาติได้อีกครั้ง

          ขณะกําลังสนุกสนานกับการใช้ชีวิตกับผู้คนในประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้ วันหนึ่งสามีเดินมากระซิบเบา ๆ ว่าได้รับคำสั่งให้ย้ายกลับประเทศไทยกะทันหัน ทันทีที่ทราบข่าว รู้สึกตกใจทำอะไรไม่ถูก ฉันร้องดังลั่นว่า เกิดอะไรขึ้น! ทําไมรวดเร็วเช่นนี้ เพิ่งย้ายมาบรูไนเพียง ๑๑ เดือน ชีวิตกําลังสนุกเพื่อนฝูงมากมาย ยังมีงานอีกหลายอย่างที่อยากทำ

          ฉันคิดจะนําเด็กนักเรียนไทยมาแลกเปลี่ยน เรียนรู้ ประเพณี วัฒนธรรมกับบรูไน เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างเยาวชนทั้งสองประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว และคิดจะนําเพื่อนบรูไนและเพื่อนต่างชาติเดินทางไปเยี่ยมเยียนประเทศไทย ไปเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ศิลปะวัฒนธรรม เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจระหว่างกัน

          นึกถึงวันชื่นคืนสุข งานเลี้ยงเฉลิมฉลองฮารีรายาที่เพิ่งผ่านไป ความรู้สึกตื่นตาตื่นใจงานพระราชพิธีเสกสมรสเจ้าชายมาลิกอันยิ่งใหญ่อลังการ ยังกรุ่น ๆ อยู่ภายในเหมือนเพิ่งผ่านมาไม่นาน ฉันยังอยู่ในอารมณ์ ฝันหวาน พอทราบข่าว ต้องย้ายกลับบ้านเกิดเมืองนอนโดยเร็ว เหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงกลางใจ ตื่นจากฝันทันที

          ฉันนั่งงงงวยกับตัวเอง ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร สิ่งแรกที่ทำได้ คือ การเก็บข้าวของเครื่องใช้ลงกล่อง ขณะนั่งเก็บของหวนนึกถึงชีวิตที่ผ่านมา ช่างตลกสิ้นดี มักมีอะไรที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับฉันเสมอ ช่วงที่ผ่านมามีทั้งเสียงหัวเราะ คราบน้ำตา สมหวัง ผิดหวัง สุข ทุกข์ คละเคล้ากันไป

          ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ค่อย ๆ ผุดขึ้น เหมือนกําลังนั่งดูซีรีส์หนัง ชีวิตผ่านการต่อสู้มาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ตามล่าหาฝันเมื่อวัยเยาว์ ผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่ากับการเริ่มต้นชีวิตการงาน

          เมื่อแต่งงานเริ่มต้นชีวิตใหม่จนตั้งครรภ์อ่อน ๆ ที่จาการ์ตา สิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้นต้องสูญเสียลูกในครรภ์ ร้องไห้เสียใจปิ่มว่าจะขาดใจ เมื่อเวลาผ่านไปต้องเดินทางโยกย้ายไปเบอร์ลิน เริ่มต้นครั้งใหม่ด้วยการสร้างครอบครัวเล็ก ๆ ที่อบอุ่น

          ต่อมา ต้องย้ายมาบรูไน พ่อ แม่ ลูก ต้องแตกกระซานซ่านเซ็น แยกย้ายกันไปทำ หน้าที่ของแต่ละคน ขณะที่ฉันกําลังมีความสุข สนุกสนานกับผู้คนรอบด้าน สิ่งแวดล้อมรอบตัว

          จู่ ๆ ต้องย้ายกลับเมืองไทยกะทันหัน นี่คืออะไร ! ฉันทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นเห็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอน เหตุการณ์หมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่จบไม่สิ้น สิ่งนี้ต้องเกิดเช่นนี้กับทุกคนเหมือนที่เกิดขึ้นกับฉันใช่ไหม

