บทที่ ๓ ไม่ยอมแพ้
ฉันกลับมาทบทวนตัวเองอีกครั้ง ยังมีหนทางอื่นอีกไหมที่จะทําฝันให้เป็นจริง นึกถึงอาชีพนักการทูตที่ต้องเดินทางไปทํางานต่างประเทศ น่าจะเป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะทําฝันให้เป็นจริง
ฉันตัดสินใจสมัครสอบเป็นนักการทูต ครั้งนี้เตรียมตัวอย่างดี อ่านหนังสือหามรุ่งหามค่ำ ติดตามข่าวสารบ้านเมือง อ่านข่าวภายในประเทศ ข่าวต่างประเทศ วิเคราะห์การเมือง เศรษฐกิจ สังคม และหาความรู้ทั่วไปเพิ่มเติม ฝึกฝนภาษาอังกฤษทั้งฟัง พูด อ่าน เขียนให้คล่อง
ผลสอบออกมาฉันผ่านข้อเขียนรอบแรก ฉันตื่นเต้น ดีใจ ความฝันใกล้เข้ามาทุกที แต่ยังเหลืออีกด่านคือการสอบสัมภาษณ์ที่ยากที่สุด ต้องไปเก็บตัวต่างจังหวัด ๓ วัน เพื่อดูบุคลิกภาพและการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น มีการสอบโต้วาทีและกล่าวสุนทรพจน์เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อทดสอบความรู้ ความสามารถในการใช้ภาษา ฉันทุ่มเทสุดกําลังความสามารถ ฝึกฝนตนทุกด้านเพื่อให้ผ่านการสัมภาษณ์ครั้งนี้
หลังจากนั้นไม่นานก็ประกาศผล ฉันไปดูผลสอบสัมภาษณ์แต่เช้า ใช้นิ้วไล่เรียงหาชื่อตัวเองทุกบรรทัดหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ วนเวียนกลับไปมาหลายรอบ จนแน่ใจว่าไม่มีชื่อฉันปรากฏอย่างแน่นอน
วินาทีนั้น สมองอื้ออึง หูอื้อ ตาลาย หมดเรี่ยวแรงทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก เกิดอะไรขึ้นกับชีวิต ทําไมโชคชะตาจึงเล่นตลกเช่นนี้ ผิดหวังซ้ำ ๆ ติดกันหลายครั้ง ฉันต้องร้องไห้อีกกี่ครั้ง ต้องเสียน้ำตาอีกกี่หน ความทุกข์ประดังเข้ามาดั่งห่าฝน
ภาพวัยเด็กผุดขึ้น วันแรกที่หัดขี่จักรยาน ขณะพยายามประคองตัวเพื่อไม่ให้ล้ม ขาข้างหนึ่งเข้าไปติดกับล้อรถจักรยานทําให้ฉันหกล้มคะมําไม่เป็นท่า ซี่เหล็กของล้อจักรยานครูดกับขาเลือดออก ฉันร้องไห้จ้าด้วยความเจ็บปวด แม่จ๋าช่วยด้วย ช่วยฉุดหนูขึ้นที
แม่นั่งมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย บอกว่า ล้มเองให้ลุกเอง ฉันกรีดร้องเสียงดังลั่น เด็กน้อยวันนั้นไม่เข้าใจทําไมแม่ใจร้าย แม่ยังบอกอีกว่า ชีวิตวันข้างหน้าไม่มีใครช่วยนอกจากตัวเอง
คํา ๆ นี้ฝังแน่นในใจ ทําให้ฉันรู้ว่าหากทําอะไรเมื่อล้มแล้วต้องลุกด้วยตัวเองเสมอ
ภาพนั้นทําให้ฉันได้สติ จริงซิ! ล้มเองต้องลุกเอง วันที่ฉันหกล้มวันนั้นฉันยังสามารถลุกขึ้นมาได้เอง วันนี้ เมื่อล้มแล้วต้องลุกขึ้นมาใหม่ บอกตัวเองว่า ต้องมีสักวันที่เป็นวันฟ้าใสสําหรับเรา
หลังจากนั้นไม่นาน ฉันตัดสินใจสมัครสอบนักการทูตอีกครั้ง ด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ ฉันทุ่มเททําทุกอย่างเต็มกําลังความสามารถ เป็นไงเป็นกัน เอาให้ตายกันไปข้างหนึ่ง
ฉันเชื่อว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสําเร็จอยู่ที่นั่น ฉันตั้งใจอ่านหนังสือเต็มที่ ในที่สุดฉันสอบผ่านข้อเขียน เหลืออีกด่านคือการสอบสัมภาษณ์อีกครั้ง
การได้ใช้ชีวิตด้วยตนเองถูกฝึกให้ตัดสินใจและรับผิดชอบตัวเอง ทําให้ฉันเป็นคนที่มีความกล้า ฉันลงมือทําทุกอย่างเต็มที่ไม่ว่าผลนั้นจะเป็นเช่นไร
แม้จะผิดหวังกี่ครั้งล้มกี่ครั้งฉันก็ลุกขึ้นมาใหม่ หยาดน้ำตาที่หลั่งรินออกมา มิใช่ความพ่ายแพ้ มิใช่ความอ่อนแอ เป็นเพียงแค่การหยุดพักชั่วคราว เหนื่อยนักขอพักก่อน
การร้องไห้ที่ผ่านมาเป็นการระบายความอัดอั้นตันใจวิธีหนึ่ง ฉันคิดว่า เขื่อนที่มีทํานบกั้นน้ำเพื่อชะลอความแรงของน้ำเอาไว้ฉันใด หากได้ปลดปล่อยระบายมวลน้ำมหาศาลออกมาบ้างย่อมลดแรงกระแทกได้ฉันนั้น เหมือนเช่นอารมณ์ฉันก็เช่นกัน หากแบกเรื่องราวหนัก ๆ เอาไว้ เมื่อระเบิดออกมาเป็นน้ำตาชําระล้างความทุกข์บ้างไม่เห็นเป็นไร
การผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าทําให้เกิดการยอมรับและเข้าใจชีวิตมากขึ้น ไม่มีอะไรสวยงามอย่างที่คิด สมหวัง ผิดหวัง เป็นธรรมดา แพ้ ชนะ หมุนเวียนสลับกันไป
จากเด็กน้อยเมื่อวัยเยาว์ ออกเดินทางตามล่าหาฝันมุ่งทะยานไปตามใจปรารถนา ออกเดินทางสู่โลกกว้างเก็บเกี่ยวประสบการณ์ครบทุกรสชาติทุกรูปแบบ เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้หล่อหลอมให้เป็นฉันทุกวันนี้
หลังจากสอบข้อเขียนได้แล้ว ฉันต้องเตรียมตัวเดินทางไปสอบสัมภาษณ์ที่ต่างจังหวัดอีกครั้ง การสอบนักการทูตรอบนี้ แม้ใจจะสู้แต่ร่างกายอ่อนล้าจากการเคี่ยวกรําและหักโหมต่อเนื่องมาอย่างหนัก ก่อนวันเดินทางฉันเป็นไข้ และถ่ายเป็นเลือดเนื่องจากความเครียดสะสมมาเป็นเวลานาน
ฉันไปหาหมอเพื่อปรึกษาว่าจะรักษาอย่างไร หมอให้ยาลดไข้และให้ยาคลายเครียด บอกว่าให้พักทําใจให้สบาย ฉันได้ยินหมอพูดดังนั้นคิดในใจว่าจะเป็นไปได้อย่างไร พรุ่งนี้ต้องเดินทางไปสอบสัมภาษณ์ อนาคตอยู่ใกล้แค่เอื้อม
ฉันจะไม่ยอมให้ความเจ็บป่วยมาเป็นปัญหาอุปสรรคหยุดยั้งความฝัน เป็นไงเป็นกัน ฉันตัดสินใจเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าออกเดินทางไปตามกําหนด ก่อนออกจากบ้านฉันเงยหน้ามองฟ้าตะโกนก้องในใจ ฉันจะสู้ยิบตา แม้ฟ้าจะถล่มดินจะทลายฉันจะทําฝันให้เป็นจริงให้จงได้
ฉันตัดสินใจโยนยาทุกอย่างที่หมอให้มาทิ้งขยะอย่างไม่ไยดี บอกตัวเองว่า กายจะมาสําคัญกว่าใจได้อย่างไร ต่อให้ช้างมาฉุดก็ไม่สามารถหยุดฉันได้ ฉันจะไปพิสูจน์ตัวเองให้โลกรู้อีกครั้งว่าทําได้ ฉันออกเดินทางด้วยความห้าวหาญ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนลั่นกลองรบ เอาผ้าแดงคาดหน้าผาก ตะโกนก้องในใจว่า ลุย!