          ฉันถามตัวเอง แต่หาคําตอบไม่ได้ ก้มหน้าเก็บของ นั่งมองสิ่งของตรงหน้ามากมายบางชิ้นซื้อมายังไม่ได้เอาออกมาใช้ เพราะคิดว่าต้องอยู่บรูไนอีกหลายปี ฉันจึงชะล่าใจเก็บเอาไว้ก่อน เก็บของไปทอดถอนใจไป อะไรที่ไม่คาดหวังมักจะเกิดขึ้นเสมอ มีความสุขอยู่ดี ๆ จำต้องจากไป

          ฉันเก็บของไปน้ำตาไหลไปด้วยความอาลัย มองบ้านหลังใหญ่ที่เคยอยู่อาศัย รู้สึกใจหาย เกิดความรัก ความผูกพันกับทุกสิ่งรอบกาย มองไปที่ป่าหลังบ้าน เพื่อนลิงจะรู้ไหมตั้งแต่นี้ไป คงไม่มีใครเอาอาหารอันโอชะมาให้ ใครหนอจะมาดูแล?

          ครั้งนี้ข้าวของเครื่องใช้ที่ต้องขนกลับประเทศไทยมีจำนวนมาก เพราะย้ายต่อเนื่องมาจากเบอร์ลิน สมัยอยู่ที่นั่น ฉันชอบไปเดินซื้อของที่ตลาดของเก่า ทุกวันอาทิตย์จะมีตลาดนัด (Sunday Market) ที่ชาวบ้านจะเอาของมาขายราคาไม่แพง ฉันชอบไปดูของเหล่านั้น และสะสมของที่ชอบเอาไว้ ทั้งถ้วยชามสวย ๆ รูปภาพเก๋ ๆ ตอนนี้เพิ่งรู้ว่า สิ่งของที่ซื้อมานั้นคือภาระ นั่งมองของสะสมแต่ละชิ้น เพิ่งรู้ว่าของเหล่านั้นมิใช่สิ่งจําเป็นแต่อย่างใด

          นั่งมองข้าวของเครื่องใช้กองมหึมาตรงหน้าแทบถอดใจ เหลียวมองรอบ ๆ บริเวณบ้าน เห็นทิวเขาลิบ ๆ ไกล ๆ ต้นไม้เขียวขจีน้อยใหญ่ขอเก็บภาพนี้เอาไว้ในใจ ฉันเก็บของไปถอนใจไป ไร้เรี่ยวแรง ครั้งนี้ ต้องจ้างบริษัทมาช่วยแพคของลงกล่อง เพราะมีเวลาจํากัด ต้องเดินทางอย่างกะทันหันที่สำคัญคือฉันต้องตระเวนบอกลาเพื่อน ๆ ว่าต้องเดินทางกลับเมืองไทย

          พอเพื่อนทราบข่าวต่างตกใจ ทําไมจึงรวดเร็วเช่นนี้ ฉันเองก็ตอบไม่ได้ ได้แต่ยิ้มเศร้า ๆ และปลอบใจตนเอง ชีวิตก็เป็นเช่นนี้แหละ อะไรที่คาดหวัง มักไม่เป็นไปตามหวัง หากกําลังมีความสุขให้ระลึกว่า สิ่งนี้ไม่เที่ยงแท้แน่นอน อะไรผ่านมาแล้วย่อมผ่านไป ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ให้ทำใจเตรียมพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเสมอ

          ก่อนเดินทางวันสุดท้าย รถบรรทุกคันใหญ่แล่นเข้ามาในบ้านเพื่อมาขนสัมภาระมากมายไปลงเรือ ฉันทรุดตัวลงนั่งหน้าบ้าน มองคนงานขนข้าวของเครื่องใช้ขึ้นรถ นั่งนิ่งจ้องมองจนลับสายตา นี่คือชีวิตฉันต้องเดินทางอีกครั้งใช่ไหม

          นึกแล้วเศร้าใจ คิดถึงฝูงลิง อยู่กันไม่ทันไรต้องจากกันแล้วหรือ จากนี้ไปใครหนอจะคอยดูแล หาอาหารมาให้ นึกแล้วสะท้อนใจ นั่งอยู่สักพัก ดูเหมือนคลื่นพลังงานที่ฉันส่งออกไปเพื่อนลิงจะรับรู้ ฉันเห็นหัวหน้าลิงเดินมาจุดที่ฉันนั่งอยู่ ฉันจึงกล่าวคําอำลาพร้อมฝากบ้านและผืนป่าไว้ให้ดูแล ฉันได้แต่ยิ้มเศร้า ๆ ให้หัวหน้าลิง เราสบตากันนิ่งนานเป็นการสื่อภาษากันด้วยหัวใจ

          ฉันสบตาลิงทุกตัว จำได้เกือบหมด ลูกเล็ก เด็กแดง บางตัวยังอยู่กับอกแม่ ดูดนมไม่ยอมปล่อย เจ้าจ๋อน้อยคุ้นเคยกับฉันมานาน ลูกหลานลิงฉันจำได้ หาอาหารให้กิน ดูแลกันมาเกือบปี หากเชื่องกว่านี้ ฉันคงคว้าเจ้าลิงน้อย มากอดแล้วหอมสักฟอด แต่ต้องนึกในใจว่าอย่าเพิ่งไว้ใจ แค่สั่งเสียร่ำลากันก็พอ

          ชีวิตหมุนเวียนเปลี่ยนไป กี่ร้อน กี่ฝน กี่หนาว ที่ฉันต้องเดินทางโยกย้ายเช่นนี้ มีพบ จาก พลัดพรากตลอดเวลา สุข ทุกข์ เหงา เศร้า ครบทุกรสชาติ เหม่อมองออกนอกหน้าต่าง ต้องย้ายบ้านมาแล้วกี่หลัง ต้องเสียน้ำตามาแล้วกี่หน พบสิ่งใด มักต้องจากสิ่งนั่นไม่ช้าก็เร็ว นึกถึงเมื่ออยู่จาการ์ตาเกิดความรักความผูกพันกับผู้คนรอบข้าง ส่วนเบอร์ลิน ค้นพบความรัก ความผูกพันที่มีกับผู้คนและธรรมชาติ ทำให้รู้ว่าสรรพสิ่งล้วนเกี่ยวเนื่องผูกพันกัน เราคือหนึ่งเดียวกัน

          เมื่อย้ายมาบรูไนฉันพบ “ความรักเป็นสากล” ฉันมีความสัมพันธ์กับผู้คนทั้ง รวย จนเชื้อชาติ ภาษา ศาสนา ประเพณี วัฒนธรรมที่แตกต่างกันไม่ใช่ปัญหา ไม่สามารถกีดกั้นความรัก ความผูกพัน ระหว่างกันได้

          ฉันเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมาย เป็นความรัก ความผูกพันกับธรรมชาติ แม้กับฝูงลิงป่าหากเราสื่อสารด้วยใจมิใช่คําพูด เพียงสัมผัสกันด้วยความรัก ความห่วงใยที่มีต่อกันสิ่งเหล่านี้ย่อมส่งพลังถึงกันได้

          แม้เคยได้ยินมาว่า ไม่ควรไว้ใจสัตว์หน้าขน แต่ฉันสื่อสารกับสัตว์เหล่านี้ ด้วยความเมตตาที่มีต่อกัน การสื่อสารมีหลายช่องทาง ทั้งสายตากิริยาท่าทางที่แสดงออก คนหรือสัตว์ไม่ต่างกัน ล้วนต้องการความรักเช่นเดียวกัน เราต่างเกี่ยวเนื่องผูกพันกันความสัมพันธ์ที่ดีย่อมเกิดขึ้นได้หากมีใจตรงกัน

          สรรพสิ่งใด ๆ ในโลกล้วนเกี่ยวเนื่องผูกพันกัน หากมนุษย์เข้าใจเช่นนี้ โลกคงมีแต่สันติสุข ไม่ต้องรบราฆ่าฟัน แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน บ้านเมืองคงสงบสุข