ระหว่างเก็บตัวสอบสัมภาษณ์ที่ต่างจังหวัด ๓ วัน ฉันลืมความเจ็บไข้ทั้งหมด เลือดในกายทุกหยดหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว จดจ่อกับเรื่องการสอบ ทําทุกอย่างให้ดีที่สุด ฉันสร้างพลังขับเคลื่อนจากภายใน ทําให้สามารถชนะทุกอย่างได้อย่างไม่คาดฝัน
เสร็จสิ้นการสอบสัมภาษณ์ ฉันเดินทางกลับบ้านอย่างผู้ชนะ มิใช่ชนะสิ่งใดแต่เป็นการชนะใจตนเอง เป็นครั้งแรกที่ได้เรียนรู้บทเรียนอันล้ำค่า ด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้า จะสามารถฟันฝ่าเอาชนะทุกอย่างที่ขวางหน้า เป็นจุดพลิกผันในชีวิตทําให้ค้นพบสิ่งต่าง ๆ ที่ตามมาอีกมากมาย เพียงเพราะหัวใจไม่ยอมแพ้
หากย้อนรอยชีวิตจะเห็นเส้นทางที่เด่นชัด ทุกอย่างได้หลอมให้เป็นฉันทุกวันนี้ การเดินทางตั้งแต่วัยเยาว์ คือการเปิดตา เปิดใจ เปิดประสบการณ์ชีวิต ให้กล้าคิด กล้าทํา แม้จะพบปัญหาอุปสรรค ก็มิอาจขวางกั้นความมุ่งมั่น ตั้งใจในการไปให้ถึงฝั่งฝัน
ทุกประสบการณ์ที่ผ่านมา แลกมาด้วยความยากลําบากและหยาดน้ำตา แต่สิ่งนี้มิอาจฉุดรั้งความฝันของฉันได้ จะล้มกี่ครั้ง ยังลุกขึ้นมาใหม่ จะร้องไห้บ้างก็ไม่เป็นไร ปาดน้ำตาให้เหือดแห้ง แล้วยืนขึ้นด้วยความองอาจทระนง ด้วยเชื่อมั่นอย่างหมดใจว่า ฉันทำได้
ชีวิตยังคงดําเนินต่อไป ทะยานสู่โลกกว้าง มุ่งสู่ฝันที่ตนเองเป็นผู้กําหนด ฉันเป็นผู้ขีดเส้นชะตาชีวิตของตนเอง การดําเนินชีวิตที่ผ่านมามีทั้งเรื่องดี เรื่องร้าย ทั้งชัยชนะและพ่ายแพ้ แต่ด้วยด้วยเลือดนักสู้ผลักดันให้ฉันยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง
พลังความเชื่อเป็นตัวขับเคลื่อนความฝัน เป็นแรงผลักดัน เมื่อเชื่อว่าทําได้ เราจะทําได้จริง ๆ เป็นช่วงเวลาทําเต็มที่ ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ สุดกําลังความสามารถ การได้รับอิสระในการดําเนินชีวิต เหมือนนกที่บินไปได้ไกลเท่าที่จะไปได้
การได้รับความไว้วางใจ ทําให้ฉันเติบโตในแบบของตัวเอง แม้จะพบความผิดหวังก็ไม่หวั่น เปลี่ยนความผิดหวังเป็นพลัง เปลี่ยนบาดแผลเป็นปัญญา เชื่อว่า ทุกสิ่งที่ผ่านมาจะมีสิ่งมหัศจรรย์ซ่อนอยู่เสมอ
“จงเชื่อมั่นในความรู้ ความสามารถ ศักยภาพที่เรามี
พัฒนาและแสดงออกในแบบที่เราเป็น ในรูปแบบของเราเอง”
บทที่ ๔ ตั้งคําถาม