          ฉันนึกถึงเสียงเพลง Imagine ของ John Lennon เนื้อเพลงกล่าวถึงจินตนาการของผู้แต่งที่ปรารถนาให้ทุกคนใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่ว่าจะอยู่ประเทศไหน นับถือศาสนาอะไร ดังเนื้อเพลงที่ร้องว่า “บางคนอาจจะคิดว่า ฉันเป็นคนเพ้อฝัน แต่ฉันไม่ได้ฝันคนเดียว ฉันหวังว่า วันหนึ่งเราจะร่วมกันทาให้โลกทั้งผองกลายเป็นหนึ่งเดียว ฉันนั่งหลับตานึกถึงบทเพลงนี้ จริงซิ! ฉันปรารถนาให้โลกมีสันติสุขเช่นกัน

          ชีวิตที่ผ่านมา ฉันสํารวจโลกภายนอกผ่านการเดินทาง เมื่อมองย้อนกลับมา มีโอกาสสํารวจโลกภายในผ่านใจตัวเอง ช่วงอยู่บรูไน ฉันค้นพบ ความรัก ความผูกพัน ที่เกิดกับบุคคล และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทำให้รู้ว่า ทุกสิ่งล้วนสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องผูกพันกัน ด้วยความรักที่มีต่อกัน

          “ฉันตระหนักว่า ความรักเป็นสากล ฉันปรารถนาให้ผู้คนบนโลกมีความรักต่อ

กัน ด้วยหัวใจทีหลอมเป็นหนึ่งเดียวกัน ขอความรักจงปรากฏในใจทุกคน”

บทที่ ๑๔ ตื่นจากฝัน

          วันสุดท้ายที่เดินทางจากบรูไน ฉันต้องตัดใจละทิ้งภาพแห่งความสุขนั้น รู้สึกอาลัยอาวรณ์ นึกถึงประเทศเล็ก ๆ ที่ร่ำรวย สวยงาม ผู้คนเป็นมิตร นึกถึงชีวิตที่สะดวก สบายทุกอย่าง

          ฉันอยู่บ้านหลังใหญ่โต แวดล้อมด้วยผู้คนมากมาย แม่บ้าน คนรถ คนสวน คนทำความสะอาด ต่างมายืนส่งพร้อมเพรียงกัน ฉันกล่าวคําอำลาและขอบคุณทุกคนที่ดูแลฉันเป็นอย่างดีตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน

          นึกถึงฝีมือการทําอาหารรสเลิศที่ปรุงอย่างตั้งใจ อาหารแต่ละจานที่เสิร์ฟนอกจาก

รสชาติดีแล้วยังบรรจงแกะสลักมาอย่างสวยงาม ถ้วยโถโอชามเข้าชุด ทั้งอาหารคาว หวานชาน จาน ช้อนส้อม แก้วน้ำ แต่ละประเภทถูกใช้ให้เข้ากับลักษณะงาน

          แม่บ้านต้องทำหน้าที่อย่างหนักเพราะบ้านหลังใหญ่ มีมากมายหลายห้อง ทั้งห้องจัดเลี้ยง ห้องประชุม ห้องสมุด ห้องรับแขก ต้องหมั่นปัด กวาด เช็ดถู แต่ะละห้อง แต่ละชั้นต้องให้เรียบร้อย คนสวนต้องดูแลสวนที่กว้างใหญ่ รดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ยให้ต้นไม้ ดอกไม้ ให้สวยงามรับแขกได้ไม่อายใคร

          บางวันคนสวนบอกว่า ต้องลงไปป่าหลังบ้านไปดูแลสวนผลไม้ เงาะ มังคุด ทุเรียน ให้ออกดอก ออกผล เพื่อรับแขกบ้านแขกเมือง ส่วนคนรถมีหน้าที่ดูแล รับส่ง ฉันไปงานต่าง ๆ ประเทศเล็ก ๆ อย่างบรูไน เดินทางไปไหนสะดวกสบาย ใช้เวลา ๑ วันก็เดินทางได้เกือบทั่วประเทศ

          ภารกิจของฉันส่วนมากจะไปงานทางการ หากว่างเว้นจากภารกิจก็จะไปออกกําลังกาย พบปะ เพื่อนฝูงตามงานเลี้ยงต่าง ๆ วันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับเมืองไทย ฉันได้ฝากบ้าน ฝากสวน ฝากต้นไม้ ให้ทุกคนช่วยกันดูแล ฉันสวมกอดแม่บ้าน คนรถ คนสวน ที่ทำหน้าที่อย่างดี พร้อมอวยพร ลาก่อน ขอให้ทุกคนโชคดี

          ขณะเดินจากมา ภาพต่าง ๆ ผุดขึ้นในห้วงแห่งความคิดคํานึง มองไปป่าหลังบ้าน ฝูงลิงห้อยโหนตามต้นไม้ ส่งเสียงโหยหวนเหมือนกล่าวคําอำลา ก่อนจากไป ฉันยืนมองภาพนั้นครั้งสุดท้ายด้วยความอาลัย อาวรณ์ ยิ่งนัก

          เมื่อเดินทางถึงสนามบิน พบกลุ่มคนมากมาย ทั้งเพื่อนต่างชาติ เพื่อนชาวบรูไนและเพื่อนคนไทยมาส่ง เราต่างสวมกอดกันพร้อมน้ำตา กี่ครั้งแล้วนะที่ฉันต้องพบเหตุการณ์เช่นนี้ ความรัก ความผูกพันที่เกิดขึ้นระหว่างกันยากที่จะอธิบาย

          ฉันปาดน้ำตา ร่ำลาทุกคนด้วยความเศร้า เพื่อนบรูไนคนสุดท้ายเดินมากระซิบเบา ๆ ว่า เธอคือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน โปรดอย่าลืมกัน หากมีโอกาสขอให้กลับมา

          ฉันจําได้ว่า เพื่อนคนนี้ เคยชวนฉันไปงานแต่งงานญาติ บ้านของเขาไม่โอ่โถงเหมือนบ้านคนอื่น ๆ เป็นบ้านไม้ชั้นเดียว เล็ก ๆ แคบ ๆ ตอนแรกเขากลัวฉันจะรังเกียจ ฉันบอกว่าบ้านหลังเล็กใหญ่ไม่สำคัญ เธอคือเพื่อนของฉันขอให้เรามีความรู้สึกดี ๆ ต่อกันก็พอ

          วันนั้น เมื่อไปถึงบ้านเขา ฉันนั่งพูดคุยกับทุกคนอย่างเป็นกันเอง พบญาติตาบอด หูหนวก ฉันเข้าไปหา ไม่รู้จะสื่อสารอย่างไร ได้แต่สวมกอดและจับมือเอาไว้ หากเธอไปไหนฉันจะคอยประคองและจูงมือเธอไป ฉันไม่ได้พูดอะไรแต่สื่อสารด้วยหัวใจ

          การทําเช่นนั้นทําให้เพื่อนชาวบรูไนซาบซึ้งใจ ทุกครั้งที่ไปเยี่ยม ฉันมักจะมีของอร่อย ๆ จากเมืองไทยไปให้ สิ่งนี้เป็นการผูกสายสัมพันธ์อันแนบแน่น ไม่ว่ารวยหรือจนก็คนเหมือนกัน

          ฉันร่ำลาทุกคน ด้วยรอยยิ้มเศร้า ๆ ก่อนเดินจากมา หันไปมองโบกมือลากันครั้งสุดท้าย น้ำตารินไหลเป็นทาง นั่งเครื่องบินกลับเมืองไทย แต่หัวใจอยู่ที่บรูไน เหม่อมองท้องฟ้าสีคราม ลาก่อนบรูไน

          เมื่อเดินทางถึงกรุงเทพฯ ภาพความทรงจําเริ่มกลับคืนมา ตึกราม บ้านช่อง แออัดถนนหนทาง รถราขวักไขว่ ฉันมองลงมาจากทางด่วน เห็นรถติดยาวเป็นแถวเป็นภาพที่คุ้นตามานาน