เมื่อชีวิตผ่านการต่อสู้เคี่ยวกรําตัวเองมาอย่างหนัก เผชิญความทุกข์ ยาก ลําบากกาย ลําบากใจ ผิดหวัง เศร้า เสียใจ วันหนึ่งเกิดคําถามผุดขึ้นในใจ ชีวิตคืออะไร เกิดมาทําไม เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร
คําถามนี้วนเวียนในห้วงความคิดมาระยะหนึ่ง ไม่ว่าจะทําอะไรฉันมักจะถามตัวเองเสมอว่า มนุษย์เกิดมาต้องเผชิญกับความทุกข์ยากเช่นนี้หรือ มีหนทางใดบ้างที่จะพบความสุขสงบ อย่างแท้จริง
ฉันเดินทางกลับบ้านต่างจังหวัด บอกแม่ว่า อยากแสวงหาคําตอบให้กับตัวเอง แม่ถามว่าคําตอบอยู่ที่ไหน ณ เวลานั้น ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่า จะหาคําตอบจากที่ใด รู้แต่ว่าอยากใช้เวลาใคร่ครวญข้อกังขาที่เกิดขึ้นในใจ
เหตุการณ์นําพาให้ฉันได้พบคุณยายท่านหนึ่งชวนฉันไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่า คุณยายบอกว่าต้องนั่งรถประจําทางไปประมาณ ๑๐๐ กิโลเมตรจากบ้านฉัน จากนั้นต้องอาศัยรถอีแต๋นของชาวบ้านเพื่อเดินทางต่อจากถนนใหญ่เข้าไปจะเป็นถนนลูกรังไม่มีรถประจําทางผ่าน เพราะเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ห่างไกลความเจริญซึ่งวัดตั้งอยู่ที่นั่น
คุณยายเล่าว่า วัดยังคงสภาพป่าธรรมชาติเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ที่วัดไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา เหมาะแก่การปฏิบัติภาวนามีความสงบวิเวกยิ่งนัก ฉันได้ยินดังนั้นรีบตอบตกลงไปวัดนี้กับคุณยายทันที
นึกถึงภาพเมื่อวัยเยาว์ จําได้ว่าทุกวันพระพ่อ แม่ จะพาฉันไปทําบุญที่วัดเป็นประจํา ฉันมีหน้าที่หิ้วปิ่นโตเถาใหญ่เอาอาหาร คาว หวานไปถวายหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี บ้านเกิดของฉัน
ทันทีที่ถึงวัด พ่อบอกให้ถอดรองเท้าเพื่อเดินเท้าเปล่าเข้าวัด พ่อบอกว่าเป็นการแสดงความเคารพต่อสถานที่ เท้าน้อย ๆ ของฉันค่อย ๆ ย่างทีละก้าว รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของร่างกาย เท้าสัมผัสความแข็งและความเย็นของพื้นดิน
ขณะเดินฉันสังเกตบริเวณรอบ ๆ มองไปทางไหนมีแต่ความร่มรื่น ต้นไม้รกครึ้ม สายลมเย็นปะทะใบหน้า ฉันเดินช้า ๆ อ่านแผ่นไม้ที่เขียนข้อธรรมะติดตามต้นไม้รอบวัด ขณะอ่านเกิดความสงบในใจ กระแสธรรมซึมซับตั้งแต่วันนั้น