          เมื่อกลับถึงบ้านที่เคยอยู่อาศัย ภาพที่บรูไนหายวับไปกับตา ความจริงปรากฏตรงหน้า บ้านหลังเล็ก ๆ ทิ้งร้างไปหลายสิบปี บัดนี้เต็มไปด้วยฝุ่นหนาเตอะ เก้าอี้โยก โซฟา สีซีด ข้าวของเครื่องใช้เก่า คร่ำคร่า

          ด้วยความเคยชินฉันหันรีหันขวางจะเรียกหาแม่บ้าน ทีเคยรายล้อมให้ช่วยปัด กวาดเช็ดถู ทำความสะอาด เผลอเรียกชื่อแม่บ้านออกไปเสียงดัง ทันใดนั้นสะดุ้งโหยงสุดตัว จะสั่งใคร? นี่บ้านเราที่เมืองไทย

          ก้มมองชุดผ้าไหมที่สวมใส่ในวันเดินทางกลับ จะทำเช่นไร จะใส่ชุดนี้กวาดบ้าน ถูบ้านคงไม่เหมาะ จำใจต้องเปลี่ยนชุดหรูแปลงกายเป็นแจ๋วทำหน้าที่ทันที

          ปัด กวาด เช็ด ถู เรียบร้อย หิวข้าว เผลอตะโกนเสียงดังลั่นให้แม่ครัว ช่วยทําอาหารรสเลิศและให้แม่บ้านยกมาเสิร์ฟที่โต๊ะ เงียบ บ บ บ บ ไม่มีเสียงตอบ สะดุ้งสุดตัวอีกครั้ง นั่นคือภาพเมื่อวานเป็นเพียงภาพในอดีต แต่ที่นี่คือปัจจุบันบ้านที่เมืองไทย ฉันตบหน้าตัวเองฉาดใหญ่ ตื่นจากฝันเสียที

          ฉันจากบ้านไปหลายปีลืมสิ่งที่เคยมีเคยเป็น ได้ยินเสียงตะโกนก้องดังลั่นในใจ “เอาชีวิตที่บรูไนกลับคืนมา” ต้องใช้เวลาในการปรับตัว ปรับใจยอมรับความจริงตรงหน้า

          บางวัน เดินไปตลาดน้ำตาไหล ใครจะรู้บ้างไหมครั้งหนึ่งฉันเคยอยู่บ้านหลังใหญ่บริวารแวดล้อมมากมาย ไปไหนมีคนรถไปส่งไม่ต้องเดินให้เมื่อย จะกินอะไรมีคนช่วยคิดเนรมิตให้ทุกอย่าง บ้านช่องไม่ต้องห่วง มีคนปัดกวาดเช็ดถูดูแลอย่างดี เสื้อผ้าที่สวมใส่ไม่ต้องกังวลใจ แม่บ้านซักรีด ทำความสะอาดเตรียมไว้ให้

          ถามตัวเองว่า วันนี้ฉันมาทำอะไรที่นี่ เดินอยู่ข้างถนนผู้คนพลุกพล่านมากหน้าหลายตา รถราขวักไขว่ดูสับสนวุ่นวาย ฉันเดินหิ้วถุงพลาสติกพะรุงพะรังหอบข้าวของมากมายไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าวเตรียมปรุงอาหารให้คนที่บ้าน

          มองเห็นรถคันใหญ่ผ่านไปมา นึกถึงวันเวลาที่บรูไน ไปไหนแต่ละทีสะดวกสบายคนรถจะพาฉันไปทุกที่ นึกแล้วเศร้าใจเป็นเพียงภาพในอดีต ช่างเป็นภาพที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

          ภาพงานเลี้ยงเฉลิมฉลองฮารีรายาที่บ้านเพื่อน เราพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะดังลั่น ก้องอยู่ในโสตประสาท จำวันที่ต้องตระเวนไปงานเลี้ยงตามบ้านต่าง ๆ ภาพแห่งความสุข สนุกสนาน ผุดขึ้นเราต่างผลัดกันเป็นเจ้าภาพ ผลัดกันเลี้ยง ผลัดกันเล่าเรื่องราวของแต่ละคน สุขบ้าง เศร้าบ้างคละเคล้ากันไป เป็นบรรยากาศแห่งความเป็นมิตรระหว่างกัน

          งานเลี้ยงเลิศหรูที่ท้องพระโรงวันนั้น เครื่องประดับ ถ้วยโถโอชามเหลืองอร่าม สะท้อนแสงแวววับระยิบระยับ เมื่อต้องแสงไฟ

          นึกถึงทุกอย่างทีผ่านเข้ามาประหนึ่งว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ช้อนขลิบทองที่เคยใช้ตักอาหารวันนั้นยังจำได้ติดตา เสียงดนตรีที่ขับกล่อม บรรเลงเพลงไพเราะ เสนาะหู แว่วมาแต่ไกล คิดอะไรเพลิน ๆ ทันใดนั้น ได้ยินเสียงเล็ก ๆ ในใจดังขึ้น “เจ้าตื่นหรือยังมัวแต่หลงไหลกับเรื่องในอดีต ขอให้เจ้าตื่นจากฝันกลับสู่โลกความจริงสักที”

         ฉันรู้ตัวดีว่า จิตยังยื้อยุดฉุดความสุขที่ได้เคยได้รับมาไม่อยากให้หลุดลอยไป ฉันยังไม่อยากตื่นจากฝันยังอยากอยู่ในภวังค์และยึดติดกับความสุขที่ผ่านมา ใครเลยจะไม่หลงใหลกับชีวิตดั่งเนรมิต สะดวกสบายทุกอย่างไม่ต้องทำอะไร แค่เพียงบอกว่าอยากได้อะไรสิ่งนั้นจะปรากฏทันที ฉันอยากรู้ว่า หากใครเป็นเช่นฉันจะรู้สึกอย่างไร จะทำเช่นไร ฉันหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ใครช่วยบอกที

          ฉันไม่อยากทุกข์ใจซ้ำซาก เสียน้ำตามาไม่รู้เท่าไหร่ ช่างไม่หลาบจำ จะต้องเผชิญกับอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้อีกนานแค่ไหน แว่วยินเสียงมาแต่ไกล “เจ้าอยากได้คำตอบใช่ไหม กลับมาอยู่กับลมหายใจ ฝึกจิต ฝึกใจอีกครัง”

         ฉันกลับมาสวดมนต์ ไหว้พระ ทำสมาธิจริงจัง นึกถึงคําครูบาอาจารย์ที่เคยสั่งสอนนึกถึงหนังสือที่เคยอ่าน แด่เธอผู้รู้สึกตัว ออกจากความคิดฟุ้งซ่านกลับมาสู่โลกความจริง

          ฉันเป็นใครมาจากไหนมีภารกิจอะไร ถามตอบไป มา ค่อย ๆ รวบรวมเรียบเรียงความคิด เห็นเส้นทางชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านสุข ทุกข์มากมาย วนเวียนหมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่จบสิ้น

          ทุกสิ่งในชีวิตที่ผ่านมา เหมือนสายน้ำไหลไม่มีวันหวนกลับ นึกถึงวันที่พ่อ แม่ จูงมือไปที่วัดและพบธรรมะที่ติดตามต้นไม้ของหลวงพ่อชา ที่วัดหนองป่าพงที่เคยอ่านเมื่อวัยเด็กผุดขึ้นในห้วงแห่งความคิดคํานึงเด่นชัด

          “ทุกข์มีเพราะยึด ทุกข์ยืดเพราะอยาก ทุกข์มากเพราะพลอย ทุกข์น้อยเพราะหยุด ทุกข์หลุดเพราะปล่อย” ถึงเวลาที่ฉันจะต้องปล่อยสิ่งที่ยึดมาหรือยัง ?

ฉันถามตัวเอง

WP2Social Auto Publish Powered By : XYZScripts.com