เมื่อเดินถึงศาลาพบชาวบ้านมาทําบุญมากมาย ฉันโชคดีได้นั่งข้างหลวงพ่อชา ท่านเทศน์เป็นภาษาอีสานเสียงเย็น ๆ เนิบ ๆ ฉันฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างเพราะยังเด็ก แค่เห็นรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยเมตตาของหลวงพ่อก็ชื่นใจ
วันนั้นฉันไม่รู้ว่าหลวงพ่อชาเป็นพระที่ผู้คนนับถือมากมาย ท่านเยื้องกรายไปที่ใดทุกคนจะพร้อมใจก้มกราบท่านด้วยความเคารพศรัทธา ช่างเป็นภาพที่งดงามจริง ๆ สําหรับฉันเมื่อเห็นหลวงพ่อเดินผ่านเห็นจีวรไหว ๆ จะรีบย่อตัวและก้มกราบท่านด้วยความเคารพอย่างสูงสุด
จําได้ว่า วันหนึ่งพ่อนิมนต์หลวงพ่อชาไปทําบุญที่บ้าน ฉันมีโอกาสตักน้ำใส่ขันล้างเท้าให้ท่าน ส่วนพ่อเตรียมผ้าขาวสะอาดเอามาเช็ดเท้าหลวงพ่ออย่างเบามือด้วยความเคารพศรัทธา ฉันยังเก็บผ้าผืนนั้นไว้บูชาจนทุกวันนี้
ภาพวัยเด็กที่เคยสัมผัสบรรยากาศแห่งความสงบผุดขึ้นในมโนภาพ ทําให้รู้ว่า สถานที่ที่กําลังจะเดินทางไปนั้นใกล้เคียงกับที่เคยพบเห็น วัดที่ฉันจะไปกับคุณยายเป็นวัดป่าเช่นเดียวกับวัดหนองป่าพง เป็นวัดสาขาที่ ๒ ของหลวงพ่อชา จะว่าไปแล้วฉันคุ้นชินกับวัดป่าแนวนี้มาตั้งแต่เด็ก จึงไม่น่าจะลําบากในการปรับตัวแต่อย่างใด แต่ก็อดหวั่นใจไม่ได้เพราะครั้งนี้ เป็นการไปอยู่หลายวันมิใช่เพียงแค่การไปทําบุญ
ชีวิตคนเราผ่านการตั้งคําถามมาแล้วหลายคําถาม ผ่านข้อสงสัยต่าง ๆ นานา ๆ มาตลอดชีวิต นับตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาตอนเช้าจนถึงเวลาเข้านอน เราล้วนตั้งคําถามกับทุกเรื่อง ส่วนมากเป็นเรื่องธรรมดาที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจําวัน เช่น วันนี้จะกินอะไร จะไปเที่ยวไหน ใส่เสื้อตัวนี้สวยไหม คําถามเหล่านี้ง่ายต่อการหาคําตอบไม่ต้องใช้เวลาขบคิด
แต่คําถามที่เกิดขึ้นในใจฉันครั้งนี้ ไม่ใช่คําถามในชีวิตประจําวันเช่นที่ผ่านมา แต่เป็นคําถามสําคัญจําต้องไปแสวงหาคําตอบ ฉันคิดว่า การเดินทางครั้งนี้อาจจะได้พบสิ่งที่เฝ้าเพียรถามก็เป็นได้
ฉันขออนุญาตแม่เพื่อเดินทางไปวัด แม่บอกว่า ให้เวลา ๗ วัน แล้วจะไปรับกลับบ้าน ฉันรับคําแล้วรีบไปเก็บเสื้อผ้าเพื่อออกเดินทางไปค้นหาข้อกังขาในใจ
“ชีวิตคืออะไร เกิดมาทำไม เรามีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งใด”